แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 351 แกล้งเป็นลม
เจียงป่าวชิงไม่ได้มองเลี่ยวชุนหยู่ แต่เลือกที่จะหันไปมองตงเส่และพูดขึ้นช้า ๆ “ตงเส่ เจ้ายังจะงงอะไรอยู่อีก ไม่ได้ยินชุนหยู่พูดรึว่าอายุเจ็ดขวบแล้วชายหญิงนั่งด้วยกันไม่ได้ ในเมื่อเขายืนหยัดเช่นนี้ เจ้าเลือกอาหารให้เขา ตักแบ่งใส่ถ้วยแล้วไปกินกันที่อื่นซะ”
เลี่ยวชุนหยู่ถลึงตามองเจียงป่าวชิงอย่างไม่อยากเชื่อ เขารีบฟ้องเจียงหยุนชาน “พี่ นางต้องการไล่ข้าไปที่อื่น!”
เจียงป่าวชิงเลิกคิ้วขึ้น “แหม เลี่ยวชุนหยู่ เจ้านี่ก็หัดทำความเข้าใจหน่อยสิ ข้าไม่ได้จะไล่เจ้า เป็นเจ้าต่างหากที่ยืนหยัดเรื่องการนั่งด้วยกันได้ไม่ได้ของชายหญิงเอง นี่ข้ากำลังสนับสนุนความคิดของเจ้านะ ทำไม หรือว่ามีปัญหาอะไร ?” นางจงใจเพิ่มน้ำเสียงให้ดังและชัดเจนมากขึ้น แต่มันกลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันทรงอำนาจที่ไม่ว่าใครก็ยุแหย่ไม่ได้
เลี่ยวชุนหยู่มองเจียงป่าวชิงสลับกับมองเจียงหยุนชานที่เงียบไม่พูดอะไร เขาเบะปากร้องไห้วิ่งผลุนผลันออกไปอย่างน้อยใจ “อ๊าก ฮืออออ พวกเจ้ารังแกข้า! พวกเจ้ารังแกข้า!!!”
เจียงหยุนชานขยับตัว เดิมทีเขาอยากตามไปทว่าเมื่อนึกถึงความดื้อด้านของเลี่ยวชุนหยู่ในวันนี้ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ตามไป
เจียงป่าวชิงไม่สนใจเลี่ยวชุนหยู่ที่วิ่งออกไป นางเพียงแค่เงยหน้ามองตงเส่ที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น “เจ้าเป็นผู้ติดตามของชุนหยู่ไม่ใช่รึ ยังจะยืนบื้ออะไรอยู่ตรงนี้อีก ?” ว่าให้ตงเส่แล้วนางก็หันกลับไปพูดกับเจียงฉิง “อาฉิง ไปหยิบถ้วยอาหารมาให้ตงเส่เลือกตักแบ่งอาหารที่ชุนหยู่ชอบกิน ให้เขาเอากลับไปกินที่ห้องของพวกเขา”
เลี่ยวชุนหยู่กล้าเสียมารยาทต่อหน้าพี่ป่าวชิงของนางขนาดนี้ เจียงฉิงจึงรู้สึกไม่ถูกชะตากับเขาตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว และตอนนี้เมื่อเห็นว่าพี่ป่าวชิงแสดงอำนาจ นางจึงรู้สึกดีใจมากเป็นธรรมดา เด็กหญิงรีบไปหยิบถ้วยอาหารอย่างมีความสุขก่อนจะยัดใส่ในมือตงเส่
“เลือกสิ เลือกเยอะก็ไม่เป็นไรหรอกเพราะคืนนี้อาหารที่เราทำมีตั้งแยะ ตักแบ่งไปเลยไม่ต้องกลัวหมด”
ตงเส่เลือกอาหารสองสามอย่างอย่างเก้อเขิน เขาแบ่งอาหารใส่ในถ้วยเล็ก ๆ และนำไปวางในถาด สุดท้ายก็ยกถาดจากไปอย่างเร่งรีบ
เจียงหยุนชานมองที่นั่งว่างเปล่าสองที่พลางถอนหายใจ เขาเอ่ยขอโทษเจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงที่ต้องพบกับความยุ่งเหยิงตลอดทั้งบ่าย นี่เป็นงานเลี้ยงต้อนรับพวกนางในคืนนี้แท้ ๆ แต่การร่วมโต๊ะมื้อค่ำร่วมกันในครอบครัวซึ่งควรเป็นเรื่องที่ดีต้องมาพังเพราะความเอาแต่ใจของชุนหยู่ซะอย่างนั้น
เจียงหยุนชานรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อยแต่เจียงป่าวชิงค่อนข้างสงบ นางเป็นฝ่ายพูดกล่อมเจียงหยุนชานก่อน “พี่ นิสัยของเจ้าเด็กเลี่ยวนั่นค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเองเกินไปหน่อย เราเป็นเพียงครอบครัวธรรมดา ถ้าหากเขายังทำตัวดื้อแบบนี้จะทำให้เกิดหายนะเอาได้นะ”
ทำไมเจียงหยุนชานจะไม่รู้ เขาเองก็เคยสั่งสอนเลี่ยวชุนหยู่อย่างเข้มงวดมามากแล้ว แต่ก็ล้มเหลวเกือบทุกครั้ง พรสวรรค์ในการเรียนรู้ความรู้ในตำราของเจียงหยุนชานราวกับได้มาจากสวรรค์ แต่ในเรื่องนี้เขากลับหมดซึ่งหนทางจริง ๆ “เฮ้อ… ข้าไม่รู้ว่าต้องสั่งสอนชุนหยู่ยังไงดีแล้ว เขาดื้อด้านมาก…”
เจียงป่าวชิงยิ้มน้อย ๆ “ไม่ต้องทำอะไรหรอก อย่างแรกพี่ก็แค่เมินไม่ต้องไปสนใจเขา”
เจียงหยุนชานยังคงเป็นกังวล “อืม บางทีเจ้าเด็กนั่นก็ดื้อรั้นมาก แล้วถ้าหากว่าเขาไม่ยอมกินข้าวจะทำยังไงล่ะ ?”
เจียงป่าวชิงไม่ได้สนใจอะไรมากมาย “เหอะ ในเมื่อเด็กมันไม่อยากกินข้าวเองก็ปล่อยไป หิวสักมื้อสองมื้อคงไม่เป็นไรหรอก จะได้หลาบจำไง”
เจียงหยุนชานยังคงร้อนใจจึงเล่าเรื่องที่เลี่ยวชุนหยู่หิวจนเป็นลมก่อนหน้านั้นให้เจียงป่าวชิงฟัง “คือว่า… ข้าคิดว่าเขากำลังเจริญเติบโต ถ้าหากเขาหิวจนเป็นลมอีกครั้ง ข้ากลัวว่ามันจะส่งผลต่อร่างกาย”
หิวจนเป็นลมเพราะไม่ได้กินข้าวแค่มื้อเดียวอย่างนั้นรึ ?! เจียงป่าวชิงเหมือนได้ยินเรื่องตลกโปกฮา นางกะพริบตาและพูดขึ้นยิ้ม ๆ “พี่ พี่ลืมช่วงเวลาที่เรากินแค่รำข้าวมื้อเดียวต่อวันไปแล้วรึ ตอนนั้นเรายังไม่เคยหิวจนเป็นลมด้วยซ้ำ พี่เชื่อข้าสิว่าเด็กนั่นจะไม่เป็นอะไรกับการที่ไม่ได้กินข้าวเพียงแค่มื้อเดียว”
เจียงหยุนชานชะงัก เขานึกย้อนไปถึงช่วงเวลาแสนอันขมขื่นที่พวกเขาสองพี่น้องได้พ้นผ่านมา ช่วงเวลาอันทุกข์ยากนั้น พวกเขาพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน บะหมี่รำข้าวผสมผักป่าถือเป็นอาหารดำรงชีวิตในหลาย ๆ วัน
เจียงหยุนชานพยักหน้า “อืม ครั้งนี้ข้าฟังเจ้า ทำตามที่เจ้าว่าแล้วกัน”
ในช่วงเวลาใกล้พักผ่อนในตอนกลางคืน เลี่ยวชุนหยู่ก็ก่อเรื่องวุ่นวายอีกครั้ง
“คุณชายเล็กเป็นลม! คุณชายเล็กเป็นลม!” ตงเส่หวีดร้อง
แน่นอนว่าเสียงเอะอะโวยวายของตงเส่นี้ สามารถก่อกวนเจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงได้สำเร็จ
ตอนที่เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงไปที่นั่น เจียงหยุนชานก็อยู่นั่นแล้ว เขากำลังนั่งกอดร่างอ่อนปวกเปียกของเลี่ยวชุนหยู่อยู่ข้างเตียง พอเห็นเจียงป่าวชิงเดินมาเขาก็ถามขึ้นอย่างเป็นกังวล “เอ่อ… ป่าวชิง ข้าควรทำยังไงดี ?”
ดูจากท่าทางของเจียงหยุนชานแล้วเขาคงร้อนใจมาก ยามกลางคืนวันนี้อากาศเย็นแสนจะเย็นแต่เขากลับสวมเสื้อคลุมอย่างลวก ๆ มาตัวเดียว เห็นได้ชัดว่าคว้าเสื้อได้ก็สวมแล้ววิ่งออกมาเลย รองเท้าที่เขาใส่มาก็ยังดูไม่เรียบร้อยดีเลย ดูหมดสภาพจริง ๆ
เจียงป่าวชิงเห็นแล้วความโกรธพลุ่งพล่านในใจทันที ‘เจ้าเด็กเลี่ยวนี่ จะแกล้งอะไรก็ให้มีขีดจำกัดหน่อยสิ’ นางคิดฉุนเฉียวในใจพลางเดินเข้าไปดึงแขนเจียงหยุนชาน “พี่ ปล่อยเขาซะ”
เจียงหยุนชานเชื่อใจเจียงป่าวชิง ได้ยินดังนั้นก็วางร่างเลี่ยวชุนหยู่ลงบนเตียง
เจียงป่าวชิงมองเลี่ยวชุนหยู่พร้อมแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา นางเห็นว่าแม้เลี่ยวชุนหยู่จะหลับตาแน่น ลูกตาของเขากลับยังคงกลอกอย่างลุกลี้ลุกลนอยู่ภายใต้เปลือกตาอย่างเห็นได้ชัด เขายังคงตื่นอยู่แน่ ๆ!
เพื่อเป็นการป้องกันเหตุการณ์ไม่แน่นอน เจียงป่าวชิงจึงจับชีพจรให้เลี่ยวชุนหยู่ และนั่นทำให้นางแทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ สภาพชีพจรของเด็กคนนี้ปกติดี เขาเป็นเด็กมีพลังและจัดได้ว่าแข็งแรงมากคนหนึ่งเลยทีเดียว ฉะนั้นไอ้การเป็นลมเพราะไม่ได้กินข้าวมื้อเดียว มันยากที่จะเกิดขึ้นกับเด็กคนนี้ เขาแกล้งเป็นลมอย่างเห็นได้ชัด
“อันที่จริงสภาพชีพจรเขาปกติดี แต่โรคนี้ค่อนข้างจัดการยาก” เจียงป่าวชิงพูดเสริมก่อนจะหันกลับไปสั่งเจียงฉิงด้วยสีหน้าราบเรียบ “อาฉิง เจ้าไปที่เตาแล้วหยิบขี้เถ้าจากเตามาหนึ่งถ้วย”
เจียงฉิงไม่ถามอะไร นางตอบรับด้วยน้ำเสียงไพเราะแล้ววิ่งออกไป
เจียงหยุนชานได้ยินคำว่า “โรคนี้ก็ค่อนข้างจัดการยาก” แล้วก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย
เจียงป่าวชิงพูดกับเจียงหยุนชาน “พี่รอดูนะ ที่ข้าให้อาฉิงไปหยิบขี้เถ้าก็เพื่อจะเอามารักษาโรคให้ชุนหยู่ เพียงแค่ยัดขี้เถ้าใส่ปากชุนหยู่สักกำมือหนึ่ง โรคที่เขาเป็นอยู่นี้ก็รักษาหายได้แล้วล่ะ”
“คุณหนูใหญ่ ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีวิธีรักษาโรคแบบนี้ด้วย!” ตงเส่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบพูดขึ้นอย่างร้อนรน “ทรมานคุณชายเล็กแบบนี้เท่ากับว่าเป็นการทำร้ายกันมิใช่รึ ?”
“ไม่หรอก ฝีมือการรักษาของป่าวชิงนั้นยอดเยี่ยมมาก” เจียงหยุนชานเชื่อเจียงป่าวชิงอย่างไม่มีเงื่อนไขและพูดโต้แย้งให้นาง “นางบอกว่าสามารถรักษาชุนหยู่ได้ก็แสดงว่านางรักษาได้จริง ๆ”
ตงเส่รู้สึกร้อนใจอย่างมากแต่กลับไร้ประโยชน์ เขาอยากพูดอะไรบางอย่างแต่เจียงหยุนชานมีท่าทีเหมือนถูกเจียงป่าวชิงล้างสมองไปแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็ไม่ฟัง ตงเส่ทำได้เพียงยืนเก้อ ๆ อยู่ตรงนั้น
ผ่านไปไม่นานเจียงฉิงก็เดินถือขี้เถ้าเข้ามา “พี่สาว ข้าตักมาเต็มถ้วยเลย พี่จะใช้ยังไงหรือจ๊ะ ?”
เจียงป่าวชิงหัวเราะอย่างเย็นชาพลางชำเลืองมองเลี่ยวชุนหยู่ที่ใกล้จะแกล้งเป็นลมต่อไม่ไหว สุดท้ายนางโบกมือยกใหญ่ “กรอกใส่ปากเขาซะ”
เจียงฉิงดีใจออกนอกหน้า นางชอบคำพูดนี้มาก ‘หึ ๆ กำลังคันไม้คันมืออยากลงโทษคนดื้อนี่อยู่พอดี เสร็จข้าล่ะเจ้าเลี่ยวชุนหยู่เอ๋ย’ เด็กหญิงคิดอย่างสะใจพลางเดินดุ่ม ๆ เข้าไปจะกรอกขี้เถ้าใส่ปากเลี่ยวชุนหยู่
ในที่สุดเลี่ยวชุนหยู่ก็แกล้งเป็นลมต่อไม่ไหว เขาเด้งตัวลุกนั่งแล้วผลักเจียงฉิงออก จากนั้นหันไปพูดกับเจียงหยุนชานที่อยู่ข้าง ๆ เสียงดัง น้ำตาก็คลอเบ้า “นี่พี่… พี่กำลังดูพวกนางรวมหัวกันแกล้งข้าอย่างนั้นรึ ?!”
เจียงป่าวชิงเตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว นางรับร่างเจียงฉิงที่ถูกผลักจนเซ ทว่าขี้เถ้าที่อยู่ในมือเจียงฉิงมันกระเด็นใส่เตียงของเลี่ยวชุนหยู่ทำให้ดูน่าเวทนาเป็นพิเศษ
ตอนนี้เจียงหยุนชานเข้าใจเจตนาเรื่องขี้เถ้าของเจียงป่าวชิงแล้ว เขามองเลี่ยวชุนหยู่นิ่ง ๆ โดยที่มีความผิดหวังอย่างรุนแรงแสดงให้เห็นอยู่ในแววตาของคนเป็นพี่ชายอย่างเขา
“ชุนหยู่… เจ้าไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว ทำไมถึงยังก่อเรื่องแกล้งเป็นลมเช่นนี้อยู่อีก ?”
เลี่ยวชุนหยู่เหมือนถูกตีด้วยไม้พลอง เขาเห็นความผิดหวังในสายตาของเจียงหยุนชานอย่างชัดเจน เดิมทีเขากำลังปัดขี้เถ้าบนร่างกายออกไปด้วยความโกรธ แต่ตอนนี้เขาตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ พูดอะไรไม่ออก
“เจ้าลองสำนึกดูดี ๆ เถอะ” เจียงหยุนชานไม่ได้พูดอะไรมากมาย เพียงทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคอย่างเหนื่อยล้าและดึงเจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงให้ออกจากห้องทันที
.
.