แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 36 สองพี่น้องตระกูลเฉียน
ตอนที่ 36 สองพี่น้องตระกูลเฉียน
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมมีคนผู้นี้อยู่บ้างเล็กน้อย เขาคือเฉียนจินหวู่ เป็นลูกชายคนโตของเจียงเหลียนฮัว ลูกสาวคนที่สองของหลีโผจื่อกับท่านปู่เจียง
เนื่องจากเจียงเหลียนฮัวแต่งงานเร็ว อายุสิบสี่นางก็แต่งไปเป็นเมียคนเชือดเนื้อสัตว์ตระกูลเฉียนจากหมู่บ้านลั่วโถวที่อยู่ติดกันแล้ว ปีต่อมานางก็ให้กำเนิดเฉียนจินหวู่ลูกชายคนโต ซึ่งเฉียนจินหวู่อายุมากกว่าเจียงต้ายาลูกของเจียงอีหนิวหนึ่งปี และปีนี้เขาก็อายุสิบเจ็ดแล้ว
เนื่องจากตระกูลเฉียนเป็นตระกูลที่ทำอาชีพขายเนื้อ บ้านของพวกเขาก็ฆ่าแกะและวัวตลอดทั้งปี พวกเขาจึงไม่ขาดแคลนอาหารประเภทเนื้อสัตว์สักเท่าไหร่ อีกอย่าง เฉียนจินหวู่ผู้นี้มีรูปร่างล่ำสันมาก ทั้งยังดูแข็งแรงราวกับภูเขาเล็ก ๆ อีกต่างหาก
เฉียนจินหวู่ยังมีน้องชายหนึ่งคนกับน้องสาวอีกสองคน แต่เจียงเหลียนฮัวแม่ของเฉียนจินหวู่นั้น ดูเหมือนตอนที่นางคลอดเฉียนจินหวู่ ร่างกายของนางจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ต่อมาก็มีลูกสองคนติดกัน แต่ลูกที่คลอดออกมากลับร่างกายอ่อนแอมาก ซึ่งทั้งสองคนอายุยังไม่เต็มขวบก็จากไปเสียก่อน ตอนนี้นอกจากเฉียนจินหวู่แล้ว ก็เหลือเพียงเฉียนเซียงเซียง ลูกสาวคนเล็กที่กว่าจะเลี้ยงให้รอดชีวิตมานั้นไม่ง่ายเลย พวกเขาจึงประคบประหงมนางราวกับของล้ำค่าทำนองนั้น
ตั้งแต่เจียงป่าวชิงหายดี นี่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่นางได้เจอกับเฉียนจินหวู่ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เฉียนจินหวู่ได้เจอกับเจียงป่าวชิงที่หายจากอาการปัญญาอ่อนเช่นกัน
ไม่เจอก็ดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มาเจอกันก็ช่วยไม่ได้
เมื่อหันไปมอง จู่ ๆ เฉียนจินหวู่ก็พบว่าเจียงป่าวชิงราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยก็ว่าได้ ดวงตาสุกใสคู่นั้นราวกับพูดได้ทำนองนั้น และสีหน้าของนางก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ปัญญาอ่อนชวนให้คนเกลียดอีกแล้ว…
นางถือว่าดูดีมากเลยทีเดียว
เฉียนจินหวู่มองเจียงป่าวชิงโดยไม่ละสายตาไปไหน เจียงป่าวชิงรู้ดีว่าถ้าหากถือตามศักดิ์ นางจะต้องเรียกเฉียนจินหวู่ว่าพี่ชาย แต่สายตาของชายคนนี้น่ารังเกียจเกินไป เจียงป่าวชิงจึงทำเพียงพยักหน้าอย่างสุภาพให้เฉียนจินหวู่เล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทาย จากนั้นนางก็ปิดหน้าต่างทันที
เฉียนจินหวู่รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่เห็นเจียวป่าวชิงทำแบบนั้น
“พี่ พี่ดูอะไรรึ ?” เสียงหวานหยดย้อยเรียกเฉียนจินหวู่
เฉียนจินหวู่ดึงสติกลับมา เมื่อเห็นเฉียนเซียงเซียงผู้เป็นน้องสาวเดินเข้ามา เขาก็รู้สึกขายหน้าเล็กน้อยที่ตนเองมองคนปัญญาอ่อนอย่างใจลอย จากนั้นเขาก็เบะปาก “เมื่อสักครู่ข้าเห็นเจ้าปัญญาอ่อนนั่น ดูเหมือนว่านางจะหายจากอาการป่วยและไม่ปัญญาอ่อนแล้ว”
เฉียนเซียงเซียงหัวเราะคิกคัก “ฮิ ๆ หายจากโรคก็ยังปัญญาอ่อนอยู่ดีนั่นแหละพี่ ข้าจำได้ว่าตอนที่เรามาที่นี่เมื่อปีที่แล้ว ข้ายื่นท่อนไม้ที่ไหม้เกรียมให้นางและบอกนางว่าเป็นของอร่อย พอนางได้ยินแบบนั้น นางก็แทะมันทันที ช่างโง่เขลาสิ้นดี”
เมื่อสองพี่น้องนึกถึงเรื่องนี้ ทั้งสองคนก็พากันหัวเราะคิกคัก เฉียนจินหวู่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าขายหน้าจริง ๆ ที่เมื่อสักครู่ตัวเขารู้สึกว่าเจ้าปัญญาอ่อนคนนั้นดูดี หลังจากที่เขาหัวเราะเสร็จ เขาก็ลืมเรื่องนี้ไปโดยปริยาย
ทันใดนั้นเอง เจียงเหลียนฮัวเรียกพวกเขาทั้งสองจากในลานบ้าน “จินหวู่ เซียงเซียง ยังไม่รีบเข้ามาอีก พวกเจ้าอยู่ข้างนอกทำอะไรกัน ?!”
“มาแล้วขอรับ/เจ้าค่ะ” สองพี่น้องขานรับพร้อมกัน จากนั้นก็รีบเข้าไปในบ้านทันที
ในห้องใหญ่ เมื่อหลีโผจื่อเห็นหลานชายกับหลานสาว สีหน้าของนางก็ดีกว่าตอนที่เห็นเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานเสียอีก
โดยเฉพาะตอนที่เจียงเหลียนฮัวเข้ามา นางยังถือเนื้อหมูสามชั้นที่หนักอย่างน้อยหนึ่งกิโลเข้ามาอีกด้วย เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของหลีโผจื่อก็ดีกว่าเมื่อสักครู่มาก
“ไอ้โย! จินหวู่ ไม่ได้เจอกันแค่ครึ่งปี เจ้าล่ำสันมากกว่าเดิมอีกนะ” หลีโผจื่อชมเฉียนจินหวู่ ในความคิดของคนชนบท คำว่ามีรูปร่างล่ำสันนั้นถือเป็นคำชมที่ดีที่สุดสำหรับผู้ชายแล้ว
และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อได้ยินหลีโผจื่อเอ่ยชมเช่นนี้ เจียงเหลียนฮัวก็ยิ้มแย้มราวกับดอกไม้ “ท่านแม่ หยุดชมเขาได้แล้ว”
“ก็เพราะจินหวู่ของเราเติบโตมาดี ต่อไปถ้าพี่ฉายรูปร่างล่ำสันแบบจินหวู่พี่ชายของเขาบ้างก็ดีสิ” หลีโผจื่อบ่นเล็กน้อย จากนั้นนางก็หันไปมองเฉียนเซียงเซียง ทว่าเมื่อเห็นการแต่งตัวของเฉียนเซียงเซียง นางก็รู้สึกปวดใจ
เจียงเหลียนฮัวตามใจเฉียนเซียงเซียงเกินไปจริง ๆ ถึงแม้ว่าบ้านของนางจะเป็นตระกูลที่ทำอาชีพขายเนื้อ แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรนัก แต่ดูสิ เจียงเหลียนฮัวกลับให้เงินลูกสาวใช้อย่างไม่เสียดายเลย เฉียนเซียงเซียงอายุเพียงสิบสามขวบ กลับมีกิ๊บสีเงินติดอยู่บนศีรษะเสียแล้ว เสื้อผ้าที่ใส่ก็มีดอกไม้มากมายปักอยู่บนกระโปรง
โดยเฉพาะตอนที่เฉียนเซียงเซียงเดินเข้ามา หลีโผจื่อยังได้กลิ่นหอมมาจากบนตัวของนางอีกด้วย กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นเดียวกับเครื่องสำอางที่หลีโผจื่อเอามาจากเจียงเอ้อยาเมื่อไม่กี่วันก่อน
หลีโผจื่อรู้สึกปวดใจ นางยังไม่ทันได้พูดชมเฉียนเซียงเซียง ก็เริ่มตำหนิเจียงเหลียนฮัวเสียแล้ว “ข้าว่าเจ้าตามใจลูกสาวเกินไป ต้องใช้เงินเท่าไหร่สำหรับซื้อเสื้อผ้าทั้งตัวนางนี้ ? เจ้ามีเฉียนจินหวู่ที่เป็นลูกชายเพียงคนเดียว เก็บเงินทองไว้ให้จินหวู่ดีกว่าอีก วันก่อนข้าไปขอเงินเจ้า เจ้ายังบอกว่าไม่มีเงินอยู่เลย แต่ทำไมข้าดูแล้วเจ้าถึงไม่เหมือนคนที่ไม่มีเงินเลยล่ะ ?”
อาจเป็นเพราะนางรู้ว่าครอบครัวไม่สามารถตัดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ออกได้ เมื่อแต่งเข้าไปในตระกูลเฉียนในช่วงปีที่ผ่านมานี้ เจียงเหลียนฮัวจึงมีความตระหนี่ถี่เหนียวเล็กน้อย นางเบะปาก “ท่านแม่ วันก่อนท่านบอกว่าจะเอาเงินห้าตำลึง บ้านข้ามีเงินมากมายขนาดนั้นเสียที่ไหนกัน”
หลีโผจื่อชำเลืองมองเฉียนเซียงเซียงพลางนึกริษยาอยู่ในใจ “ไม่มีเงินแล้วยังซื้อชุดให้ลูกสาวขนาดนี้อีกเนี่ยน่ะรึ ?”
เจียงเหลียนฮัวกลับพูดอย่างคิดว่าตนเองมีเหตุผลเต็มที่ “ท่านแม่ หมอดูยังบอกเลยว่าลูกสาวของข้าน่ะเป็นคนที่มีบุญวาสนา ต้องดูแลให้ดี ๆ เพราะมีโชคก้อนโตรอตอบแทนเราอยู่ข้างหน้า”
หลีโผจื่อยังอยากจะพูดอะไร ขณะที่เจียงเหลียนฮัวมองลูกสาวคนเล็กที่กำลังก้มหน้าขยำชายเสื้ออย่างน้อยใจเล็กน้อย นางรู้สึกสงสารจับใจ จึงรีบตัดบทสนทนาของแม่ตัวเองทันที “ท่านแม่ ที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องจะปรึกษาท่าน”
จากนั้นนางก็พูดกับลูกสาวคนเล็กด้วยความรักและเอ็นดู “เซียงเซียง… เจ้าไปเล่นกับพวกพี่ ๆ ก่อนไป”
เฉียนเซียงเซียงอยากรีบไปเสียเดี๋ยวนั้น ได้ยินดังนั้นนางก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองแม้แต่นิดเดียว
หลีโผจื่อเห็นเข้าก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
เจียงเหลียนฮัวรู้นิสัยแม่ของตัวเองดี ตอนที่นางยังอยู่ที่นี่ในฐานะลูกสาว แม่ของนางก็เป็นเช่นนี้ มีอะไรดี ๆ ก็แทบจะเอาไปประเคนให้เจียงอีหนิวพี่ชายของนางหมด ส่วนลูกสาวนั้นเป็นเพียงฟางเส้นเล็ก ๆ ในสายตาของนางเท่านั้น
นางแต่งออกไปก็หลายปี ดีที่ยังรู้จักพกเนื้อสองสามชิ้นติดไม้ติดมือกลับมาที่บ้าน ด้วยเหตุนี้แม่ของนางถึงจะมองเห็นความสำคัญของนางขึ้นมาบ้าง
“ท่านแม่ ท่านดูจินหวู่ของเราสิ ปีนี้เขาก็สิบเจ็ดปีแล้ว อย่าหาว่าข้าชมลูกชายตัวเองเลยนะ แต่จินหวู่ของเราน่ะติดตามพ่อเขาไปช่วยที่แผงเนื้อตั้งแต่ยังเล็ก เขามีอนาคตมากเลย” เจียงเหลียนฮัวเอาแต่ชมเฉียนจินหวู่ แต่นางกลับมีความกลัดกลุ้ม “ข้าคิดว่าเด็กคนนี้อายุถึงที่จะพูดเรื่องแต่งงานได้แล้ว แต่ท่านแม่ ท่านก็รู้ว่าหมู่บ้านลั่วโถวของข้าน่ะหาหญิงที่ดูแล้วงามตาไม่ได้เลย ข้ารู้ว่าท่านแม่รู้จักคนเยอะ ท่านลองดูให้หน่อยได้หรือไม่ว่าในหมู่บ้านท่านมีผู้หญิงคนไหนที่เหมาะสมกับจินหวู่ของเราบ้าง ?”
หลีโผจื่อเหลือบมองเจียงเหลียนฮัวเล็กน้อย นางนั้นพอจะเดาความคิดของเจียงเหลียนฮัวออกแล้ว
เจียงเหลียนฮัวกำลังปฏิเสธความต้องการที่โจซื่ออยากให้เจียงเอ้อยาแต่งงานกับเฉียนจินหวู่อย่างอ้อม ๆ
อันที่จริงเดิมทีโจซื่อคิดจะให้เจียงต้ายาแต่งเข้าไปในตระกูลเฉียน ถึงแม้ว่าตระกูลเฉียนจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่อย่างน้อยพวกเขายังสามารถออกค่าสินสอดได้บ้าง แต่ต่อมากลับเกิดเรื่องนั้นขึ้นกับเจียงต้ายาเสียก่อน ถ้าหากว่าเป็นครอบครัวอื่นก็ไม่เป็นไร ไม่แน่ถ้าหากโจซื่อใช้วิธีตบตานิดหน่อยก็สามารถให้เจียงต้ายาแต่งออกไปได้แล้ว แต่นี่เป็นครอบครัวของเจียงเหลียนฮัว… และโจซื่อยังไม่มีความกล้าพอที่จะไปต่อต้านกับทางบ้านป้าของนางเอง
ก่อนอื่นคือหลีโผจื่อกับท่านปู่เจียงคงจะไม่ให้อภัยนางอย่างแน่นอน
ในเมื่อเจียงต้ายาตัดสินใจไม่ได้ การตัดสินใจของโจซื่อจึงไปตกอยู่ที่เจียงเอ้อยาแทน
แต่โจซื่อยังไม่ได้บอกเจียงเหลียนฮัวเกี่ยวกับความต้องการนี้ และไม่รู้ว่าเจียงเหลียนฮัวดูออกได้อย่างไร ถึงได้พาลูกชายกับลูกสาวมาที่นี่ในวันนี้ ภายนอกทำเป็นบอกให้หลีโผจื่อช่วยเลือกเมียให้เฉียนจินหวู่ แต่ความเป็นจริงคือนางกำลังปฏิเสธความต้องการที่โจซื่ออยากให้เจียงเอ้อยาแต่งงานกับเฉียนจินหวู่ไม่ใช่รึ ?
คิดได้ดังนั้น หลีโผจื่อก็เกิดความไม่พอใจ นางชักสีหน้าทันที
ไม่ว่าช่วงนี้เจียงเอ้อยาจะทำเรื่องอะไรลงไป ถึงอย่างไรนางก็เป็นเชื้อพันธุ์ของตระกูลเจียงของพวกเขา อีกทั้งนางยังเป็นการเป็นงาน และเคยเป็นหลานสาวที่หลีโผจื่อถูกอกถูกใจอีกด้วย
ต่อให้เฉียนจินหวู่จะดีเพียงใด อย่างไรเขาก็นามสกุลเฉียน
เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ เมื่อลูกสาวคนนี้แต่งออกเหย้าออกเรือนไปข้างนอก ข้อศอกของนางก็หันออกไปด้านนอกเช่นกัน และคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่านางจะคิดว่าคนของตระกูลเจียงจะไม่คู่ควรกับคนที่นามสกุลเฉียนของพวกเขา
ถุย!