แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 360 ลูกอกตัญญู
สองพี่น้องแต่งตัวเสร็จก็พากันไปหาเลี่ยวชุนหยู่ เช้านี้นางนำเสื้อผ้าที่ตัดเย็บขึ้นใหม่ไปส่งให้กับเลี่ยวชุนหยู่และสั่งให้เขาเปลี่ยนเป็นชุดใหม่พร้อมบอกว่าวันนี้จะพาเขากับเจียงฉิงออกไปงานประชุมการบรรยายด้วยกัน
เจียงป่าวชิงเอ่ยสั่ง “มา เจ้าลองหมุนตัวให้ข้าดูหน่อย ข้าจะดูว่าพอดีตัวเจ้าหรือเปล่า”
เลี่ยวชุนหยู่อ้าแขนพลางหมุนตัวตรงหน้าเจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงอย่างเก้ ๆ กัง ๆ “ฮืม… ข้าคิดว่าพอใช้ได้”
ยังพูดไม่ทันจบเขาก็ถูกเจียงฉิงเขกศีรษะเสียก่อน เด็กหญิงทำปากจู๋อมลมแก้มป่อง “ชุนหยู่ อะไรของเจ้าหนิ นี่คือเสื้อผ้าใหม่ที่พี่สาวเร่งทำให้เจ้าภายในไม่กี่วันเชียวนะ เจ้าดูรอยเย็บนี้และดูรูปแบบประณีตสวยงามนี้ซะก่อนสิ ฝีมือดีสุด ๆ แต่เจ้ากลับบอกแค่ว่าพอใช้ได้งั้นรึ ?”
เลี่ยวชุนหยู่รู้สึกเก้อเขินเพราะคำพูดของเจียงฉิง เขากระแอมไอกลบเกลื่อน “ก็… เอ่อ… มันก็ดูดีมากเลยล่ะ…”
เจียงฉิงพ่นลมออกมาทางจมูกดังพรืด “นี่ไอ้น้องชาย ข้าจะบอกเจ้าว่าที่เจ้าพูดเมื่อกี้นี้มันสายเกินไปแล้ว ถ้าเจ้าไม่ได้ตัวเล็กไปกว่าข้านะ ข้าคงแย่งชุดนี้มาจากเจ้าและไม่คืนเจ้าแน่!”
“…”
พูดถึงเรื่องรูปร่าง เลี่ยวชุนหยู่รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เขาคิดว่าเขาเป็นชาย ถึงแม้เขาอายุน้อยกว่าเจียงฉิงเพียงสามปีแต่เขากลับเตี้ยกว่านางมากกว่าครึ่งศีรษะ เรื่องนี้เป็นความเจ็บปวดที่ไม่สามารถเอ่ยได้ในหัวใจของเขา!
“ข้ายังสูงได้อีกน่า และต้องสูงกว่าพี่เจียงฉิงแน่ คอยดูเลย”
“อ้อ งั้นเจ้าสู้ ๆ ก็แล้วกัน ข้าเอาใจช่วย” เจียงฉิงพูดพลางอมยิ้มขบขัน
เจียงป่าวชิงมองน้อง ๆ ทั้งสองที่กำลังหยอกล้อกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เอาล่ะ ออกจากบ้านแล้วพวกเจ้าก็ระวังด้วย อย่าเดินแยกจากกันนะ”
“ได้เลยจ้ะพี่” เจียงฉิงตอบรับอย่างว่านอนสอนง่าย แววความเย่อหยิ่งแบบตอนที่นางรังแกเลี่ยวชุนหยู่เมื่อสักครู่หายไปจากใบหน้า
ช่วงนี้เลี่ยวชุนหยู่เองก็คุ้นชินกับการเปลี่ยนหน้ากากของพี่สาวคนรองแล้ว เขาได้แต่ตอบรับอย่างอึดอัดใจ
เจียงป่าวชิงพาน้องทั้งสองคนออกจากบ้านอย่างพึงพอใจ อันที่จริงพวกนางอยากไปกันอย่างธรรมดา ๆ ไม่อยากเป็นที่สังเกตของใคร ๆ แต่เจียงป่าวชิงนั้นมีใบหน้าสวยสะดุดตามากจึงมีหลายคนที่แอบมองพวกเขาระหว่างทาง
แต่ถึงอย่างไร เจียงป่าวชิงรู้สึกชาชินแล้ว นางไม่หวาดหวั่นต่อสายตาแอบมองของคนเหล่านั้น
ทำไม หน้าตาสะสวยแล้วออกจากบ้านไม่ได้หรือไง ?
ช่วงแรก ๆ นั้นไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นเป็นพิเศษ แต่ต่อมาไม่นานนัก ไม่รู้ว่าลืมดูปฏิทินก่อนออกจากบ้านหรือเป็นปีชงกันแน่ ตอนที่เดินมาได้ครึ่งทางพวกเขาสามพี่น้องก็เจอกับลูกหลานคนมั่งคั่งร่ำรวยสองสามคนที่พากันขี่ม้ามาล้อมพวกเจียงป่าวชิง ที่น่ารังเกียจคือใบหน้าของพวกเขาทุกคนมีรอยยิ้มลามกประดับอยู่
“ไอ้โย! ในเมืองหลวงมีสาวงามมากเสน่ห์แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” หนึ่งในนั้นเอ่ย เขาเป็นชายรูปร่างหน้าตาทั่ว ๆ ไป สวมชุดคลุมสีขาวนั่งอยู่บนหลังม้า เขาผิวปากและมองเจียงป่าวชิงด้วยแววตาลามก
ดูจากสีหน้าของเขาก็รู้แล้วว่าเป็นพวกคอทองแดงดื่มหนัก ร่างกายคงถูกกัดกร่อนด้วยสุราเคล้านารีมานับไม่ถ้วน แต่เขากลับไม่รู้ตัวเองและคิดว่าตัวเองสง่างามมาก ถึงได้ถือพัดและพัดด้วยท่าทางเย่อหยิ่งขนาดนั้น
“แม่นางคนงามเอ๋ย เจ้าดูสิว่าวันนี้อากาศดีมากแค่ไหน ทำไมเราไม่ไปขี่ม้าด้วยกันให้มีความสุขล่ะ ?”
แม้เลี่ยวชุนหยู่ยังเด็ก แต่เขาสามารถเข้าใจถึงเจตนาไม่ดีที่ออกมาจากปากของชายคนนั้นได้ มือเขาพลันกำหมัดแน่น กำลังจะก่นด่าชายคนนั้นแต่กลับพบว่าเจียงป่าวชิงผลักเขาไปข้างหลังในท่าทางพี่สาวปกป้องน้องชายซะก่อน
เจียงฉิงเองก็กำลังจะออกหน้าแทนเจียงป่าวชิงเช่นกันแต่กลับถูกเจียงป่าวชิงดึงตัวไว้ เจียงป่าวชิงยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าม้าอย่างไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด นางเงยหน้ามองชายในชุดคลุมสีขาวคนนั้นและยิ้มอย่างสงบ
ชายคนนั้นเกือบถูกภาพอันสายงามน่ามองทำให้หลงใหลจนจิตวิญญาณเตลิดเปิดเปิงแล้ว
“สวัสดีคุณชาย ข้าเดาว่าเจ้าต้องมีภูมิหลังทางครอบครัวที่มั่งคั่งมีชื่อเสียงเป็นแน่” เจียงป่าวชิงพูดขึ้นช้า ๆ
ชายคนนั้นยืดอกเล็กน้อย “ใช่แล้วแม่สาวน้อย เจ้าช่างมีความรู้มากจริง ๆ พ่อข้าเป็นสมาชิกอันดับสองของราชสำนัก”
“อื้ม ท่านมีชื่อเสียงอย่างเห็นได้ชัด” เจียงป่าวชิงพยักหน้าอย่างเอ้อระเหยก่อนจะพูดด้วยความเสียดาย “ว้า… แต่ช่างน่าเสียดายจริง ๆ”
ชายในชุดเสื้อคลุมสีขาวงุนงง “แม่นางพูดอะไรกัน อะไรที่ว่าน่าเสียดาย ?”
เจียงป่าวชิงยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน “ข้ากำลังนึกเสียดาย พ่อของเจ้าอยู่ในตำแหน่งสมาชิกอันดับสองของราชสำนัก กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้คงไม่ง่าย แต่ลูกอกตัญญูของเขากลับต้องการก่อเรื่องอื้อฉาว คิดบังคับชิงตัวหญิงสาวชาวบ้านในวันงานประชุมการบรรยายที่เต็มไปด้วยปัญญาชนรวมถึงบุคคลมีคุณธรรมและเหล่าศิษย์จากทั่วทุกหัวระแหงเช่นนี้ ข้าคิดว่าเรื่องนี้คงได้ยินไปถึงหูของผู้คนในอีกไม่ช้า เจ้าทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการดูถูกความเป็นธรรมของปัญญาชนและพวกศิษย์ เมื่อถึงตอนนั้น พู่กันของปัญญาชนถ้วนทั่วจะเป็นดาบที่ปราบพ่อของเจ้า คุณชายเอ๋ย เจ้าคิดว่าพ่อของเจ้าจะไม่รู้สึกเสียดายหรือที่มีลูกอกตัญญูอย่างเจ้า ?”
ใบหน้าของชายในชุดคลุมสีขาวแปรเปลี่ยนจากซีดเผือดเป็นหม่นคล้ำแล้ว เขาโมโหพูดไม่ออก เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าสาวงามตรงหน้านางนี้จะฝีปากกล้านัก เห็นนางสวยแลดูนุ่มนวลขนาดนั้น แต่กลับไม่ใช่ดอกไม้ขาวไร้พิษภัย นางคือดอกไม้พิษที่มีใบมีดแหลมคมชัด ๆ
นางด่าเขา แต่ก็เหมือนด่ารวมไปถึงพ่อของเขาด้วย
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคนที่อยู่โดยรอบ ชายในชุดคลุมสีขาวชี้เจียงป่าวชิงด้วยเนื้อตัวสั่นเทา “แม่สาวงามตัวดีช่างมีฝีปากเฉียบคมดีจริง ข้าจำเจ้าไว้แล้ว รอข้าก่อนเถอะ!”
จากนั้นเขาสะบัดบังเหียนม้า ปากก็เอ่ยวาจาชักชวนเพื่อนพ้อง “พวกเรา กลับ!”
เมื่อเหล่าสหายที่ดูคล้ายกเฬวรากซากศพไร้วิญญาณที่พร้อมถูกลากจูงไปไหนก็ได้ของชายชุดคลุมสีขาวเห็นว่าสหายที่พวกเขายกให้เป็นนายพ่ายแพ้แก่ฝีปากแม่นางคนงามแล้ว พวกเขาก็ขี่ม้าตามกลับไป ไม่นานบนท้องถนนก็กลับมาสงบอีกครั้ง
เลี่ยวชุนหยู่พูดขึ้นด้วยความเกลียดชัง “เจ้าคนเลวพวกนี้ เหอะ! ไม่เห็นจะเก่งตรงไหน”
เจียงฉิงพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล “พี่สาว พวกเขาจะไม่วกกลับมาอีกใช่ไหมจ๊ะ ?”
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่ต้องห่วง พวกเขาจะไม่มาสร้างปัญหาให้ข้าหรอก” ทว่าหลังจากพูดประโยคนี้จบ เจียงป่าวชิงพูดเสริมในใจว่า ‘อย่างน้อยก็คงไม่ใช่วันนี้’
เจียงป่าวชิงลูบใบหน้าตัวเอง นางรู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ กงจี้จะคุ้มครองนางอย่างแน่นอน แต่นางไม่ต้องการให้กงจี้คุ้มครองไปเสียทุกเรื่อง
เกิดเรื่องนี้ขึ้น ความสนใจต่องานประชุมการบรรยายของเจียงฉิงกับเลี่ยวชุนหยู่ก็ลดลง เจียงป่าวชิงต้องโน้มน้าวพวกเขาอยู่ยกใหญ่แล้วซื้อขนมหวานเสียบไม้ให้ทั้งสองคนละไม้จากร้านในตลาด น้อง ๆ ทั้งสองรับขนมไปและหยอกล้อกันสักครู่
ต้องแบบนี้สิถึงจะดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย
……
งานประชุมการบรรยายจัดขึ้นในโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงนั่นก็คือ โรงเตี๊ยมหยุนช่าง
ตอนที่เจียงป่าวชิงพาน้องทั้งสองเข้าไปในงาน นางไม่คิดว่าผู้คนจะแห่กันมามากจนเป็นที่น่าทุกข์ใจเช่นนี้ สุดท้าย นางจ่ายเงินเพื่อซื้อตำแหน่งเข้าชมงานที่ค่อนข้างดีจากใครคนหนึ่ง แล้วทั้งสามคนก็เบียดเข้าไปข้างใน
เมื่อเห็นครั้งแรก ทั้งสองส่งเสียงอุทานเบา ๆ เนื่องจากวันนี้เจียงหยุนชานอยู่ในชุดคลุมยาวตามแบบฉบับสำนักของพวกเขา ใบหน้าหล่อดูเคร่งขรึมมากตอนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ท่านอาจารย์ของเขา เขาเดินหน้าและถอยหลังอย่างมีระดับ ตอนตอบโต้ก็ดูดีมีมารยาทเช่นกัน ยิ่งมองยิ่งทำให้ผู้คนเบนสายตาไปทางอื่นไม่ได้ อย่าว่าแต่เจียงฉิงเลย เขาในชุดทางการเช่นนี้ เลี่ยวชุนหยู่เองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ในงานประชุมการบรรยายครั้งนี้ ผู้เฒ่าหยุนไห่หรือท่านอาจารย์ของเจียงหยุนชานได้รับเชิญจากราชสำนักให้มาเผยแพร่ความรู้อย่างเปิดเผยแก่เหล่าศิษย์หรือเหล่านักเรียนทั่วทุกสารทิศ ในฐานะศิษย์คนสุดท้ายของท่านอาจารย์หยุนหรือผู้เฒ่าหยุนไห่ เจียงหยุนชานจึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
แต่ผ่านไปไม่นาน เจียงฉิงกับเลี่ยวชุนหยู่ก็ฟังไม่เข้าใจเสียแล้ว สำหรับพวกเขานั้น คำพูดในการบรรยายนี้ค่อนข้างเป็นศัพท์สูงค่อนข้างเข้าใจยาก พูดบรรยายโต้ตอบกันไปมา พวกเขาก็รู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย
เจียงป่าวชิงเห็นว่าน้อง ๆ ทั้งสองเริ่มสนใจงานนี้น้อยลงเรื่อย ๆ แล้ว อยู่ที่นี่ต่อไปก็เป็นการทรมานพวกเขา นางครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบาว่า “เรากลับกันดีไหม ?”
แต่เจียงฉิงดูออกว่าเจียงป่าวชิงสนใจงานประชุมการบรรยายนี้มากจึงรีบพูดขึ้นทันที “พี่สาว พี่อยู่ฟังที่นี่ต่อเถอะ ข้าจะพาชุนหยู่ไปเดินเล่นที่ตลาดข้างนอกแล้วเราค่อยกลับกันเอง ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ พวกเราไปกันได้จ้ะ”
เลี่ยวชุนหยู่เองก็พูดขึ้นอย่างเร่งรีบเช่นกัน “ข้าจะเฝ้าพี่อาฉิงให้ดี ๆ จะไม่ให้นางไปวิ่งซนที่ไหน”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะหยอกล้อกันอีกแล้ว เจียงป่าวชิงก็เผลอยิ้ม ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ การที่ให้น้อง ๆ ทั้งสองอยู่ที่นี่เห็นทีว่าจะเป็นการทำให้พวกเขาลำบากใจ นางพยักหน้าและพูดกำชับเสียงเบาว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็ระวังตัวด้วย… ว่าแต่มีเงินติดตัวหรือเปล่า ?”
เจียงฉิงพยักหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง “พี่สาว พี่ลืมไปแล้วหรือว่าข้าในตอนนี้ไม่ต่างจากเศรษฐีนีตัวน้อยเลยนะจ๊ะ”
เจียงป่าวชิงเผลอยิ้มออกมาอีกครั้ง
เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ตอนที่พวกนางออกมาจากหมู่บ้านโจร พวกนางทั้งสองได้รับของขวัญเนื่องในโอกาสจากลากันมากมาย และมีหลายคนที่มอบเงินให้พวกนางโดยตรง เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงในเวลานี้ เรียกว่าเป็นเศรษฐีนีตัวน้อยก็ไม่ผิดนัก
.
.