แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 361 รบกวนแล้ว
เจียงฉิงเดินลอยละล่องนำเลี่ยวชุนหยู่ราวกับปลาตัวเล็กสองตัวว่ายน้ำตามกัน พวกเขาเดินจูงมือกันเบียดแทรกไปมาอยู่ในฝูงชน และออกไปได้ในไม่ช้า
เจียงป่าวชิงเห็นน้องทั้งสองออกไปกันได้แล้ว นางค่อยเก็บสายตากลับมา หันความสนใจกลับมาตั้งใจฟังการบรรยายอันเชื่องช้าทว่าเต็มไปด้วยปรัชญาของผู้เฒ่าหยุนไห่บนเวทีต่อไป
คนเก่งที่เก็บซ่อนความสามารถไว้ผู้นี้ช่างน่าทึ่งดีแท้ เมื่อพูดถึงการเรียนรู้ เขาสามารถอธิบายได้อย่างลึกซึ้งโดยใช้ภาษาง่าย ๆ ได้ ทำให้ผู้คนตกหลุมพรางตั้งใจฟังอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้เริ่มต้นฟัง ภาษาพูดและภาษากายของเขาดึงดูดชวนให้เกิดความเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก
เจียงป่าวชิงฟังจนเคลิบเคลิ้ม
หลังจากการบรรยายความรู้ก็เป็นการวิเคราะห์และอธิบายเกี่ยวกับการเรียนการสอนเพื่อสร้างนักปราชญ์ซึ่งนำโดยท่านอาจารย์ของแต่ละสำนัก
เมื่อถึงคราวรบกันด้วยฝีปาก แต่ละคนต่างก็มีมุมมองของตัวเอง ต่างคนต่างพูดน้ำไหลไฟดับทว่าต้องยอมรับว่าแต่ละคนพูดได้น่าฟังมาก
การวิเคราะห์และอธิบายเกี่ยวกับกระบวนการร่ำเรียนวิชานั้นไม่มีถูกผิด ผู้เป็นกรรมการให้คะแนนจะดูว่าความคิดเห็นของใครน่าเชื่อถือและสร้างสรรค์มากกว่ากัน ในความคิดของเจียงป่าวชิง นี่เป็นเหมือนการโต้วาทีสมัยใหม่ นางมองดูพี่ชายของตัวเองที่เปลี่ยนภาพลักษณ์จากอ่อนโยนในอดีตไปเป็นชายขึงขังน่าเชื่อถือ คำพูดอันเฉียบคมของเขาเหมือนดาบแหลมคมที่พร้อมฝ่าฟันฝ่ายตรงข้าม เขาเป็นตัวแทนของผู้เฒ่าหยุนไห่เพียงคนเดียวที่แข็งแกร่งพอจะต่อสู้กับทุกคน เป็นเพียงคนเดียวที่ไล่ฆ่าได้ทั้งสี่ทิศ
ผู้เฒ่าหยุนไห่รู้สึกพึงพอใจในตัวเจียงหยุนชานอย่างเห็นได้ชัด เขาฟังเจียงหยุนชานพูดน้ำไหลไฟดับและพยักหน้าเป็นครั้งคราว ผลงานของเจียงหยุนชานประจักษ์แล้วว่าเขาเลือกศิษย์ไม่ผิดคน
เจียงป่าวชิงแอบพูดในใจ ‘พี่ชายของข้าเก่งขนาดนี้ ใครก็ไม่สามารถโทษว่าผู้เฒ่าหยุนไห่ลำเอียงรักแต่ศิษย์หยุนชานคนนี้ได้’
พี่ชายของนางดีเด่นจริง ๆ
ในเวลานี้ สายลมพัดผ่านเข้ามาในห้องโถง พัดชายเสื้อของผู้คนมากหลาย ม่านที่แขวนอยู่บนชั้นสองก็ปลิวไปตามลมด้วยเช่นกัน พลันคนที่อยู่หลังม่านปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนในทันใด
เห็นได้ชัดว่ามีคนมากมายอยู่หลังม่าน แต่คนที่นั่งอยู่กลับมีเพียงชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งมีรูปลักษณ์ดูดีสูงส่งจนผู้คนไม่สามารถเบนสายตาไปทางอื่นได้ ทั้งสองนั่งอยู่ที่นั่นเหมือนเด็กชายและเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ซึ่งห้ามมิให้ผู้ใดแตะต้องได้โดยง่าย
เจียงป่าวชิงกลับชะงักทันที นางไม่รู้จักสตรีที่แต่งตัวหรูหรารูปโฉมงดงามคนนั้น แต่บุรุษหนุ่มคนนั้น นางจำไม่ผิดอย่างแน่นอน ถ้าไม่ใช่กงจี้แล้วยังจะเป็นใครได้อีก
เขาบอกว่าจะไปจัดการธุระบางอย่าง เสร็จแล้วก็จะมาหานางมิใช่หรือ แล้วทำไมถึงมางานประชุมการบรรยายด้วยกันกับสาวน้อยที่ไหนไม่รู้ในตอนนี้ได้ล่ะ
เจียงป่าวชิงเกิดความคิดมากมายในหัว แม้ช่วงเวลานี้เนื้อหาการบรรยายที่มีคนกำลังพูดอยู่จะมีสีสันน่าสนใจมาก แต่นางรู้สึกร้อนใจจนไม่สามารถฟังต่อได้อีกแล้ว นางอดกัดริมฝีปากล่างไม่ได้และถลึงตาใส่กงจี้อย่างโหดเหี้ยมก่อนจะหมุนตัวจากไปทันที
หลังจากที่ม่านถูกลมพัดปลิว สาวใช้ก็เห็นผู้คนที่ชั้นหนึ่งซึ่งเบียดเสียดกันทั้งห้องโถงพากันมองขึ้นไปชั้นบนเกือบทั้งหมด นางรู้สึกโกรธมากกับสายตาที่ไม่มีสิ่งบดบังเหล่านี้ แต่นางไม่สามารถลงไม้ลงมือกับผู้คนเหล่านั้นได้ สาวใช้จึงคุกเข่าและพูดกับสาวน้อยสูงส่งคนนั้น
“พระราชธิดาเจ้าขา เวลานี้เกิดลมพัดปลิวไร้ม่านบัง บุตรของตระกูลสวรรค์จะเผยใบหน้าออกมาให้เป็นที่พบเห็นมิได้ โปรดท่านกลับขึ้นไปบนราชรถเถอะเจ้าค่ะ”
สาวน้อยยิ้ม ดวงตาใสชำเลืองมองกงจี้ “แม่ทัพกง เจ้าคิดว่ายังไงหรือ ?”
กงจี้เลิกคิ้ว ผู้ที่ต่อสู้เป็นมักอ่อนไหวกับบางสิ่งอยู่เสมอ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
กงจี้ไม่สนใจคำถามของสาวน้อย แต่เขาเลือกที่จะมองลงไปยังห้องโถงชั้นหนึ่ง วันนี้เจียงหยุนชานอยู่บนเวทีบรรยาย เป็นไปไม่ได้ที่เจียงป่าวชิง หญิงอันเป็นที่รักของเขาจะไม่มาดูพี่ชายของนาง
หรือว่า…?
กงจี้ตั้งสมาธิแล้วมองลงไป เขาเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังพยายามเบียดฝูงชนออกไปข้างนอก แน่นอนว่าเขาจำเจียงป่าวชิงได้จากแผ่นหลังของนางแทบจะในทันที ทว่าเขายังไม่สามารถออกไปได้ในตอนนี้
นัยน์ตาของกงจี้หนักแน่นขึ้น เขาส่งสายตาให้กับองครักษ์ข้างกายและเอ่ยสั่งเสียงเบา
องครักษ์ทำความเคารพและจากไปทันที
ทำทุกอย่างเสร็จแล้วกงจี้ถึงจะหันกลับไปมองสาวน้อยคนนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ “เมื่อสักครู่ได้พูดอะไรหรือเปล่า ?”
สาวน้อยชะงัก ความกระดากอายปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของนาง นางก้มหน้าลงเล็กน้อย “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะแม่ทัพกง ข้าถามเจ้าว่าตอนนี้ม่านถูกลมพัดปลิวและผู้คนข้างล่างเห็นเราแล้ว ข้า…”
กงจี้พยักหน้าก่อนจะพูดขึ้นนิ่ง ๆ “ในเมื่อไม่มีม่านบัง เพื่อเห็นแก่ความยิ่งใหญ่ของตระกูลสวรรค์ พระราชธิดาออกจากงานประชุมเถอะขอรับ”
สาวน้อยหน้าซีดเล็กน้อย แต่นางยังคงพยายามรักษาอากัปกิริยาพร้อมส่งยิ้มให้กงจี้ “ในเมื่อแม่ทัพกงพูดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวกลับขึ้นรถก่อน เมื่อข้ากลับวังจะบอกกับท่านพ่อเกี่ยวกับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของงานประชุมการบรรยายในครั้งนี้ตามความจริง”
กงจี้พยักหน้า “พระราชธิดา เชิญขอรับ”
ไม่มีความหมายว่าเขาจะไปส่งแม้แต่น้อย
เมื่อขึ้นมาบนราชรถ สาวใช้มองดูสีหน้าของสาวน้อยแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “พระราชธิดา แม่ทัพกงคนนั้นอวดดีเกินไปหน่อยนะเจ้าคะ”
สาวน้อยส่ายหน้า ก่อนจะพูดขึ้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก “เขาไม่ได้อวดดีหรอก นั่นเป็นอากัปกิริยาโดยกำเนิดของเขา และมันเป็นศักดิ์ศรีที่เขาหามาให้ตัวเอง”
สาวใช้พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “แต่มันค่อนข้าง…”
“เงียบ” สาวน้อยเตือน “ตอนนี้พี่สามอยากให้ข้าสมคบกับเขาไว้ นั่นหมายความว่าเราต้องการเขา เราต้องไม่พูดอะไรที่ไม่สมควรพูด”
สาวใช้แสดงสีหน้าหวาดกลัวพลางรีบทำความเคารพ “ใช่เจ้าค่ะ พระราชธิดาพิจารณาได้อย่างรอบคอบ ข้าน้อยผิดเองเจ้าค่ะ”
สาวน้อยไม่ได้พูดอะไรอีก แต่มีความหมดอาลัยตายอยากแผ่ออกมาจากกายนาง ดูเหมือนว่านางกำลังดูฉากยิ่งใหญ่ในโรงเตี๊ยมหยุนช่าง สายตามองไปยังเขาผู้ที่มีสีหน้าเย็นชาเบื้องหน้าฉากอันยิ่งใหญ่นั้น
……
เจียงป่าวชิงออกมาจากโรงเตี๊ยมหยุนช่างด้วยสภาพจิตใจหดหู่ยากจะอธิบายได้ นางกำลังจะกลับบ้านแต่กลับถูกใครบางคนขวางไว้
“แม่นาง หยุดก่อน”
เจียงป่าวชิงเงยหน้าขึ้นก็ตกตะลึงทันที “ไป๋จีรึ ?”
ไป๋จีที่ไม่เจอหน้ากันนานถึงสามปีดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาทำความเคารพเจียงป่าวชิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “แม่นางเจียงสบายดีนะ ก่อนหน้านี้ข้ากลับมาทำธุระให้นายท่านก่อนล่วงหน้า จึงพลาดไม่ได้พบแม่นางเจียง ตอนนี้ได้เจอหน้ากันแล้ว”
เจียงป่าวชิงชะงักไปเล็กน้อย เมื่อสักครู่ คนที่นั่งอยู่กับสาวน้อยหลังม่านนั้นคือกงจี้จริง ๆ และเขาเห็นนาง
“อ้อ มีธุระอะไรรึ ?” เจียงป่าวชิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
ไป๋จีเห็นว่าเจียงป่าวชิงมีท่าทีเย็นชาเช่นนี้ เขาก็คิดในใจว่าแม่นางเจียงคงจะเห็นแล้วจริง ๆ ดูจากท่าทางของนาง ไม่แน่นางอาจจะกำลังเข้าใจผิดอะไรก็ได้
ไป๋จีรู้สึกปวดศีรษะอย่างมาก
“แม่นางเจียง อันที่จริงเรื่องนี้… แม่นางฟังข้าอธิบายก่อน” ไป๋จีเริ่ม
“เดี๋ยว” เจียงป่าวชิงขัดจังหวะ “ควรให้นายท่านของเจ้ามาอธิบายกับข้าด้วยตัวเอง ไป๋จี ที่เจ้ามาอธิบายนี่หมายความว่ายังไง ?”
“ใช่ เอ่อ… ใช่ แม่นางเจียงพูดถูก” ไป๋จีก้มหน้า
แม้จะเป็นคนเก่งและศิลปะการต่อสู้เป็นเลิศ แต่ก็ต้องฟังอย่างยอมจำนนแล้วในเวลานี้
เจียงป่าวชิงไม่ใช่คนประเภทที่พาลระบายอารมณ์กับคนอื่น เมื่อนางเห็นว่าไป๋จีเตรียมรับความโกรธแทนนายท่านของเขาก็รู้สึกโมโหมากขึ้นไปอีก “ไป๋จี ตอนนี้ข้ารู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นคนของนายท่านของพวกเจ้า ข้าขอตัวกลับก่อน มีอะไรก็ให้นายท่านของเจ้ามาอธิบายกับข้าด้วยตัวเองเมื่อเขาเสร็จจากธุระแล้ว ข้า ไม่ รีบ!”
สามคำสุดท้ายแทบจะแค่นออกมาจากในซอกฟัน นางกัดฟันพูดออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน
ไป๋จีสาบานว่าในเวลานี้เขารู้สึกได้ถึงกระแสสังหารที่เย็นยะเยือก
เจียงป่าวชิงพูดจบก็เดินจากไปไม่หยุดด้วยท่าทางเย็นชาอย่างมาก
ไป๋จียืนมองแผ่นหลังของเจียงป่าวชิงอยู่ที่เดิม เขายืนไว้อาลัยให้กับนายท่านของเขาในใจ ใครใช้ให้นายท่านของเขาไปจากหญิงสาวไม่ได้กันล่ะ
ไป๋จีนำคำพูดของเจียงป่าวชิงกลับไปบอกกงจี้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
กงจี้ปวดศีรษะเข้าให้จนได้ นางโกรธเขาอย่างเห็นได้ชัด และนางคงจะโกรธมากด้วย
กงจี้นั่งไม่พูดอะไรอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา ผ่านไปสักครู่เขาถึงจะถามไป๋จี “พวกเจ้า… มีใครที่แต่งงานแล้วบ้างหรือไม่ มีใครบ้างที่สามารถถ่ายทอดประสบการณ์เรื่องชีวิตคู่ได้”
ไป๋จีรู้สึกเหมือนถูกยิงที่หน้าอกอย่างจัง “เอ่อ… นายท่าน ปีที่ผ่านมาเรามัวแต่เดินทางไปทั่วทุกสารทิศ จะมีหญิงคนใดที่เหมาะสมจะให้เราแต่งงานกันล่ะขอรับ ?”
ไป๋จีพยายามพูดเรื่องเศร้านี้อย่างใจเย็นที่สุด
กงจี้คิดในใจ ‘งานนี้คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว’
.
.
.