แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 362 จมูกที่ไวต่อกลิ่น
ตกกลางคืน เจียงป่าวชิงทำอาหารเต็มโต๊ะเตรียมฉลองให้เจียงหยุนชาน ร่วมกับน้องชายและน้องสาวอย่างสนุกสนาน
เจียงหยุนชานยิ้มอย่างเก้อเขิน “ที่แท้พวกเจ้าก็ไปดูงานกันหมดเลย อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก หลายปีมานี้ข้าไปแสวงหาความรู้กับท่านอาจารย์มาไม่น้อย แต่ตระกูลสวรรค์แนะนำให้บรรยายในครั้งนี้ ผู้มีความรู้ในเมืองหลวงก็เหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าที่พร้อมมองดูและตัดสินเรา ข้าต้องเตรียมตัวให้ดี ๆ ท่านอาจารย์ไม่ได้กดดันอะไรข้าเลยแต่ข้าไม่อยากทำให้ชื่อเสียงของท่านอาจารย์ต้องแปดเปื้อน ช่วงนี้ข้าจึงเพิ่มบทเรียนและเพิ่มเวลาทบทวนให้ตัวเองเยอะ ๆ แต่ตอนนี้สามารถผ่อนคลายได้แล้ว”
เจียงป่าวชิงได้ยินเจียงหยุนชานพูดถึงตระกูลสวรรค์ หัวใจนางพลันกระตุกเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสาวน้อยสูงส่งผู้ซึ่งนั่งกับกงจี้ที่หลังม่านตรงชั้นสอง คิดได้ดังนั้นนางก็ใจลอยอย่างไม่รู้ตัว
“พี่ป่าวชิง พี่…?”
เจียงฉิงส่งเสียงเรียกอยู่สักครู่ เจียงป่าวชิงถึงจะหลุดออกจากภวังค์ความคิดแล้วเห็นว่าทั้งครอบครัวกำลังมองตนเองด้วยความประหลาดใจ
“พี่สาว พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมจ๊ะ ?” เจียงฉิงถามอย่างเป็นห่วง
เจียงป่าวชิงพยายามยิ้มด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ “ข้าไม่เป็นไร เมื่อครู่ข้านึกถึงบุคลิกของผู้เฒ่าหยุนไห่ มันช่างเป็นท่าทางของคนเก่งที่น่าชื่นชมจริง ๆ ชวนให้คนเลื่อมใสอย่างมากเลยเชียว”
เนื่องจากท่าทางของเจียงป่าวชิงนั้นเป็นธรรมชาติจนเกินไปจึงไม่มีใครสังเกตเห็นถึงความผิดปกติและระแคะระคายในอาการของนาง เจียงหยุนชานถึงกับพูดขึ้นยิ้ม ๆ “อื้ม ท่านอาจารย์บอกว่าเมื่อจัดการเรียบร้อยแล้วงานประชุมการบรรยายก็สิ้นสุดลง จากนั้นไม่มีการใหญ่อะไรแล้ว ผ่านไปสองสามวันข้าค่อยพาพวกเจ้าไปเจอกับท่านอาจารย์นะ”
เจียงป่าวชิงพยักหน้า เรื่องใจลอยเมื่อสักครู่จึงผ่านไปด้วยการตบตาที่ไม่มีใครรับรู้
หลังจากกลับมาพักผ่อนที่ห้อง จมูกของเจียงป่าวชิงกระตุกเล็กน้อย นางปิดประตูอย่างแน่นหนาด้วยสีหน้าราบเรียบ เสร็จแล้วหยิบหมอนพลางโถมตัวไปด้านหลังม่านอย่างแรง และร่างนางโดนเข้ากับใครบางคนอย่างที่คิดไว้
กงจี้กอดเจียงป่าวชิงเต็มอกและพูดขึ้น “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ที่นี่ ? กอดนี้จากเจ้าดีมากเลยจริง ๆ”
เจียงป่าวชิงแค่นหัวเราะเย็นชาและออกแรงผลักกงจี้ นี่ไม่ใช่การผลักเพียงเล็กน้อย นางผลักเขาโดยใช้แรงทั้งหมดที่มี ซึ่งเขานั้นก็ไม่คิดว่านางจะเอาจริง ร่างเขาเซลงบนเตียงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ได้แต่ต้องค้ำตัวอยู่บนเตียงและมองนางอย่างงุนงง
เจียงป่าวชิงตบเสื้อผ้าตัวเองเบา ๆ แล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ทำไมข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ? กลิ่นแป้งของใครไม่รู้ติดตัวเจ้ามาหึ่งขนาดนั้น ข้าดมเพียงน้อยนิดก็ได้กลิ่นแล้ว”
กงจี้ยิ่งรู้สึกงุนงงมากกว่าเดิม เขาดมซ้ายทีขวาทีถึงได้พบว่าคงเป็นวันนี้ที่ใช้เวลาอยู่กับเจ้าหญิงจิ่งยู่ จึงมีกลิ่นหอมแป้งบางเบาติดอยู่บนร่างกายของเขา
กงจี้รู้สึกนับถือจมูกของเจียงป่าวชิงจริง ๆ “เจ้าเก่งมาก”
เจียงป่าวชิงมองกงจี้ที่ยังคงมีท่าทีเคารพนับถือนาง ความรู้สึกโกรธแล่นเข้ามาในจิตใจอีกครั้ง
ตอนที่ไป๋จีออกมาขวางนางก่อนหน้านี้ นางได้กลิ่นหอมแตกต่างจากเครื่องหอมทั่วไปข้างนอกอย่างสิ้นเชิง เมื่อสักครู่พอเข้ามาในห้องก็ได้กลิ่นหอมจาง ๆ เช่นเดียวกับกลิ่นนั้นในห้อง เท่านี้ก็รู้แล้วว่าเจ้าคุณชายผู้เป็นโรคชอบบุกเข้ามาในห้องของนางโผล่มาที่นี่แล้ว
“คนร่ำเรียนวิชาการรักษาโรคอย่างข้าจำเป็นต้องแยกแยะเครื่องปรุงยาที่หลากหลาย จมูกจึงไวต่อกลิ่นต่าง ๆ เป็นธรรมดา” เจียงป่าวชิงนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างด้วยท่าทางเย็นชาเต็มที่ สีหน้าของนางก็เย็นชาเช่นกัน อีกทั้งน้ำเสียงก็เยือกเย็นราวกับน้ำค้างเหน็บหนาว “บางทีข้าอาจไม่ควรเรียนวิชาการรักษาโรค จะได้ไม่ต้องมานั่งได้กลิ่นหอมแป้งสตรีบนตัวของคุณชายกง และจะได้ไม่รู้ว่าคุณชายกงมีเวลาว่างมากพอจนสามารถไปฟังงานประชุมการบรรยายกับหญิงอื่นเช่นนี้”
เจียงป่าวชิงโมโหจนพูดจาสับสนวกวนแปลก ๆ แล้ว
“จมูกเจ้าไวต่อกลิ่นอย่างนั้นรึ ?” กงจี้เลิกคิ้วขึ้น “แล้วกลิ่นหึงหวงที่มีอยู่เต็มห้องของเจ้าในตอนนี้ เจ้าได้กลิ่นแล้วหรือยัง ?”
เจียงป่าวชิงหยุดชะงัก นางโมโหเพราะความอับอาย มือพลันหยิบหมอนเมื่อสักครู่ขึ้นมากดทับลงไปบนร่างของกงจี้
เมื่อสักครู่ กงจี้ยอมให้นางเพื่อให้นางได้ระบายอารมณ์ แต่ตอนนี้เขาจะยอมให้นางทำสำเร็จอีกได้อย่างไร เขาดึงร่างบาง ๆ ของนางมาโอบกอดไว้แน่นหนาให้นางอยู่ภายใต้พันธนาการของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่เล็กน้อย “เจียงป่าวชิง ข้าว่าเจ้าเบา ๆ ลงหน่อยเถอะ ข้าไม่สนใจหรอกหากคนอื่นในบ้านจะได้ยินเสียงเราและรู้ว่าข้ามา แต่ถ้าพี่ชายเจ้าเข้ามาเห็นเราในสภาพนี้ เขาฆ่าข้าแน่”
เจียงป่าวชิงแทบจะหัวเราะเพราะความไร้ยางอายของกงจี้ นี่เขายังมีหน้ามาขู่อีก ผ่านไปกี่วันแล้วไม่มาหากัน แต่กลับออกไปเที่ยวเล่นกับหญิงอื่น
โมโห! โมโหจนระเบิดได้อยู่แล้วให้ตายเถอะ!
กงจี้เห็นว่าเจียงป่าวชิงไม่ขยับตัวจึงก้มหน้ามองนางและสีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที เจียงป่าวชิงตาแดงก่ำ ใกล้จะหลั่งน้ำตาออกมาอยู่รอมร่อ
ภาพนี้ทำให้เขามือไม้อ่อนทำอะไรไม่ถูก รีบปล่อยนางพลางพูดขึ้นอย่างประหม่า “ที่รักจ๋า… เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้สิ ข้าจะไม่ให้พี่ชายเจ้าได้ยินเสียงเราเด็ดขาด”
เดิมทีเจียงป่าวชิงอยากร้องไห้เพราะรู้สึกน้อยใจ แต่ตอนนี้เกือบหลุดขำเพราะคำพูดของเขา นี่เขาเห็นนางโกรธเพราะเรื่องนี้หรือยังไง
บ้าจริง!
เจียงป่าวชิงยื่นนิ้วมือออกไปทิ่มบนตัวกงจี้ “คนทรยศอย่างเจ้า ทำไมถึงยังมีหน้ามารังแกข้าได้อีก ?”
กงจี้ถูกสวมหมวกใบใหญ่ที่มีคำว่าคนทรยศเขียนไว้อยู่ด้านบนอย่างงุนงง “อะไร ข้าเป็นคนทรยศตรงไหน ?”
เจียงป่าวชิงทำหน้ามู่ทู่ “เหอะ ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าจะมาหาข้าเมื่อเสร็จจากธุระแล้ว แต่แล้วยังไง ข้ารอเจ้ามาตั้งสิบกว่าวัน เจ้ากลับไปเที่ยวเล่นกับหญิงอื่นหน้าตาเฉย!”
เจียงป่าวชิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจจึงหันหลังให้กงจี้ ไม่อยากสนใจเขาอีก
กงจี้เหนี่ยวร่างของเจียงป่าวชิงให้กลับมาตามเดิม คนที่ขี้เกียจอธิบายให้คนอื่นฟังมาโดยตลอดกลับต้องพยายามจัดระเบียบความคิดเรียบเรียงคำพูดเพื่ออธิบายให้คนรักของเขาฟัง “แม่นางคนนั้นคือเจ้าหญิงจิ่งยู่ การที่ข้าไปรับชมงานประชุมการบบรรยายกับนางนั้นเป็นเพียงเพราะการจัดการของจักรพรรดิ นางเป็นตัวแทนของราชสำนัก หลังจากรับชมเสร็จแล้วนางต้องกลับไปเขียนรายงานต่อจักรพรรดิ”
ลึก ๆ ในหัวใจของเจียงป่าวชิงยังคงเชื่อมั่นในตัวกงจี้ ได้ยินดังนั้นนางก็เงยหน้ามองเขา “จริงรึ ?”
กงจี้นวดขมับ “ข้ากับเจ้าหญิงจิ่งยู่ไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน ข้าไม่อาจสนใจนางหรอก” เขาเก็บสีหน้าและมองเจียงป่าวชิงอย่างสงบ “เจ้าไม่เชื่อข้ารึ ?”
แท้ที่จริงแล้วเจียงป่าวชิงไม่ใช่พวกชอบโวยวายอย่างไร้เหตุผล นางรู้ว่าจักรพรรดิเป็นตัวแทนของอะไรในยุคสมัยนี้ และยามนี้นางก็รู้แล้วว่าตัวเองเข้าใจกงจี้ผิดไปจึงขยับเข้าใกล้เขาด้วยดวงตาที่ยังคงแดงก่ำ “เฮ้อ เจ้าพูดมาตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว”
พฤติกรรมปัดความผิดให้อีกฝ่ายเพราะเขาไม่พูดตั้งแต่แรกเช่นนี้ช่างน่าตีนัก เขายังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ ในฐานะที่เขาเป็นชายอกสามศอก เขาต้องอดทนอย่างเดียวเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้น แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะเสร็จจากธุระล่ะ ?” หลังจากที่เจียงป่าวชิงระบายอารมณ์เสร็จแล้ว ท่าทีนางอ่อนลงไม่น้อย นางพิงร่างของกงจี้และพูดเบา ๆ นั่นทำให้จังหวะการหายใจของเขาถี่ขึ้นทันที
“ใกล้แล้วล่ะ” ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องในครอบครัว กงจี้ก็พยายามควบคุมให้ตัวเองใจเย็นลงพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ผ่านไปอีกไม่กี่วัน เมื่อข้าจัดการเสร็จแล้วข้าอยากกลับบ้าน เจ้าอยากกลับไปกับข้าไหม ?”
เขาอยากให้เจียงป่าวชิงกลับไปกับเขา คนเหล่านั้นในครอบครัว เป็นเพราะปู่ของเขาขวางไว้อยู่เขาจึงยังไม่สามารถทำอะไรพวกนั้นได้ แต่ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องการให้พวกนั้นชดใช้ด้วยเลือด!
เจียงป่าวชิงสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่จากกายของกงจี้จึงตบไหล่เขาเบา ๆ พลางตอบรับ “อื้ม ข้าจะกลับไปกับเจ้า”
……
อรุณรุ่งวันต่อมา เจียงป่าวชิงตื่นมาด้วยความรู้สึกสดชื่น เมื่อคืนกงจี้พูดคุยกับนางมากมายจนสุดท้ายนางก็ผล็อยหลับไป ไม่รู้เลยว่าเขากลับออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ตอนที่เจียงฉิงมาเล่นกับเจียงป่าวชิง นางพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ “พี่สาวจ๊ะ วันนี้พี่ได้ทาอะไรบนใบหน้าหรือเปล่าจ๊ะ ? ทำไมข้ารู้สึกว่าผิวของพี่ผ่องจัง ดูเหมือนกำลังสะท้อนแสงอยู่เลยจ้ะ”
เจียงป่าวชิงได้ยินดังนั้นก็อดลูบใบหน้าตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันเป็นผลทางจิตใจหรือเปล่า เพียงลูบคลำก็ให้ความรู้สึกว่าสัมผัสมันลื่นขึ้นจริง ๆ
หรือว่านี่จะเป็นพลังของความรัก ?
เจียงป่าวชิงกระหยิ่มยิ้มย่องในใจและรู้สึกขำตัวเอง
เจียงฉิงเห็นเจียงป่าวชิงยิ้ม นางก็ยิ้มด้วยเช่นกัน เด็กหญิงเดินเข้าไปจูงมือพี่สาวตัวเอง “พี่สาว เมื่อวานข้ากับชุนหยู่ไปตลาดข้างนอกและเจอกับร้านขายลูกอี๋รสอร่อยมาก วันนี้เราไปกินด้วยกันเถอะนะจ๊ะ”
.