แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 382 ไปเจอพ่อแม่
เจียงป่าวชิงเห็นกงจี้ไม่ได้กางร่ม อีกทั้งบนตัวเขามีหิมะเปื้อนอยู่บ้างก็รู้สึกสงสารอย่างไม่อาจเลี่ยงได้จึงยกร่มขึ้นสูงและกางเผื่อเขาด้วย ทว่าเขากลับปลดเสื้อคลุมตัวใหญ่ของตัวเองออกแล้วนำมาคลุมร่างให้นาง
เจียงป่าวชิงชะงักงัน “อ๊ะ… เอ่อ… ข้าไม่ได้หนาวมากขนาดนั้น เจ้าใส่ไว้เถอะ”
“ยังไงก็ต้องคลุมไว้ เดี๋ยวเป็นหวัด” กงจี้ยิ้มมุมปากพลางช่วยเจียงป่าวชิงผูกเชือกเสื้อคลุมโดยที่ไม่ยอมให้นางคัดค้านเลย เมื่อใส่เสื้อเสร็จออกมาเจียงป่าวชิงดูน่าขันเล็กน้อยเพราะกงจี้ตัวสูง นางจึงดูตัวเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มเมื่อเปรียบเทียบกัน ที่เห็นชัดคือชายเสื้อคลุมตัวใหญ่นี้ยาวมากจนลากพื้นเลยทีเดียว
เจียงป่าวชิงมองกงจี้ยิ้ม ๆ มือก็ดึงชายเสื้อคลุมขึ้นมา ทว่าดึงอย่างไรชายเสื้อคลุมเจ้าปัญหาที่ราคาแพงตัวนี้ยังคงยาวระพื้นอยู่อย่างนั้น สุดท้ายนางอดไม่ไหว สะบัดเสื้อคลุมอย่างแรงแต่กงจี้กลับไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว เขารับร่มมาจากมือนางแล้วยังช่วยสะบัดปลายเสื้อคลุมให้เพื่อไม่ให้มันทำให้นางเดินลำบาก เสร็จแล้วเขาก็โอบเอวบางของนางไว้
“รีบกลับกันเถอะ ฟ้ามืดแล้ว”
ทั้งสองคนอิงแอบแนบชิดพากันออกจากซอยเล็ก ๆ นั้น
เกิ่งจื่อเจียงยืนมองพวกเขาอย่างตกตะลึงอยู่ไม่ไกลจากร้านยา …ที่แท้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่นางเจียงกับคุณชายคนนั้นเป็นเช่นนี้นี่เอง นี่ช่างยากที่จะจินตนาการได้จริง ๆ ตามความเข้าใจของเกิ่งจื่อเจียง อันที่จริงแล้วเจียงป่าวชิงเป็นหญิงที่รู้จักเว้นระยะห่างกับรู้จักความเหมาะสมคนหนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือนางไม่ใช่หญิงที่เข้ากับใครได้ง่าย ๆ เขาไม่เคยเห็นนางเผยสีหน้าดีอกดีใจแบบนั้นออกมาให้เห็น
เกิ่งจื่อเจียงเหม่อลอยสักครู่ ผ่านไปสักพักเขาก็ตบหน้าตัวเองที่แข็งทื่อท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ต้องกลับร้านยาแล้ว ยังมีตัวปัญหารอเขาอยู่
……
“เจ้าจัดการกับธุระทางฝั่งของเจ้าไปถึงไหนแล้วหรือ ?” เจียงป่าวชิงเดินเคียงไหล่กงจี้และเอ่ยถาม
บนท้องนภาสลัว ถนนที่มีหิมะโปรยปรายเล็กน้อยดูค่อนข้างเงียบเหงาและมีคนเดินถนนไม่กี่คน ราวกับว่าบนผืนแผ่นดินนี้มีเพียงนางกับกงจี้สองคน
“ช่วงนี้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็แค่ชั่วคราว” กงจี้ตอบเรียบ ๆ
เสื้อคลุมตัวใหญ่เกินไป เจียงป่าวชิงที่สวมเสื้อคลุมของเขาเหมือนเด็กผู้หญิงที่สวมใส่เสื้อผ้าผู้ใหญ่ยืนข้าง ๆ ชายผู้ที่ทำท่าทางหวงแหนระแวดระวังเกินเหตุราวกับว่าเขากำลังล้อมสมบัติชิ้นเดียวที่ตนมีไว้อยู่อย่างไรอย่างนั้น
กงจี้มองเจียงป่าวชิงนิ่ง ๆ นางดูเหมือนได้รับบาดเจ็บจากความร้อนแรงในสายตาของเขาจนอดก้าวถอยหลังไปไม่ได้ “มะ… มีอะไรติดหน้าข้าหรือเปล่า ?”
แขนของกงจี้ข้างที่กำลังโอบกอดเจียงป่าวชิงออกแรงรัดตัวนางให้แน่นขึ้นกว่าเดิมเพื่อไม่ให้นางหนีไปได้
หัวใจของเจียงป่าวชิงเต้นเร็วและแรงมาก มือขาวผลักเขาออกเบา ๆ ใบหน้าก็แดงเรื่อเขินอาย “เจ้าอย่าทำแบบนี้สิ เรายังพูดเรื่องสำคัญไม่เท่าไหร่เลยแต่เจ้าก็…”
“ก็อะไร…?” กงจี้เพิ่มแรงกอดรัดนางแน่นยิ่งขึ้น ตอนนี้ทั้งสองคนแทบสิงกันรวมเป็นร่างเดียว
เจียงป่าวชิงอดเหยียบเท้ากงจี้ไม่ได้ “เจ้าพูดจาดี ๆ นะ อย่า…”
‘…อย่าทำท่าทางเหมือนกำหนัดทุกครั้งสิ’ เจียงป่าวชิงพูดคำพูดประโยคนี้ออกจากปากไม่ได้จริง ๆ
กงจี้เห็นว่าเจียงป่าวชิงใกล้โกรธแล้วจริง ๆ จึงคลายมือด้วยความเสียดาย “รู้แล้วน่า ข้าไม่แหย่เจ้าแล้วก็ได้”
ได้ยินดังนั้น เจียงป่าวชิงก็หัวเราะพลางเอียงตามองกงจี้เล็กน้อย “ที่แท้ที่คุณชายกงถ่อมาไกลขนาดนี้ก็เพื่อจะมาเย้าแหย่ข้านี่เอง ใช่ไหม ?”
กงจี้อดไม่ได้ เผลอบีบเอวบาง ๆ ของนางจนได้ ผู้หญิงของเขาดูเหมือนจะขาดสารอาหารไปบ้างในตอนเด็กกว่านี้ แม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานางจะค่อย ๆ บำรุงร่างกายมาโดยตลอดและดูมีน้ำมีนวลขึ้น แต่ในความเห็นของเขา นางยังคงต้องบำรุงอย่างดีที่สุด ถึงเวลาต้องได้กินอิ่มนอนหลับ ร้อนต้องได้คลายร้อน หนาวมาก็ต้องได้สวมใส่เสื้อผ้าในฤดูหนาวอย่างหนาและเหมาะสม
ทว่าดูเอาเถิด ยามนี้แม้เสื้อผ้าที่นางใส่อยู่จะหนามากเพียงใด นางก็ไม่ได้ดูอ้วนตุ๊ต๊ะแต่ออกจะดูผ่ายผอมเกินไปด้วยซ้ำ ที่กงจี้บีบเอวนางเมื่อครู่ เขาบีบโดนเสื้อกันหนาวของนางเกือบทั้งหมด เจียงป่าวชิงเพียงแค่รู้สึกชาที่เอวเล็กน้อยเท่านั้น
“ถึงแม้จะไม่ได้มาเพื่อเย้าแหย่เจ้า แต่การที่ได้เย้าแหย่เจ้าก็เป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก” อันที่จริงกงจี้รู้สึกพึงพอใจมากที่เจียงป่าวชิงสวมใส่เสื้อผ้าหนาขนาดนี้
เมื่อเขาพูดไปเช่นนี้ ก็ได้รับสายตาของเจียงป่าวชิงที่ชำเลืองมองมาอีกครั้ง
“อีกสองสามวันเจ้ามีเวลาว่างไหม ?” กงจี้เก็บมือที่โอบเอวเจียงป่าวชิงแล้วยื่นไปบีบมือของนางที่ซุกอยู่ในเสื้อคลุมตัวใหญ่ เขาพบว่ามือของนางค่อนข้างเย็นจึงกางมือแล้วกอบกุมมือของนางไว้พร้อมพูดขึ้นอย่างเอ้อระเหยไปด้วย “ไปเป็นแขกที่บ้านข้าไหม ? แม่ข้าอยากเจอเจ้า”
เขาไม่ได้กลับเมืองหลวงหลายปีแล้ว กลับมาครั้งนี้แน่นอนว่าเขาต้องการชำระสะสางเรื่องคั่งค้างให้เรียบร้อย
เนื่องจากอีกฝ่ายจัดการดูแลมากว่าสิบปี การชำระสะสางในครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องคาวเลือดและความยากลำบากของเรื่องนี้เลย กงจี้ไม่อยากบอกเจียงป่าวชิงเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะเขาไม่ต้องการให้นางเป็นกังวลแทนเขาอย่างไร้สาเหตุ
หลังจากที่สามารถควบคุมสถานที่ที่เรียกว่า “บ้าน” ได้ในระดับหนึ่ง และสามารถรับรองเรื่องความปลอดภัยของนางได้อย่างสมบูรณ์แล้ว กงจี้ถึงจะพาเจียงป่าวชิงกลับไปที่บ้านได้อย่างเปิดเผย
“นี่เจ้า…” เจียงป่าวชิงชะงัก “หมายความว่าจะพาข้าไปเจอพ่อแม่อย่างนั้นรึ ?”
กงจี้พยักหน้า “อื้ม แต่คำพูดที่ถูกพูดออกไปคือให้แม่ข้าได้เจอกับผู้มีพระคุณที่ช่วยรักษาขาให้ข้า” ดวงตาเขาฉายแววยิ้ม “เจ้าอยากแต่งงานกับข้าใจจะขาดแล้วใช่ไหม ?”
“ใจจะขาดรึ หึ!” เจียงป่าวชิงยิ้มอย่างใจเย็น “เจ้าคิดอะไรน่ะ ปีนี้ข้าเพิ่งสิบเจ็ด จากมุมมองของข้า การแต่งงานเร็วเกินไปไม่เป็นประโยชน์ต่อสตรี ข้าตั้งใจว่าจะคุยเรื่องแต่งงานในตอนที่ข้าอายุสักยี่สิบ” เจียงป่าวชิงหยุดพูดไปครู่หนึ่งพลางส่งสายตายั่วยุไปให้กงจี้ “เมื่อถึงตอนนั้น คู่แต่งงานของข้าอาจไม่ใช่คุณชายกงก็ได้”
ไม่นาน เจียงป่าวชิงก็เริ่มเสียใจในภายหลังที่จงใจพูดยั่วยุด้วยคำพูดเมื่อกี้นี้ นางไม่คิดว่ากงจี้ในตอนหึงหวงจะไม่เหมือนกับคุณชายเย็นชาและเย่อหยิ่งในยามปกติคนนั้น…
เจียงป่าวชิงลูบริมฝีปากที่ถูกกดจุมพิตลงมาจนเจ็บ และแอบวิจารณ์ในใจว่าผู้ชายต่างก็ไร้ซึ่งความรู้สึกเหมือนกันหมด
……
อรุณรุ่งวันต่อมา เจียงป่าวชิงยังไม่ลุกขึ้นจากที่นอนก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบดังมาจากนอกลานบ้าน นางสวมเสื้อผ้าหนา ๆ แล้วลุกขึ้นจากเตียง
คนที่ถูกทำให้ตกใจตื่นเช่นเดียวกันยังมีเจียงหยุนชานพี่ชายของนางอีกคน
ช่วงนี้หิมะตก ผู้เฒ่าหยุนไห่จึงให้เจียงหยุนชานหยุดเรียนไปก่อน และยังอนุญาตให้เขาศึกษาค้นคว้าบทเรียนอยู่ที่บ้านได้ แต่เจียงหยุนชานยังคงตื่นเช้าเพื่อออกกำลังกาย เพียงแต่ว่าตอนนี้มันเช้าเกินไปหน่อย ยังไม่ถึงเวลาตามปกติที่เขาตื่นขึ้นมาออกกำลังกายเลย
เจียงหยุนชานเห็นว่าน้องสาวของตนก็ออกมาด้วยเช่นกันจึงรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ป่าวชิง เจ้ากลับไปอยู่ในห้องให้อุ่น ๆ เถอะ ข้าจะไปดูเอง”
เจียงหยุนชานไปเปิดประตูด้วยตัวเอง ส่วนเจียงป่าวชิงก็เดินเลี้ยวไปที่ห้องครัว นางคิดว่าจะต้มน้ำร้อนก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อที่อีกประเดี๋ยวจะได้นำมาล้างหน้าล้างตา
…
เจียงหยุนชานเปิดประตูออกไปก็เห็นครูเวินที่กำลังหอบหายใจและดูมีท่าทีรีบเร่ง ส่วนครูเวิน เมื่อเห็นว่าคนเปิดประตูคือเจียงหยุนชานก็ถามขึ้นอย่างร้อนใจโดยที่ยังหายใจหอบ “แม่นางเจียง… แม่นางเจียงอยู่ไหม ?”
เจียงป่าวชิงออกมาจากในครัวและมองครูเวินด้วยความประหลาดใจ ในความทรงจำของนาง ครูเวินสุภาพอ่อนโยน สุขมและวางตัวอย่างเหมาะสมเสมอมา แต่ในตอนนี้นางกลับมีท่าทีรีบร้อน ดูเหมือนว่าคงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับนาง
“ครูเวินอย่าได้ร้อนใจไป ค่อย ๆ พูดก็ได้จ้ะ” เจียงป่าวชิงรีบเดินมาประคองครูเวินอย่างรวดเร็วพลางส่งสายตาให้เจียงหยุนชานเพื่อให้เขาไปต้มน้ำและชงชาในครัว
เห็นได้ชัดว่าเรื่องอะไรก็ตามแต่ที่เกิดขึ้นกับครูเวินนั้นไม่ค่อยปกตินัก
เจียงหยุนชานกำลังจะเดินไปที่ครัว ครูเวินก็กำข้อมือของเจียงป่าวชิงไว้แน่นและหันไปพูดห้ามเจียงหยุนชานไว้ “ไม่ต้องหรอก ข้า… ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องแม่นางเจียง เดี๋ยวเดียวก็ต้องรีบกลับไป”