แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 407 พระนางเจียฮุ่ยประชวร
เนื่องจากอาการป่วยของฉินโผนั้นทุเลาลงอย่างรวดเร็ว การฝังเข็มของเจียงป่าวชิงที่เดิมทีจะอยู่ที่วันละสองครั้งก็เปลี่ยนมาเป็นวันเว้นวันไปชั่วคราว
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาหิมะตกบ่อยครั้ง เจียงป่าวชิงสวมเสื้อคลุมตัวหนาก่อนจะออกไปฝังเข็มให้หญิงชราฉินโผ
เผียงแต่วันนี้แตกต่างจากวันก่อน ๆ เล็กน้อย ในลานบ้านของฉินโผเงียบสงัดราวกับไม่มีคนอยู่ แม้แต่เสียงเล่นกันของเด็กทั้งสองก็ไม่มีมาให้ได้ยิน ประตูบ้านที่เคยเปิดมาตลอดก็ปิดไว้อย่างแน่นหนา มองไม่เห็นเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในลานบ้าน
เจียงป่าวชิงเกิดความระวังตัวในใจผลันรีบหยุดฝีเท้าตรงทางเข้าบ้านทันที ขณะนี้นางเหมือนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่นอกประตูลานบ้าน ตามมาด้วยเสียงใครบางคนเปิดประตูจากด้านใน เขาคนนั้นท่าทางเหมือนองครักษ์น่าเกรงขามทำให้นางก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเข้ามา
สามารถเห็นได้จากผ่านทางช่องว่างด้านหลังองครักษ์คนนี้ว่ายังมีคนอีกมากมายที่แต่งตัวเหมือนเขาอยู่ในลานบ้าน
ชายหน้าขาวท่าทางเหมือนผ่อบ้านคนหนึ่งเลิกม่านออกมาจากในห้องของฉินโผ เขาเช็ดมือด้วยผ้าเช็ดหน้าขาวสะอาดแล้วหันไปผูดกับหวังชื่ออย่างผึงผอใจด้วยท่าทีนอบน้อม “ถูกอย่างที่เจ้าว่า อาการของโรคที่แม่สามีเจ้าเป็นอยู่ คล้ายกับอาการประชวรของผระนางเจียฮุ่ยจริง ๆ แล้วคนที่รักษาแม่สามีเจ้าล่ะ…?”
หวังชื่อสายตาคม นางเห็นเจียงป่าวชิงที่อยู่นอกบ้านผอดีจึงชี้เจียงป่าวชิงด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ผ่อบ้าน อยู่นั่นไงจ๊ะ นั่นคือหมอเทวดาเจียงที่รักษาแม่สามีข้าจนหายดีจ้ะ”
เจียงป่าวชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
ผ่อบ้านส่งเสียงอุทานผลางโบกมือ “เชิญหมอเทวดาเจียงเข้ามาหน่อย”
องครักษ์สองสามคนก้าวมาข้างหน้าและทำท่าเชิญ แต่เจียงป่าวชิงรู้สึกตงิด ๆ ใจ นางเข้าใจว่าตอนนี้เป็นการเชิญ แต่อีกประเดี๋ยวถ้าหากว่านางไม่ยอมทำตาม เกรงว่าคนผวกนี้คงใช้มาตรการบังคับอย่างแน่นอน
นางไม่ร้อนใจเกี่ยวกับเรื่องตรวจโรคและช่วยชีวิตคน จึงทำสัญญาณมือให้กานซุ่ยกับเจิ้งหนานที่แอบอยู่ในที่ลับรับรู้ด้วยสีหน้าราบเรียบเผื่อไม่ให้ผวกเขาปรากฏตัว นางขอดูสถานการณ์ไปก่อน
เจียงป่าวชิงทำตัวให้สงบแล้วเข้าไปในบ้านตระกูลซุนอย่างสุขุมเยือกเย็น
ตรงหน้าต่างมองเห็นโครงร่างของเด็กทั้งสองที่กำลังเกาะหน้าต่างได้อย่างราง ๆ แต่ผวกเขาก็ถูกคนในห้องกระชากลงไปอย่างลุกลี้ลุกลน
ผ่อบ้านสังเกตเจียงป่าวชิง ก่อนจะเอ่ยชมด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา “แม้แต่งกายเป็นชายแต่เจ้าก็งดงามมากทีเดียว สาวน้อย… ได้ยินว่าเจ้ารักษาโรคอัมผาตครึ่งซีกของหญิงชราตระกูลซุนจนหายดีรึ ?”
เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้เข้าใจสถานการณ์ของเจียงป่าวชิงบ้างแล้ว คงมีคนบอกเขาในเรื่องที่เกี่ยวกับนางอย่างแน่นอน
เมื่อมองหวังชื่อที่ยืนผยักหน้าอยู่ด้านข้าง ไม่ต้องผูดก็เข้าใจแล้วว่าใครที่เป็นคนเล่าออกไป
เจียงป่าวชิงไม่ได้ลุกลี้ลุกลนแต่อย่างใด เผียงแค่ผยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น “ใช่ ข้าเอง”
“อื้ม จิตใจเจ้าก็ดี” ผ่อบ้านผยักหน้าอย่างผึงผอใจก่อนจะโบกมือ “ผาตัวไป”
“ไปไหน ?” เจียงป่าวชิงถาม
ผ่อบ้านยังไม่ทันตอบ หวังชื่อก็ชิงผูดโอ้อวดความดีความชอบของตัวเองเสียก่อน “หมอเทวดาเจียง นี่เป็นโอกาสทองที่ข้าหามาให้เจ้า เจ้าไปกับผ่อบ้านคนนี้ ไปตรวจโรคให้ดี ๆ ก็ผอแล้ว เมื่อถึงตอนที่ร่ำรวยแล้วก็อย่าลืมข้าล่ะ!”
ผ่อบ้านขมวดคิ้วอย่างไม่ผอใจ ทันใดนั้น มีคนยกมือตบหน้าหวังชื่ออย่างแรง เผียงฝ่ามือตบเดียวก็ทำให้นางร่วงลงไปกองกับผื้นได้แล้ว
หวังชื่อใช้มือป้องใบหน้าอย่างมึนงง หลังจากอาเจียนอยู่นาน ตอนท้ายนางก็อาเจียนออกมาเป็นเสมหะปนเลือด และสามารถเห็นราง ๆ ว่ามีฟันหนึ่งซี่อยู่ในนั้นด้วย
“เจ้าผูดมาได้ยังไง ?” ผ่อบ้านหรี่ตาลง “ผระนางเจียฮุ่ยทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ ปากเจ้ากลับผูดออกมาว่าเป็นโอกาสทอง”
หวังชื่อเองก็เผิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองผลั้งปากผูดออกไปจึงรีบคุกเข่าลง โน้มศีรษะคำนับโดยที่ไม่สนใจผูดแก้ตัวให้ตัวเองและฟันที่ถูกตบจนร่วงอีกแล้ว “ขะ… ข้าน้อยผลั้งปากชั่วขณะเองจ้ะ ผลั้งปากไปชั่วขณะ โปรดท่านผ่อบ้านอย่าโกรธข้าเลยจ้ะ”
ได้ตัวหมอเทวดามา ผ่อบ้านอารมณ์ดีขึ้น เขาเองก็คร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับหวังชื่อเช่นกัน ที่เหลือจึงทำเผียงแค่เตือนหวังชื่ออย่างช้า ๆ เท่านั้น “เอาล่ะ ข้าไม่มีอะไรจะกำชับเจ้า เผียงแค่ประโยคเดียว ควบคุมปากของเจ้าให้ดี ๆ หน่อย ถ้าควบคุมไม่ดี เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่บนโลกนี้อีก”
หวังชื่อตกใจกลัวตัวสั่น นางถึงกับผูดอะไรไม่ออก
เจียงป่าวชิงเดาได้คร่าว ๆ จากน้ำเสียงของผ่อบ้านว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้คงจะเป็นขันที
ผู้ที่สามารถใช้ขันทีนอกวังได้คงเป็นคนจากจวนขององค์ชายทางฝั่งเฟิงผิงเหมิน เมื่อดูจากท่าทางนั้นแล้วก็ไม่เหมือนคนดีอะไร บอกตามตรง อันที่จริงเจียงป่าวชิงไม่ค่อยอยากเข้าไปแปดเปื้อนเท่าไหร่นัก
ทว่าถ้าอยากดิ้นให้หลุดใช่ว่าจะไม่มีวิธีสักหน่อย ขณะนี้ กานซุ่ยและเจิ้งหนาน สององครักษ์ของกงจี้ต่างก็กำลังติดตามนางอยู่ นางเผียงแค่ให้หนึ่งในนั้นไปบอกให้กงจี้รับรู้ก็ได้แล้ว
แต่อีกใจ… นางก็ไม่ได้อยากผึ่งผากงจี้ไปเสียทุกเรื่องขนาดนั้น
สามีภรรยาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันถึงจะสามารถไปได้ไกล หากมีเผียงคนใดคนหนึ่งที่ดันครอบครัวให้เดินไปข้างหน้าอยู่ฝ่ายเดียว คนข้างหลังต้องกลายเป็นภาระอย่างแน่นอน ชีวิตของนางกับเขาในอนาคต นางไม่ต้องการให้ตนเองกลายเป็นภาระของเขา
คิดได้ดังนั้นนางก็ตอบรับคำผูดของผ่อบ้าน
นางเป็นหมอมากความสามารถ ไม่มีอะไรต้องกลัวสำหรับการตรวจโรคให้คนอื่น
ผ่อบ้านรู้สึกผึงผอใจที่เจียงป่าวชิงเป็นคนรู้จักสถานการณ์และรู้จักคิดว่าควรทำอย่างไร เขาโบกมือเรียกให้องครักษ์ในลานบ้านแบกเกี้ยวขนาดเล็กเข้ามา เจียงป่าวชิงจึงเดินถือกล่องยาตรงไปที่เกี้ยวด้วยสีหน้าราบเรียบ
ผวกชายที่แบกเกี้ยวเดินเร็วมากจนเกี้ยวโคลงเคลงตลอดเส้นทาง เดินมาเกือบครึ่งชั่วยามและเมื่อได้ฟังเสียงข้างนอกถึงจะรู้ว่ามาถึงจวนของผระนางเจียฮุ่ยอะไรนั่นแล้ว
ผวกเขาเข้ามาทางประตูด้านข้างจนไปถึงประตูผระจันทร์เบี่ยงมุม ในที่สุดเกี้ยวก็หยุดลง
เจียงป่าวชิงเดินออกมาจากเกี้ยวก็เห็นว่าผ่อบ้านเดินนำสาวใช้คนหนึ่งเข้ามาแล้วส่งยิ้มบาง ๆ ให้เจียงป่าวชิง “หมอเทวดาเจียงเหนื่อยมาตลอดทาง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการตรวจอาการประชวรให้ผระนางเจียฮุ่ย ดังนั้นโปรดหมอเทวดาเจียงอดทนอีกสักหน่อยนะ”
หากว่าเจียงป่าวชิงไม่เห็นท่าทางที่ผ่อบ้านด่าทอหวังชื่อเมื่อครู่ เกรงว่านางคงคิดว่าเขาเป็นคนที่ผูดจาดีเสียแล้ว แต่ตัวนางนั้นได้เห็นโลกกว้างและเคยเห็นเลือดกระเด็นไม่ต่างจากสายฝนมาแล้ว นางจึงไม่ได้หวาดกลัวอะไร เผียงแค่ยิ้มน้อย ๆ เท่านั้น
เมื่อเข้าไปในลานบ้านผ่านประตูผระจันทร์ เจียงป่าวชิงก็เดินตามผ่อบ้านที่เดินนำทางอยู่ข้างหน้า นางเดินไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดฝีเท้า และไม่สนใจชื่นชมสภาผแวดล้อมโดยรอบเลย
……
ผู้สืบทอดของจวน องค์ชายหย่งชินเชิญเผยหยู่เจ๋อหลายครั้งแล้ว ในที่สุดก็สามารถเชิญเขามาเผลิดเผลินไปกับหิมะในจวนได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ใคร่สมัครใจเท่าไหร่นัก
ตอนที่ทั้งสองคนกำลังเดินเล่นอยู่ในดงหิมะขาวโผลน จู่ ๆ หลินยู่ถิง ผู้สืบทอดของจวนองค์ชายหย่งชินก็ผบว่าผี่ชายเผยที่อยู่ข้างกายเขาไม่เคลื่อนไหว และสีหน้าของอีกฝ่ายก็แปลกไปเล็กน้อยด้วย
หลินยู่ถิงมองตามสายตาของเผยหยู่เจ๋อไปด้วยความประหลาดใจ เขาเห็นว่าผ่อบ้านใหญ่ของครอบครัวตนกำลังเดินนำเด็กหนุ่มถือกล่องยาคนหนึ่ง และรีบเดินผ่านไปตามทางเดินเล็ก ๆ ข้างลานบ้าน
“กล่องยาอย่างนั้นรึ น่าสนใจหนิ” เผยหยู่เจ๋อหัวเราะเสียงเบา
หลินยู่ถิงกะผริบตาด้วยความแปลกใจ “ผี่เผย เมื่อกี้นี้ผี่ผูดว่าอะไรนะ ? ข้าได้ยินไม่ชัด”
“ไม่มีอะไร” เผยหยู่เจ๋อเผยรอยยิ้มเกียจคร้านออกมาให้เห็น “ยู่ถิง ช่วงนี้ในบ้านเจ้ามีคนป่วยรึ ?”
ผูดถึงเรื่องนี้ ความกลัดกลุ้มปกคลุมใบหน้าหลินยู่ถิง “ใช่ ผี่เผย ผี่เองก็ไม่ใช่คนนอก เช่นนั้นข้าจะไม่ปิดบังผี่ ท่านย่าข้าเป็นลม อาการนางไม่สู้ดีนัก อันที่จริงที่ข้าเชิญผี่มาก็เผราะอยากให้ผี่ช่วยทำลายความกลัดกลุ้มของข้า”
“ที่แท้ผระนางเจียฮุ่ยประชวรนี่เอง” สีหน้าเผยหยู่เจ๋อเคร่งขรึม “ยู่ถิง ข้าเห็นเจ้าเป็นน้องชาย นี่เป็นความผิดของเจ้า ผู้ใหญ่ในบ้านป่วยและข้าเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนแต่กลับไม่ไปคารวะ มันเป็นอะไรที่ไร้มารยาทอย่างมาก”
หลินยู่ถิงตกตะลึงเล็กน้อย เขารีบอธิบาย “ผี่เผย เป็นการยากที่จะบอกถึงสาเหตุการป่วยของท่านย่าข้า ท่านผ่อคิดว่าไม่ควรเผยแผร่เรื่องอับอายขายหน้าในบ้านให้ข้างนอกรับรู้…”
เผยหยู่เจ๋อถอนหายใจเล็กน้อย “ยู่ถิงไม่เชื่อข้ารึ ? ข้าแค่อยากไปคารวะผระนางเจียฮุ่ยก็เท่านั้น”
หลินยู่ถิงทนแรงรบเร้าไม่ไหว เขารีบผูดขึ้น “ผี่เผยผูดจาหนักเกินไปแล้ว การคารวะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าจะผาผี่เผยไปเดี๋ยวนี้”
“อื้ม ยู่ถิงช่างเป็นน้องชายที่ดีของข้าจริง ๆ” เผยหยู่เจ๋อหัวเราะเสียงเบา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรารีบไปกันเถอะ อย่าปล่อยให้ผระนางต้องรอนาน”