แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 413 องค์หญิงเล็ก
เจียงป่าวชิงจำชื่อสาวใช้คนนี้ได้ นางชื่อมี่หลิว ส่วนสาวใช้อีกคนที่รูปร่างเล็กกว่าหน่อยชื่อสุนถาวซึ่งกำลังทำความสะอาดลานบ้านอยู่ข้างนอก
เจียงป่าวชิงยิ้ม “ไม่รบกวนพี่มี่หลิวหรอกจ้ะ ข้าเอนศีรษะพักสักครู่ก็ดีขึ้นจ้ะ”
มี่หลิวก้มศีรษะให้อย่างนุ่มนวล “แม่นางเจียงเป็นแขกผู้มีเกียรติของจวน และเป็นหมอเทวดารักษาโรคให้กับพระนางเจียฮุ่ย มี่หลิวมิอาจรับคำว่าพี่ของแม่นางเจียงได้เจ้าค่ะ แม่นางเรียกข้าว่ามี่หลิวธรรมดา ๆ ก็ได้เจ้าค่ะ”
เจียงป่าวชิงไม่ใช่คนเคร่งในกฎเกณฑ์ นางเองก็ไม่อยากไปบังคับให้ผู้อื่นคล้อยตามความเคยชินของตน จึงพยักหน้าและกำลังจะพูดอะไรบางอย่างทว่ากลับได้ยินเสียงเรียกหาดังมาจากข้างนอกเสียก่อน “เซียงเซียง เซียงเซียงเจ้าอยู่ไหน ? เซียงเซียง!”
เสียงนี้ไม่ถือว่าดังมากนัก ออกจะเลือนรางด้วยซ้ำ แต่เมื่อฟังดูแล้วเหมือนเสียงนั้นกำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
มี่หลิวอธิบายกับเจียงป่าวชิงว่า “เซียงเซียงเป็นเจ้าสุนัขเลี้ยงขององค์หญิงเล็กเจ้าค่ะ… ข้าน้อยขอตัวไปดูสักครู่นะเจ้าคะ”
เจียงป่าวชิงพยักหน้า หลังจากที่มี่หลิวเลิกม่านออกไปก็ได้ยินเพียงเสียงทำความเคารพของพวกนางอย่างเลือนราง คล้ายกับกำลังพูดว่าองค์หญิงเล็กประมาณนั้น
เจียงป่าวชิงเองก็เลิกม่านออกไปและพบว่ามีคนจำนวนหนึ่งอยู่ในลานบ้าน ผู้ที่นำอยู่ด้านหน้าสุดเป็นเด็กสาวใส่เสื้อคลุมผ้าแพรปักดอกไม้พื้นหลังสีขาวหิมะเหลือบสีมรกต ขนสุนัขจิ้งจอกสีเงินบนเสื้อคลุมขับให้ใบหน้าของเด็กสาวน่ารักน่ามองเหมือนกับขนมอี๋
เมื่อเด็กสาวเห็นเจียงป่าวชิงก็ชะงักไปเล็กน้อย เดิมทีใบหน้าที่แดงจากการถูกลมและหิมะพัดเข้าใส่ก็ยิ่งแดงก่ำมากกว่าเดิม
“องค์หญิงเจ้าคะ นี่คือแม่นางเจียงที่มารักษาพระนางเจียฮุ่ยเจ้าค่ะ” มี่หลิวพูดขึ้นเสียงเบา
“เข้าพบองค์หญิงเล็กเจ้าค่ะ” เจียงป่าวชิงคุกเข่าทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“นี่คือเจียงป่าวชิงคนนั้นเองรึ…” องค์หญิงเล็กถอนหายใจด้วยเสียงแผ่วเบา นางทักทายเจียงป่าวชิงอย่างมีมารยาททั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังคงแดงก่ำ “แม่นางเจียงสบายดีนะจ๊ะ ข้าต้องรบกวนเจ้าสำหรับอาการป่วยของท่านย่าด้วยนะ”
เจียงป่าวชิงตอบกลับอย่างสุภาพ “มันเป็นหน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
ทุกคนยืนกันอยู่ในลานบ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมด้วยความรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย ไม่นานนัก เป็นสาวใช้ขององค์หญิงเล็กที่เตือนองค์หญิงเล็กขึ้นมา “องค์หญิงเจ้าคะ ยังหาเซียงเซียงไม่เจอนะเจ้าคะ…”
องค์หญิงเล็กราวกับเพิ่งตื่นขึ้นมาจากความฝัน “อ๊ะ ใช่ เช่นนั้นเราขอตัวก่อน” พูดจบ นางก็พาพวกสาวใช้จากไปอย่างเร่งรีบราวกับกำลังหลบลี้หนีหน้า
เจียงป่าวชิงเลิกคิ้ว ก่อนจะกลับเข้าไปในห้อง
“องค์หญิงท่านขี้อายมาแต่กำเนิดเจ้าค่ะ” มี่หลิวเห็นว่าเจียงป่าวชิงเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างจึงอธิบายอย่างเร่งรีบ “นางไม่ได้มีเจตนาปฏิบัติต่อแม่นางเจียงอย่างเย็นชานะเจ้าคะ”
เจียงป่าวชิงยิ้มน้อย ๆ นางไม่ได้รู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชาอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าองค์หญิงเล็กคนนี้ดูน่าสนใจไม่น้อยเลย ถึงแม้ว่าเมื่อครู่นี้พวกนางทั้งสองจะไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมาย แต่เจียงป่าวชิงดูรู้เกี่ยวกับนิสัยไม่สันทัดในการเข้าสังคมขององค์หญิงเล็ก …ที่องค์หญิงบอกว่ามาตามหาสุนัขเลี้ยงในครั้งนี้ เกรงว่าคงมาสังเกตนางเสียมากกว่า
เจียงป่าวชิงหยิบถ้วยชาขึ้นมาพลางค่อย ๆ ช้อนฟองชาออกด้วยฝาชา จิบชาและยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่คนเดียว ดูเหมือนว่าในจวนองค์ชายแห่งนี้ไม่ได้มีแค่พระชายารองอิง คงมีคนอื่นอีกไม่น้อยที่สงสัยในจุดประสงค์ของการกระทำของนาง
องค์หญิงเล็กมาสังเกตนางโดยตรงด้วยการอาศัยว่ามาตามหาสุนัข แต่ก็ถือว่าตรงไปตรงมาและดูดีกว่าพวกคนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับและจ้องหาโอกาสเหล่านั้น
แต่นี่มันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร แม้เจียงป่าวชิงจะรักษาพระนางเจียฮุ่ย แต่ด้วยความที่ยังสาว จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนอื่นจะสงสัยในทักษะการรักษาโรคของนาง ประกอบกับรูปลักษณ์อันแสนงดงาม… น่าจะมีอีกหลายคนที่สงสัยว่านางเป็นคนที่พระชายาหามาเพื่อเอาอกเอาใจองค์ชายเช่นเดียวกับพระชายารองอิง
อย่างไรก็ตาม เจียงป่าวชิงไม่สามารถควบคุมความคิดของคนอื่นได้ เพียงแค่อย่ามาเป็นอุปสรรคในการรักษาพระนางเจียฮุ่ยก็พอแล้ว
นางวางถ้วยชาลงแล้วยิ้มเล็กน้อย
……
สองวันหลังจากนั้น เจียงป่าวชิงฝังเข็มให้พระนางเจียฮุ่ยหนึ่งครั้งในตอนเช้าและตอนเย็นตามปกติ ส่วนพระชายา ไม่ว่าจะยุ่งมากเพียงใดนางก็มักหาเวลามาให้ความช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ ด้วยตัวเองเสมอ มีสองครั้งที่องค์ชายหย่งชินมาดูการฝังเข็มของเจียงป่าวชิง เมื่อได้พบเห็นเป็นครั้งแรก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที แต่ต่อมาหมอหลวงที่ขอมาจับชีพจรจากในวังบอกว่าแม้พระนางเจียฮุ่ยจะยังไม่ตื่น แต่เห็นได้จากสภาพชีพจรว่าอาการของพระนางเจียฮุ่ยค่อย ๆ ดีขึ้น องค์ชายหย่งชินถึงค่อย ๆ วางใจ
คืนวันนี้ ตอนที่เจียงป่าวชิงกลับมาจากไปฝังเข็มให้พระนางเจียฮุ่ย เวลาก็ล่วงเลยมาถึงตอนค่ำแล้ว ตอนที่เข้ามาในห้องนางก็เห็นว่ามีจดหมายเชิญสีทองซองใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ
มี่หลิวช่วยเจียงป่าวชิงถอดเสื้อคลุมแล้วนำไปแขวนไว้ข้าง ๆ ก่อนจะอธิบายว่า “นี่เป็นจดหมายเชิญที่คนของเชียนไป่จูนำมาส่งเมื่อสักครู่เจ้าค่ะ บอกว่าองค์หญิงเล็กเชิญแม่นางไปงานเลี้ยงชมดอกเหมยที่องค์หญิงจัดขึ้นในวันมะรืนเจ้าค่ะ”
เชียนไป่จูเป็นเรือนของหลินยู่หยุนหรือองค์หญิงเล็กของจวนองค์ชายหย่งชิน เจียงป่าวชิงเปิดซองจดหมายเชิญออกดูและพบว่าตัวเองถูกเชิญให้ไปงานเลี้ยงชมดอกเหมยจริง ๆ
“อันที่จริง องค์หญิงเล็กท่านอยากยกเลิกงานเลี้ยงชมดอกเหมยในขณะที่พระนางเจียฮุ่ยกำลังประชวรเจ้าค่ะ” มี่หลิวพูดขึ้นเสียงเบา “แต่พระชายาบอกว่าเดิมทีพระนางเจียฮุ่ยก็ส่งเสริมให้องค์หญิงเล็กได้ทำความรู้จักเพื่อนให้มาก ๆ อยู่แล้ว อีกทั้งสถานที่จัดงานเลี้ยงชมดอกเหมยก็อยู่ไกลจากอันหย่วนย่วนมากจึงไม่รบกวนพระนางเจียฮุ่ยแต่อย่างใด นอกจากนี้จดหมายเชิญไปงานเลี้ยงชมดอกเหมยในครั้งนี้ก็ส่งออกไปกว่าครึ่งเดือนที่แล้ว คุณหนูจากทุกตระกูลต่างก็ตอบรับคำเชิญกลับมาว่าจะมาเข้าร่วมงานเลี้ยง และยังมีบุตรสาวของข้าราชการเล็ก ๆ ที่แย่งชิงกันเพื่อให้ได้รับจดหมายเชิญสองใบอีกด้วย ถ้าหากว่ายกเลิกในตอนนี้ แม้ทำได้ แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้อาจก่อให้เกิดการคาดเดารอบใหม่ที่มีต่ออาการประชวรของพระนางเจียฮุ่ยก็เป็นได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นอาจจะแย่เจ้าค่ะ”
เจียงป่าวชิงมองมี่หลิว มี่หลิวจึงอธิบายสถานการณ์อย่างละเอียด ทั้งยังบอกด้วยสีหน้าราบเรียบว่ามีใครที่ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงชมดอกเหมยในครั้งนี้ด้วย
แม้นางชอบเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ แต่เมื่อคิดว่าต้องเผชิญหน้ากับพวกคุณหนูมากมายในงานนั้น ไม่แน่อาจมีใครใช้ลูกไม้ไม่ดี ๆ ก็ได้ เพียงแค่คิดก็รู้สึกว่ามันยุ่งยากแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นรบกวนมี่หลิวช่วยตอบกลับทางฝั่งเชียนไป่จูแทนข้าด้วยว่าข้าดีใจและรู้สึกขอบคุณมากที่ได้รับเชิญ แม้ข้าจะอยากไปเข้าร่วมงานเลี้ยงมากแค่ไหนแต่อาการประชวรของพระนางเจียฮุ่ยกำลังอยู่ในจุดสำคัญซึ่งข้าต้องคอยดูอยู่ตลอดเวลาจึงไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยง และขอบคุณองค์หญิงสำหรับคำเชิญที่หวังดีนี้” เจียงป่าวชิงพูดอย่างช้า ๆ พร้อมยื่นจดหมายเชิญให้มี่หลิว
มี่หลิวมองเจียงป่าวชิง แม่นางเจียงคนนี้ปากบอกว่าดีใจ แต่เมื่อดูจากท่าทางของนาง นั่นมันท่าทางดีใจที่ไหนกัน
แม้คิดเช่นนี้ในใจ แต่มี่หลิวยังคงแสดงความเคารพตอบอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยจะไปบอกต่อข้อความเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
เดิมทีเจียงป่าวชิงไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจอะไร ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป เพราะขอบเขตของสิ่งที่นางต้องทำในปัจจุบันอยู่ในอันหย่วนย่วน ต่อให้งานเลี้ยงชมดอกเหมยจะรื่นเริงและน่าสนใจมากเพียงใด นางก็ไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้
ในวันงานเลี้ยงชมดอกเหมย หลังจากที่เจียงป่าวชิงฝังเข็มให้พระนางเจียฮุ่ยเสร็จแล้ว นิ้วมือของพระนางเหมือนขยับเล็กน้อย เจียงป่าวชิงรีบเพ่งมองอย่างละเอียดแต่ก็พบว่าเมื่อสักครู่เป็นเพียงภาพลวงตาเพราะตอนนี้พระนางเจียฮุ่ยนอนนิ่งไม่ไหวติง
เจียงป่าวชิงชะงักก่อนจะเก็บเข็มเงินแล้วส่งให้สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างเพื่อให้นำเข็มเงินไปฆ่าเชื้อด้วยเหล้าฤทธิ์แรง
วันนี้ดูเหมือนว่าพระชายายากที่จะแยกตัวออกมาเพราะติดธุระที่งานเลี้ยงชมดอกเหมย ภายในห้องจึงดูโล่งกว้างขึ้นมาถนัดตา
ในตอนที่เจียงป่าวชิงเก็บกระเป๋าเข็มกับกล่องยาก็เห็นมี่หลิวเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนใจ นางมายืนตรงฉากกั้นลมพร้อมส่งสายตาให้เจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงเห็นว่านางไม่เหมือนกับทุกทีจึงเดินเข้าไปและกำลังจะเอ่ยถาม แต่นางกลับเห็นมี่หลิวคุกเข่าลงกับพื้นเสียก่อน แม้เสียงของนางจะเบาแต่สีหน้าแสนร้อนใจ “แม่นาง ข้าขอร้องแม่นางช่วยสุนถาวด้วยเถอะนะ…”
.
.