แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 43 เชิญเริ่มการแสดงของเจ้าได้เลย
ตอนที่ 43 เชิญเริ่มการแสดงของเจ้าได้เลย
สีหน้าของเจียงอีหนิวย่ำแย่มาก ผู้ชายร่างใหญ่กลับถูกรายล้อมด้วยพวกสะใภ้ที่กำลังส่งเสียงเจื้อยแจ้วและมองดูด้วยความสนุก
ตอนนี้เขาขุ่นเคืองใจมาก จากนั้นเขาก็ตะเพิดใส่โจซื่อ “มีอะไรกลับไปพูดกันที่บ้าน! หยุดก่อเรื่องวุ่นวายได้แล้ว เจ้าหัดอายคนอื่นเขาบ้างเซ่!”
โจซื่อไม่คิดมาก่อนว่าเจียงอีหนิวจะสมคบกับแม่หม้ายในหมู่บ้าน แล้วนี่เขายังมีหน้ามาตะเพิดนางอีก ในตอนนั้นนางทั้งน้อยใจและโกรธเป็นฟืนเป็นไฟผสมกัน จึงยืดคอเพื่อก่นด่าเจียงอีหนิวอย่างไม่สนใจ “เจ้า… เหตุใดถึงยังมีหน้ามาว่าข้า ? ตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าดูแลพ่อแม่ให้เจ้า มีลูกให้ให้ ทั้งยังทำงานบ้านสารพัด มีตรงไหนที่ข้าทำไม่เหมาะกับความต้องการของเจ้า ? เจ้าบอกมาสิ! อะไรดลใจให้เจ้าไปสมคบกับแม่หม้ายนอกบ้านเช่นนี้ เจียงอีหนิว เจ้ามันเป็นคนไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ! เจ้ามัน… เจ้ามัน…”
เจียงอีหนิวยังไม่ทันได้พูดอะไร แม่หม้ายซ่งกลับส่งเสียงร้องไห้อย่างน่าสงสารเสียก่อน “ฮือ ๆ ๆ สะใภ้ตระกูลเจียง เจ้าเข้าใจพี่อีหนิวผิดแล้ว พี่อีหนิวกับข้าไม่ได้มีอะไรกัน ครั้งที่แล้วเขาเห็นข้าน่าสงสารจึงช่วยข้าตักน้ำสองถัง แล้วการที่ข้าให้ผ้าเช็ดหน้าเขาก็เพื่อให้พี่อีหนิวเอาไปเช็ดเหงื่อเท่านั้นเอง… พี่อีหนิวดีกับเจ้าขนาดนี้ เจ้ายังเข้าใจเขาผิดอีก ข้าล่ะรู้สึกเสียดายแทนพี่อีหนิวจริง ๆ” นางร้องไห้ราวกับดอกสาลี่ชุ่มน้ำฝน ใครเห็นก็เป็นสงสาร
ราวกับเจียงอีหนิวหาความมั่นใจเจอทำนองนั้น เขาถึงได้จ้องโจซื่ออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ “เห็นหรือยัง นางรู้เรื่องมากกว่าเจ้าอีก ไป! รีบกลับบ้าน แล้วอย่ามาทำตัวน่าขายหน้าข้างนอกอีก!”
โจซื่อลังเลใจสักครู่ หากเทียบกับการที่ผัวตัวเองไปสมคบกับคนอื่นเช่นนี้ นางเต็มใจที่จะเชื่อว่าผัวตัวเองไม่ได้ออกไปทำเรื่องวุ่นวายมากกว่า
นางคลายมือที่กำลังดึงผมของแม่หม้ายซ่งออกด้วยสีหน้าที่ยังคงลังเล
ขณะเดียวกันสีหน้าของเจียงอีหนิวแย่มาก เขาตะเพิดให้โจซื่อกลับบ้าน จากนั้นก็เดินนำไปอย่างโมโห
โจซื่อเองก็รีบตามหลังเขาไปเช่นกัน
เมื่อชาวบ้านที่มาดูเรื่องสนุกเห็นโจซื่อกับเจียงอีหนิวกลับไปแล้ว เหลือไว้เพียงแม่หม้ายซ่งที่กำลังร้องห่มร้องไห้อย่างน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ตรงนั้น พวกเขาก็รู้ว่าไม่มีเรื่องสนุกดูแล้วจึงพากันแยกย้ายจากไปเช่นกัน
เจียงป่าวชิงก็จะแยกตัวไป แต่แม่หม้ายซ่งมือเร็ว นางคว้าแขนของเจียงป่าวชิงไว้เสียก่อน “น้องป่าวชิง”
ไม่ทราบว่าบังเอิญหรือไม่ แต่แขนที่แม่หม้ายซ่งดึงไว้กลับเป็นข้างที่เจียงป่าวชิงได้รับบาดเจ็บพอดี นางเจ็บจนต้องกลอกตาและเกือบสลบไปแล้ว
แม่หม้ายซ่งตกใจเพราะปฏิกิริยาของเจียงป่าวชิง จากนั้นนางก็ปล่อยมืออย่างลืมตัว แต่ยังคงมีน้ำตาเกาะอยู่ที่หางตาของนาง “จะ… เจ้าเป็นอะไรรึ ?”
เจียงป่าวชิงนั่งยอง ๆ เพื่อผ่อนคลายความเจ็บอยู่สักพักใหญ่ ใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่ความเจ็บจะหายไป
โชคดีที่แม่หม้ายซ่งผ่อนแรงได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นแรงดึงของแม่หม้ายซ่งคงจะทำให้บาดแผลบนไหล่ที่ยังไม่หายดีของเจียงป่าวชิงมีเลือดทะลักออกมาอีกครั้งเป็นแน่
“เจ้าเป็นอะไรรึ ?” คล้ายกับว่าแม่หม้ายซ่งเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นคนทำให้เจียงป่าวชิงเจ็บ แต่นางกลับไม่ยอมแบกรับความรับผิดชอบนี้ จึงพูดขึ้นอย่างโยนความรับผิดชอบ “ข้า… เอ่อ… ข้าก็ไม่ได้ออกแรงอะไรสักหน่อย ทำไมเจ้าถึงเจ็บขนาดนั้นได้ ?”
เจียงป่าวชิงค่อย ๆ ลุกขึ้น จากนั้นก็มองแม่หม้ายซ่งด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก
แม่ม่ายซ่งเห็นสายตาของเจียงป่าวชิง นางก็ตกใจจนก้าวถอยหลังทันที
“มีอะไร ?” เจียงป่าวชิงถามอย่างอดกลั้นอารมณ์
แม่หม้ายซ่งดึงสติกลับมา เหตุใดนางจึงต้องกลัเจ้าตัวปัญญาอ่อนขนาดนี้ด้วย… นางมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่รอบ ๆ แยกย้ายกันไปพอสมควรแล้วและไม่มีใครสนใจทางนี้แล้ว นางถึงจะพูดขึ้นยิ้ม ๆ “น้องป่าวชิง เจ้ายังจำข้าได้ไหม ? ตอนที่เจ้ายังเล็กข้าชอบอุ้มเจ้ามากเลยนะ ครั้งที่แล้วที่อาของเจ้าจะตีเจ้า ข้ายังช่วยห้ามนางอยู่เลย เจ้าลืมแล้วหรือ ? ข้าน่ะรักและเอ็นดูเจ้ามาตั้งแต่ยังเล็ก”
เจียงป่าวชิงยืนฟังด้วยสีหน้าราบเรียบ แม่หม้ายซ่งทำเหมือนนางไม่รู้จริง ๆ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของร่างเดิมเมื่อตอนนางยังเด็กบ้าง
ทำเหมือนกับว่าไม่รู้ว่าครั้งที่แล้วตอนที่โจซื่อจะตีนางนั้น ก็เป็นแม่หม้ายซ่งคนนี้ที่ยืมสถานการณ์ในตอนนั้นเพื่อใช้คำพูดเยาะเย้ยโจซื่อ
เจียงป่าวชิงรำคาญที่คนอื่นทำเหมือนนางเป็นคนปัญญาอ่อนที่ไม่รู้อะไรเลยแบบนี้
แม่ม่ายซ่งเห็นเจียงป่าวชิงไม่พูดอะไร นางก็แอบก่นด่าในใจ คนปัญญาอ่อนก็คือคนปัญญาอ่อนอยู่วันยังค่ำ ท่าทางแบบนี้เหมือนหายดีแล้วที่ไหนล่ะ ?!
แต่ทว่ายังคงมีรอยยิ้มที่นุ่มนวลและขมขื่นประดับอยู่บนใบหน้าของนาง นางพูดกับเจียงป่าวชิง “ป่าวชิง อาของเจ้ามีนิสัยเช่นนั้น เจ้าอยู่บ้านนางก็คงจะเป็นทุกข์ไม่น้อยเลยจริง ๆ ใช่ไหม ?”
เจียงป่าวชิงพยักหน้า นางอยากดูว่าแม่หม้ายซ่งคนนี้จะมาไม้ไหนกันแน่
เชิญทำการแสดงของเจ้าต่อเลย
แม่ม่ายซ่งเห็นเจียงป่าวชิงยอมรับ นางก็ดีใจทันที นางรีบแสร้งทำท่าทางตื้นตันใจและท่าทางเคืองแค้นศัตรู “เมื่อสักครู่เจ้าก็เห็นว่าอาของเจ้านั้นพาลแค่ไหน นางรังแกและดูถูกข้าเช่นนั้น ทำให้ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว”
ในตอนที่พูดประโยคนี้ สองมือของแม่หม้ายซ่งก็กำผ้าเช็ดหน้าที่โจซื่อซัดใส่หน้านางเมื่อสักครู่ไว้แน่น นางอยากให้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นโจซื่อเพื่อที่นางจะได้ฉีกหน้าโจซื่อให้เละ
เจียงป่าวชิงหัวเราะอย่างเย็นชาในใจ นางรู้ได้อย่างคร่าว ๆ แล้วว่าแม่หม้ายซ่งคิดจะทำอะไร ไม่ใช่ว่านางอยากดึงพันธมิตรภายในมาเป็นพวกอย่างนั้นหรอกหรือ ?
และเป็นเหมือนที่เจียงป่าวชิงคิดไว้จริง ๆ ตอนที่แม่หม้ายซ่งหยุดร้องไห้ นางก็เริ่มดึงเจียงป่าวชิงมาเป็นพวกทันที “น้องป่าวชิง เจ้าอยู่กับอาของเจ้ามานาน ถ้าหากนางมีเรื่องอะไร เจ้าอย่าลืมมาบอกข้าล่ะ ถึงอย่างไรเราทั้งสองคนก็ถูกอาของเจ้ารังแกอย่างน่าสงสาร เราจึงต้องคิดหาวิธีเพื่อต่อต้านนางให้ได้”
พูดจบแม่หม้ายซ่งคิดจะจับมือเจียงป่าวชิง แต่เจียงป่าวชิงกลับก้าวถอยหลับ เห็นได้ชัดว่านางกำลังหลีกเลี่ยงมือของแม่หม้ายซ่ง
มือของแม่หม้ายซ่งแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ
เจียงป่าวชิงพูดขึ้นนิ่ง ๆ “ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม ? หากไม่มีข้าจะได้กลับบ้าน”
แม่หม้ายซ่งมองแผ่นหลังของเจียงป่าวชิงที่หมุนตัวจากไปอย่างว่องไวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ปฏิกิริยาของเจียงป่าวชิงไม่ค่อยเหมือนกับที่นางคิดไว้สักเท่าไหร่ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่แน่เจียงป่าวชิงอาจจะยังไม่หายจากโรคปัญญาอ่อนจริง ๆ ก็ได้ เพราะคนในตระกูลเจียงทำกับนางถึงขนาดนั้น แต่นางกลับไม่คิดจะต่อต้านพวกเขาเลย ถุย! นางโง่เขลาจริง ๆ นั่นแหละ
แม่หม้ายซ่งก้มหน้ามองผ้าเช็ดหน้าในมือที่ยับยู่ยี่ผืนนั้น นัยน์ตาของนางก็ฉายแววของความไม่ยอมแพ้ออกมา
……
เนื่องจากโจซื่อไปก่อเรื่องวุ่นวายด้านนอก คนที่รักศักดิ์ศรีตัวเองเยี่ยงชีพอย่างเจียงอีหนิวจึงเหมือนถูกเหยียดหยามอย่างไรอย่างนั้น ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน เขาก็ทะเลาะกับโจซื่อยกใหญ่ อีกทั้งยังวิ่งไปบอกท่านเจียงกับหลีโผจื่อด้วยว่าตัวเองต้องการหย่าเมีย
หลีโผจื่อไม่ชอบขี้หน้าโจซื่อมาตั้งนานแล้ว ถ้าหากว่าไม่เห็นแก่หน้าของหลานชาย นางก็คงจะยุให้ลูกชายทิ้งโจซื่อไปนานแล้ว แต่สำหรับท่านปู่เจียงนั้น เขากลับมีเหตุผลมากกว่าหลีโผจื่อ เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงอิฐและพูดขึ้น “อีหนิว เอ็งบอกว่าต้องการหย่ากับโจซื่อเรอะ ? ต้ายากับเอ้อยาก็ใกล้จะถึงวัยที่ต้องแต่งงานออกเหย้าออกเรือนแล้ว ถึงตอนนั้นใครจะจัดการ ?”
ในตอนนั้นเอง หลีโผจื่อที่อยู่ด้านข้างก็ได้พูดแทรกขึ้นมา “ต้ายาเป็นถึงขนาดนี้แล้ว ถึงตอนนั้นรับสินสอดมา แล้วค่อยให้นางแต่งออกไปไกล ๆ ก็ได้ แต่เอ้อยานั้นยังสามารถแต่งเข้าไปในอำเภอได้อยู่ แม้จะต้องไปเป็นแม่บ้านในตระกูลใหญ่ แต่เราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าอีกต่อไป แล้วภายภาคหน้าเราก็ค่อยสู่ขอเด็กสาวในอำเภอให้พี่ฉาย ทางที่ดีเด็กผู้หญิงคนนั้นจะต้องพกสินสมรสมาเยอะ ๆ แบบนี้จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไปว่าตระกูลเจียงของเราจะไม่เจริญรุ่งเรือง” พูดจบนางก็จุ๊ปากราวกับได้เห็นวันที่ตัวเองอุ้มเหลนทำนองนั้น
เจียงอีหนิวรับคำแม่ของเขาเช่นกัน เขาพูดว่า “ข้าคิดว่าแม้ข้าจะหย่ากับโจซื่อ มันก็ไม่ส่งผลกับเรื่องพวกนี้”
โจซื่อได้ยินที่เจียงอีหนิวพูด นางก็โมโหจนคิดจะเอาเชือกไปแขวนบนคานเพื่อฆ่าตัวตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่หลีโผจื่อกลับตะโกนมาจากด้านหลังเสียก่อน “โจซื่อ ถ้าจะตายก็อย่ามาตายในบ้าน ประเดี๋ยวบ้านข้าจะติดเคราะห์ร้ายจากเจ้า!”
ไม่รู้ว่าเจียงโหย่วฉายไปได้ยินมาจากไหนว่าพ่อตัวเองจะหาแม่ใหม่ให้ เขาจึงเข้ามาร้องห่มร้องไห้และโวยวายอย่างไม่หยุดหย่อน
และในคืนนั้นตระกูลเจียงก็วุ่นวายตลอดทั้งคืน