แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 433 แรงน้อย
มี่หลิวยกชาออกมาแล้วนำมาวางบนโต๊ะชาอย่างเบามือ “แม่นาง คุณชายใหญ่ ดื่มชาก่อนเจ้าค่ะ”
เจียงหยุนชานและเจียงป่าวชิงเกิดมาเป็นเด็กที่พบกับความขมขื่นตั้งแต่เล็ก ใช่ว่าเขาไม่เคยได้รับการรับใช้จากสาวใช้ตอนอยู่ที่บ้านผู้เฒ่าหยุนไห่ แต่มันแตกต่างกับตอนอยู่ที่บ้านของตัวเอง เจียงหยุนชานจึงรู้สึกแปลก ๆ
“อ้อใช่ พูดถึงมี่หลิวและสุนถาว เจียงป่าวชิงถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าต้องซ่อมแซมห้องด้านหลังสักหน่อย ช่วงนี้ก็ให้มี่หลิวพักอยู่ที่ห้องข้าไปก่อน”
เจียงหยุนชานพยักหน้า เขารู้ดีว่าอันที่จริงเจียงป่าวชิงไม่ชอบอยู่ร่วมกับคนอื่น และจะเป็นการดีถ้าหากว่าจัดการเรื่องนี้กันตั้งแต่เนิ่น ๆ เขาจึงลุกขึ้นพูดกับน้องสาวว่า “นี่เข้าเดือนสิบสองแล้ว ถ้าหากว่าช้ากว่านี้ก็คงไม่มีใครออกมารับงาน ข้าว่าข้าไปหาช่างก่ออิฐก็ดี เพราะจะเป็นการดีกว่าหากว่าเรื่องนี้ทำให้แล้วเสร็จตั้งแต่เนิ่น ๆ”
หลังจากที่เจียงหยุนชานออกไป มี่หลิวก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย “ข้าน้อยทำให้แม่นางกับคุณชายต้องลำบากเสียแล้ว”
“ในเมื่อเจ้ามาที่บ้านข้าแล้ว เป็นธรรมดาที่ข้าต้องให้การดูแลคนในบ้าน ไม่เป็นไร เจ้าอย่าคิดมากเลย” เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “เพียงแต่ว่า… บ้านข้ากับจวนองค์ชายค่อนข้างแตกต่างกัน เจ้าเองก็เห็นแล้ว ยังทันหากว่าเจ้าเปลี่ยนใจนะ”
มี่หลิวตกใจถึงกับคุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้ง “แม่นาง ข้าน้อย… เอ่อ… แม่นางอย่าไล่ข้าน้อยกลับไปเลยนะเจ้าคะ”
เจียงป่าวชิงรู้สึกปวดศีรษะกับนิสัยที่เอะอะอะไรก็คุกเข่าของมี่หลิวจริง ๆ จึงพูดด้วยเสียงหนักแน่น “ถ้าหากว่าเจ้าอยากอยู่ที่บ้านข้าดี ๆ ข้อแรกจำไว้ว่าอย่าเอะอะอะไรก็เอาแต่คุกเข่า เพราะข้าไม่ชอบให้ใครมาคุกเข่า โดยเฉพาะการที่เจ้าอายุมากกว่าข้าด้วย”
มี่หลิวรีบลุกขึ้นจากบนพื้นอย่างรวดเร็วแล้วมายืนเรียบร้อยอยู่ด้านข้างแทน “ข้าน้อยจะจำไว้เจ้าค่ะ”
เจียงป่าวชิงถอนหายใจ
ทว่า… สิ่งที่ทำให้ปวดศีรษะมากกว่าเกิดขึ้นในตอนกลางคืน
เพียงแค่จัดของเหล่านั้นเอาไปไว้ในห้องเก็บของก็กินเวลากว่าครึ่งวันแล้ว และกว่างานจะเบาลงในตอนกลางคืนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เจียงป่าวชิงหลับตา คิดจะงีบหลับสักงีบหนึ่งก็ได้ยินเสียงดังมาจากขอบหน้าต่างข้างนอก คล้ายกับมีคนโยนหินก้อนเล็กมาโดนหน้าต่าง
มี่หลิวเองก็ตื่นตัวเช่นกัน นางปูที่นอนนอนพักผ่อนอยู่ข้างนอก เมื่อได้ยินเสียงก็ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว “แม่นางเจียงได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ ?”
เจียงป่าวชิงรู้สึกเซ็งมาก ถ้าเดาไม่ผิดนี่คงเป็นเสียงที่กงจี้ทำ เขาคงโยนอะไรมาเพื่อเป็นการส่งสัญญาณและคงจะกำลังมาหานางอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อนก็ไม่เป็นไร เพราะเจียงป่าวชิงรู้ดีว่าหน้าต่างบานหนึ่งขวางเขาไม่ได้จึงปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ อยากจะมาก็มาได้แต่ตอนนี้มี่หลิวอยู่ในห้องอีกคนนี่สิ
“บางทีเจ้าอาจหูฝาดไปเองก็ได้ มีเสียงอะไรที่ไหนกัน” นางพูดอย่างคลุมเครือและลุกขึ้นจากเตียงอย่างยอมรับชะตาชีวิตเพื่อสวมใส่เสื้อผ้าสำหรับออกข้างนอกบ้านอีกครั้ง
แม้กงจี้จะรบกวนการนอนหลับ แต่นางเองก็ทนคิดถึงเขาไม่ไหวจึงต้องออกไปดูสักหน่อย ทว่าการกระทำนี้ทำให้มี่หลิวตกใจทันที
“แม่นาง ดึกขนาดนี้แล้วจะไปไหนอีกเจ้าคะ ?”
“นอนไม่หลับ ข้าอยากออกไปเดินเล่นซะหน่อยน่ะ” เจียงป่าวชิงบอกเหตุผลโดยไม่ต้องคิด
มี่หลิวเองก็เริ่มใส่เสื้อคลุมชั้นนอกเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยออกไปเป็นเพื่อนแม่นางด้วยเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้อง” เจียงป่าวชิงห้ามทันที “ข้าอยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียวสักพัก เพื่อไตร่ตรองถึงชีวิตที่ผ่านมาน่ะ”
เนื่องจากพระนางเจียฮุ่ยมักจะขออยู่เงียบ ๆ คนเดียวบ่อยครั้ง มี่หลิวจึงยอมรับเหตุผลนี้ได้อย่างรวดเร็ว นางแค่รู้สึกงุนงงเล็กน้อยเท่านั้น “อากาศหนาวทำให้มีน้ำค้างเยอะ ถ้ายังไงแม่นางสวมเสื้อคลุมอีกตัวเถอะเจ้าค่ะ”
เจียงป่าวชิงกลัวว่ากงจี้จะโมโหเพราะเรื่องนี้เช่นกันจึงพยักหน้าแล้วหยิบเสื้อคลุมมาคลุมเพิ่มอีกชั้น ก่อนออกไปนางเอ่ยสั่งมี่หลิว “เจ้าเฝ้าอยู่ในห้องนี่แหละ”
มี่หลิวเหมือนถูกมอบหมายให้ทำภารกิจสำคัญ นางพยักหน้าอย่างจริงจัง “แม่นางไม่ต้องห่วงเลยเจ้าค่ะ”
เจียงป่าวชิงพยักหน้าก่อนเดินออกไป
…
ค่ำคืนหลังจากหิมะตกนั้นเงียบสงัดมาก เจียงป่าวชิงผลักประตูบ้านแล้วมองไกลไปในซอย
หิมะสีขาวในซอยสะท้อนกับแสงจันทร์ ทั้งสว่างไสวแลดูสะอาดตา กงจี้ยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์สว่างไสวนั้น มุมปากมีเสน่ห์ยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นนางมองมา เขานั้นหล่อเหลาแต่กำเนิด เพียงยิ้มเล็กน้อยภายใต้แสงจันทร์และทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยหิมะนี้ ในหัวของเจียงป่าวชิงก็รู้สึกกระชุ่มกระชวย คนหล่อ ๆ นี่ทำให้หัวใจพองฟูดีจริง ๆ
เจียงป่าวชิงส่ายศีรษะ ปิดประตู แล้ววิ่งไปหากงจี้ด้วยความดีใจ
กงจี้โอบกอดเด็กสาวไว้ในอ้อมกอดและพูดขึ้นยิ้ม ๆ “วันนี้แต่งตัวเปลี่ยนเพศแล้วรึ ? ปราดเปรียวเชียวนะ แล้วยังรู้จักใส่เสื้อคลุมให้อุ่น ๆ มาดีด้วย”
เจียงป่าวชิงเงยหน้ามองเขาตาขวาง
ใบหน้าที่โกรธเคืองของเด็กสาวนั้นดูมีชีวิตชีวามาก กงจี้จึงอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปหอมแก้มนุ่มนิ่ม
ใบหน้าของเจียงป่าวชิงแดงก่ำทันที นางพูดขึ้นอย่างเคือง ๆ “เจ้าคนมักมาก”
กงจี้พูดขึ้นช้า ๆ “ใช่ คนมักมากอย่างข้าไม่ได้เห็นเจ้าให้ความร่วมมือเช่นนี้นานแล้ว และเจ้ายังเป็นฝ่ายวิ่งมาหาคนมักมากอย่างข้าอีกด้วย ช่างเป็นเกียรติจริง ๆ”
เจ้าคุณชายบ้านี่ช่างพูดไม่รื่นหูเอาซะเลย เจียงป่าวชิงเหยียบเท้าของชายหนุ่มที่กำลังยิ้มยียวนด้วยสีหน้าราบเรียบ ทว่าเขากลับสงบมาก สีหน้านิ่งไม่เปลี่ยนแปลงแล้วยังมีหน้ามาเลิกคิ้วยั่วเย้านางด้วย!
“แก้วตาดวงใจของข้า แรงเจ้าน้อยจังนะ” เขาพูดกวน ๆ
เจียงป่าวชิงหัวเราะเย็นชา มือเล็กยื่นออกไปหยิกเนื้ออ่อนข้างในแขนของกงจี้
แม้กงจี้จะเป็นคนประเภทที่ถูกแทงด้วยดาบแต่ไม่ส่งเสียงร้องเจ็บปวด แต่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อถูกหยิกอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้
เจียงป่าวชิงยิ้มเย้ยพลางเก็บมือเรียวกลับมาเป่านิ้วมือตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของกงจี้ “ฮิ ๆ ถ้าเช่นนั้นแรงเมื่อกี้นี้ถือว่าเยอะรึยังล่ะ ?”
กงจี้ทำสีหน้าอึมครึม เขาอยากเอาคืนแต่ทำใจไม่ลงที่จะลงไม้ลงมือกับหญิงที่รัก เขากัดฟันพูดอย่างโหดเหี้ยม “ยายคนโหดร้าย!”
เจียงป่าวชิงยิ้มลำพองใจ
คู่รักไม่ได้เจอกันนาน พอเจอกันก็มักอยากใกล้ชิดกันให้พอหายคิดถึง แต่ทั้งสองไม่ใช่คนที่มัวแต่ทำตัวใกล้ชิดจนลืมเรื่องสำคัญอย่างนั้น เจียงป่าวชิงนึกเรื่องจี้หยกได้จึงปลดมันออกจากเอวแล้วส่งให้กงจี้ “นี่เป็นสิ่งที่วันนั้นเจ้าวางไว้ข้างหมอนข้าใช่ไหม ? ตอนนี้ข้ากลับบ้านแล้ว ไม่ต้องใช้มันช่วยป้องกันตัวแล้วจึงนำมาคืนเจ้า”
กงจี้รับมาแต่เขาผูกกลับไปที่เอวของเจียงป่าวชิงตามเดิมและพูดขึ้นอย่างเอ้อระเหย “คืนข้าทำไม ข้าไม่ได้ใช้อะไรสักหน่อย เจ้าเอาไปเถอะ จี้หยกนี้มันดีมาก”
เจียงป่าวชิงเอียงตามองกงจี้ “นี่คือสิ่งที่ฮ่องเต้มอบให้เจ้าไม่ใช่รึ นำมาส่งต่อให้ข้าเช่นนี้จะดีหรือ ?”
ไม่รู้ว่ากงจี้คิดอะไรได้ เขาถึงได้หัวเราะอย่างเย็นชาเช่นนั้น ผ่านไปสักครู่เขาพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง “จี้หยกนี้เป็นของข้าแล้ว ทำไมข้าถึงจะมอบให้เจ้าไม่ได้ เอาล่ะ เรื่องที่จวนองค์ชายหย่งชินถือเป็นจุดเริ่มต้น ไม่แน่ต่อไปอาจมีเรื่องยุ่งยากอื่น ๆ ในภายภาคหน้าอีกก็ได้ เจ้าพกจี้หยกนี้ไว้ป้องกันตัว พวกคนเฒ่าคนแก่ส่วนใหญ่จะจำจี้หยกนี้ได้และพวกเขาจะเกรงใจเจ้า”
ไออุ่นพัดผ่านหัวใจของเจียงป่าวชิง นางก้มหน้าพูดพึมพำ “ข้านั้นหาใช่ดอกไม้งามที่อ่อนแอ ข้าปกป้องตัวเองได้”
“ก็ใช่” กงจี้กอดเจียงป่าวชิงไว้ “ข้ารู้ว่าเจ้าเก่งมาก แต่สำหรับชายอกสามศอกอย่างข้า ใครจะยอมให้คนรักของตัวเองไปเสี่ยงกันเล่า ?”
น้ำเสียงของเขาเย็นชาไปบ้างเล็กน้อย แต่ความรักความห่วงใยที่แสดงออกมาในคำพูดทำให้คนฟังรู้สึกว่าหัวใจกำลังจะละลาย โดยเฉพาะคำว่า “คนรัก” เจียงป่าวชิงใจสั่นเมื่อได้ฟังจึงเอียงตัวแนบไปบนทรวงอกแข็งแรงแล้วพูดเสียงแผ่วเบา “แต่ข้าเองก็ไม่อยากให้คนรักของข้าเหนื่อยและเป็นห่วงข้าทุกวันเช่นกัน…”
กงจี้ไม่ได้พูดอะไรอีกสักพัก ผ่านไปสักครู่เขากระชับร่างบางในอ้อมกอดแน่นขึ้น ยิ่งกอดก็ยิ่งแน่น แทบทำให้นางขาดอากาศหายใจอยู่รอมร่อ
แรกเริ่มเจียงป่าวชิงยังพอทนไหว แต่เมื่อเริ่มนานนางก็ทนไม่ไหวแล้วจึงส่งเสียงร้องด้วยความอึดอัด “เฮ้! เบาหน่อยสิคุณชาย กอดแน่นไปเดี๋ยวข้าตายได้เลยนะ…”
“…”
.
.