แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 434 ละอายใจ
เจียงป่าวชิงกลับไปที่ห้องในตอนดึกก็เห็นว่ามี่หลิวยังไม่นอนเพราะรอนางอยู่
บนโต๊ะมีเทียนจุดอยู่หนึ่งเล่ม ตอนนี้มันละลายไปจนถึงปลายเล่มแล้ว และที่ตั้งตะเกียงก็เต็มไปด้วยน้ำตาเทียน
มี่หลิวค่อนข้างไม่สบายใจ “แม่นางเจียงไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ ออกไปนานขนาดนี้…” นางสำรวจเจียงป่าวชิงอย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดี เพียงแค่ใบหน้าแดงก่ำและริมฝีปากบวมเล็กน้อย เห็นดังนั้นนางก็คิดว่าเจียงป่าวชิงหนาวจึงรีบไปหยิบกาน้ำร้อนออกมาอย่างรวดเร็ว “แม่นางทำให้ร่างกายอุ่นก่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้างนอกมันหนาว ประเดี๋ยวจะไม่สบายเจ้าค่ะ”
เจียงป่าวชิงมองมี่หลิวยิ้ม ๆ ตอนที่นางบอกกงจี้เกี่ยวกับเรื่องของมี่หลิว กงจี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะตอนที่มี่หลิวกับสุนถาวรับใช้คนรักของเขาอยู่ที่จวนองค์ชายหย่งชิน เขาสั่งคนให้ตรวจสอบเบื้องหลังครอบครัวของทั้งสองอย่างชัดเจนแล้ว ทั้งคู่เป็นผู้หญิงที่มีชีวิตปกติ อีกทั้งครอบครัวของพวกนางก็เป็นคนดี ไร้พิษภัยไม่มีอะไรน่ากังวล
“ถ้าหากว่าเจ้าไม่ชอบ ข้าไล่สองคนนั้นให้ก็ได้” เจียงป่าวชิงจำได้ว่าตอนที่กงจี้พูดประโยคนี้ สีหน้าเขาเฉยเมยถึงขั้นที่เรียกว่าไร้ความรู้สึกเลยทีเดียว แค่คิดก็รู้แล้วว่าคำว่า “ไล่” ที่ออกจากปากของเขานั้น เขาแทบไม่ได้คิดอะไรเลย เขาพูดออกมาง่าย ๆ จนนางอดสงสารมี่หลิวกับสุนถาวไม่ได้
เมื่อนางมองมี่หลิวในตอนนี้ก็นึกถึงคำพูดเย็นชาของกงจี้ คิดไปคิดมาก็หัวเราะตัวเองในใจที่ลำเอียงไปทางกงจี้ได้ถึงขนาดนี้ ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นพูดว่าจะไล่คนรับใช้ออกไปให้ นางอาจรู้สึกว่าคนคนนั้นช่างไร้ความเมตตาและเป็นคนอันตรายที่ต้องอยู่ให้ห่าง ๆ เข้าไว้ แต่พอคนที่พูดคือกงจี้ที่นางรักนี่สิ มันกลับทำให้ใจกระตุกจนลืมสงสารมี่หลิวกับสุนถาวไปซะได้
อย่างไรก็ตาม นางก็เข้าใจอยู่ว่ากงจี้ของนางเดินมาในเส้นทางเปื้อนเลือด เป็นธรรมดาที่นิสัยของเขาจะถูกปลูกฝังให้เป็นคนโหดร้าย
เฮ้อ! ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ
“ไม่ต้องหรอก ข้าจะพักผ่อนแล้วล่ะ เจ้าเองก็นอนเถอะ” เจียงป่าวชิงไม่ได้ตอบรับข้อเสนอ “ไล่” ของกงจี้ ตอนนี้นางรู้สึกว่ายังไงก็ต้องยอมรับ และรับผิดชอบดูแลมี่หลิวกับสุนถาวในฐานะคนรับใช้ในบ้านแล้วจริง ๆ
มี่หลิวยังคงร้อนใจ แต่เมื่อเห็นว่าสีหน้าของแม่นางเจียงที่นางแสนห่วงใยปกติดีนางก็เบาใจขึ้นและตอบรับคำสั่งก่อนจะไปนอนที่เตียงข้าง ๆ
ไม่นานก็ผล็อยหลับไปในที่สุด
……
เจียงหยุนชานจัดการเรื่องแบ่งห้องได้รวดเร็วดีทีเดียว เมื่อวานเขาเพิ่งออกไปหาช่างก่ออิฐ วันนี้พวกช่างก่ออิฐเหล่านั้นก็พกอุปกรณ์มาทำงานกันแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะง่วนอยู่กับกระเบื้องดินเผาและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงครึ่งวัน พวกเขาก็ซ่อมแซมส่วนที่ทรุดโทรมของหลังคาและคานบ้านเสร็จเรียบร้อยพร้อมต่อเติมห้องเพิ่ม
มี่หลิวต้มชาร้อนมารินให้กับช่างเหล่านั้นทีละคน นางขยันและคล่องแคล่วมาก
เมื่อทำงานเสร็จ นางก็หาผ้าหยาบมามัดผมแล้วเข้าไปจัดเก็บในห้องที่เพิ่งซ่อมแซม ช่างเป็นสาวใช้ที่เก่งจริง ๆ เป็นเช่นนี้ก็ช่วยเบาแรงให้เจียงป่าวชิงได้ไม่น้อยเลย
เจียงป่าวชิงแอบพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ทันใดนั้นมีเสียงสั่น ๆ ดังมาจากประตูบ้าน เสียงนั้นเรียกออกมาว่า “แม่นางเจียง”
เจียงป่าวชิงจำเสียงนี้ได้จึงมองไปตามเสียงและพบว่าเป็นครูเวินอย่างที่นึกไว้
เข้าเดือนสิบสองแล้วอากาศก็หนาวมากขึ้นเรื่อย ๆ ครูเวินร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง นางจึงหยุดสอนไปก่อนและสั่งการบ้านให้เจียงฉิงกับเลี่ยวชุนหยู่นำไปส่งให้นางตรวจแก้เมื่อทำเสร็จแล้ว แต่ความเป็นจริง ตามที่เจียงฉิงบอก ช่วงนี้ครูเวินดูเหมือนจะมีเรื่องกลุ้มใจเสมอในตอนที่กำลังสอนหนังสือให้พวกเขา และมักแสดงท่าทีรู้สึกผิดต่อพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนนางมีเรื่องกลัดกลุ้มทุกข์ใจอย่างไรอย่างนั้น
เจียงป่าวชิงตกใจทันที ไม่ได้เจอเพียงครึ่งเดือน ครูเวินกลับผอมซูบได้ถึงเพียงนี้และดูซีดเซียวเล็กน้อย
โดยเฉพาะตอนนี้ เหมือนครูเวินจะฝืนมาที่นี่ นางถือไม้เท้าอยู่ในมือแล้วก้าวมาข้างหน้าอย่างเหน็ดเหนื่อยไร้เรี่ยวแรง เข่านางค่อย ๆ ทรุดลงในขณะที่พูดกับเจียงป่าวชิง “แม่นางเจียง โชคดีที่เจ้าไม่ได้เป็นอะไร…”
เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงตกใจ ทั้งสองรีบเข้าไปประคองครูเวินคนละข้าง
“ครูเวินเป็นอะไรไปเจ้าคะ ?” เจียงป่าวชิงยื่นมือไปประคองและต้องตกตะลึงเพราะหญิงชราดูเหมือนจะผอมซูบลงไปมากจึงคิดจะจับชีพจรให้ แต่ใครจะไปรู้ว่าหญิงชราจะออกแรงสะบัดมือออกเช่นนี้
ทว่าจากนั้นก็เห็นได้ชัดว่านางหมดแรงและหอบหายใจอย่างแรง
เจียงฉิงค่อนข้างลุกลี้ลุกลน นางมองเจียงป่าวชิง และเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเจียงป่าวชิงสงบนิ่ง นางก็ค่อยๆสงบลง ครูเวินเป็นคุณครูของนาง นางจึงคาดหวังให้ครูหายดีเป็นธรรมดา เจียงฉิงมองหญิงชราอย่างลองเชิง “ครูเวินเจ้าคะ ไปพักผ่อนในบ้านก่อนดีไหมเจ้าคะ ?”
ผ่านไปสักครู่หญิงชราหายหอบและพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “ไม่เป็นไร… ข้ามาขอโทษพี่สาวของเจ้า”
เมื่อประโยคนี้หลุดออกไป เจียงฉิงก็หน้าถอดสีทันที ความคิดที่ฉายวาบในใจคือครูรังแกพี่สาวของนางอย่างนั้นรึ
แต่เจียงป่าวชิงเฉลียวฉลาด นางเดาอะไรได้บ้างจึงมองครูเวินอย่างจนปัญญาเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรหญิงชราก็สะอื้นไห้ “ข้ารู้ว่าโลกนี้โหดร้ายกับผู้หญิงแค่ไหน โดยเฉพาะผู้หญิงที่โผล่มาเป็นหมอจะถูกผู้คนหลีกเลี่ยงยิ่งกว่า ข้ารู้ว่าลูกสะใภ้ของแม่นมข้าคนนั้นโลภจนติดเป็นนิสัยและเป็นคนอันตราย แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ข้าก็ยังแบกหน้าแก่ ๆ มาขอให้เจ้าไปช่วยแม่นมของข้าอยู่อีก… เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าอุตส่าห์จิตใจดีช่วยชีวิตแม่นมข้าไว้ แต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะเป็นต้นเหตุสร้างปัญหาให้กับเจ้าเช่นนี้…”
พูดมาถึงตรงนี้ เจียงฉิงก็เข้าใจอะไรนิดหน่อยแล้ว นางก็คิดอยู่ว่าทำไมช่วงนี้ครูเวินดูเหมือนทุกข์ใจและกลัดกลุ้มอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อถามไปหญิงชราก็มักมีท่าทีเหมือนยากจะเอ่ยปากอย่างไรอย่างนั้น เจียงฉิงที่เป็นเพียงศิษย์ตัวน้อยจะเซ้าซี้ถามเรื่องส่วนตัวของผู้เป็นครูอย่างถึงที่สุดได้อย่างไร
แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะเป็นเพราะเรื่องนี้!
“ครูเวินไม่ต้องโทษตัวเองหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้โทษคุณครูไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ” เจียงป่าวชิงพูดขึ้นอย่างจนปัญญา “แต่ตอนนี้ข้าเห็นว่าร่างกายครูดูไม่แข็งแรง จึงจะจับชีพจรให้ก็เท่านั้น”
แต่หญิงชรากลับปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว “แม่นางเจียง ข้าไม่เป็นไร หมอเขาให้ยามาแล้ว ที่ข้ามาวันนี้เพราะได้ยินมาว่าแม่นางเจียงกลับมาแล้วจึงอยากมาขอโทษเจ้า ก่อนหน้านี้ข้าเคยสัญญาว่าจะสอนเด็กสองคนนี้ให้ดี แม้ตอนนี้ข้าจะไม่มีที่ให้ฝังแล้วก็ตามแต่ยังแบกหน้ามาที่นี่อยู่บ่อยครั้ง… แม่นางเจียง ข้า…”
พูดมาถึงตรงนี้ หญิงชราสะอื้นไห้จนไม่สามารถพูดต่อได้ นางรู้สึกขอบคุณเจียงป่าวชิงที่ช่วยชีวิตแม่นมของนางด้วยความจริงใจ แต่ลูกสะใภ้ของแม่นมของนางกลับขายเจียงป่าวชิงไปที่จวนองค์ชายหย่งชินโดยการประจบประแจงเข้าทางคนใหญ่คนโต นางเองก็ได้ยินข่าวลือในเมืองหลวงในช่วงนี้แล้ว ที่บอกว่าองค์ชายหย่งชินโกรธกริ้วจนสั่งฆ่าหมอหลายคนที่ไม่สามารถรักษาพระนางเจียฮุ่ยได้
นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นการทำร้ายแม่นางเจียง ส่งนางไปเสี่ยงหรอกรึ!
เจียงป่าวชิงเคารพครูเวินมากจึงรีบพูดขึ้น “ครูไม่ต้องโทษตัวเองเจ้าค่ะ ครูดูสิ ไม่ใช่ว่าข้ายังสบายดีอยู่หรอกหรือ ? เมื่อวานพี่ชายข้ายังบอกว่าข้าอ้วนขึ้นอยู่เลย”
ครูเวินพูดขึ้นยิ้ม ๆ ด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ไม่ใช่ฝีมือของข้าที่เจ้าไม่เป็นอะไร แต่มันเป็นความผิดของข้าที่เจ้าตกอยู่ในอันตราย เจ้าไม่ต้องปลอบใจข้าหรอกนะ ช่วงนี้ข้ารู้สึกไม่สบายใจทั้งวันทั้งคืน และคิดว่าถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า คนแก่เฒ่าอย่างข้าคงทำได้เพียงชดใช้ด้วยชีวิตเท่านั้น แต่เมื่อเห็นว่าเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย ในที่สุดข้าก็รู้สึกเบาใจสักที แต่แม่นางเจียง… ไม่ว่าเจ้าจะต่อว่าข้ายังไงก็สมควรแล้วล่ะ”
ครูเวินคิดอย่างแน่วแน่ว่านางเป็นตัวการของเรื่องนี้
เจียงป่าวชิงถอนหายใจ “ครูเวินเจ้าคะ ข้าคิดว่านี่เป็นการเสียเวลาแก้ปัญหาที่แก้ไม่ได้เสียมากกว่า ยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ ถ้าหากว่าครูเชิญคนมาเป็นแขกที่บ้าน แต่เขาคนนั้นถูกลอบทำร้ายระหว่างทางมันก็ไม่ใช่ความผิดครูนะ หรือว่าครูจะต้องแบกรับบาปกรรมนี้ไปตลอด ? เฮ้อ… ต่อให้เปิดกฎแห่งต้าหลงดูสักรอบก็ไม่มีการตัดสินแบบนั้นหรอกเจ้าค่ะ ชะตากรรมของคนเราก็เป็นเช่นนี้แหละเจ้าค่ะ อะไรที่มันเกิดกับข้า มันก็เป็นชะตากรรมของข้าเองทั้งนั้น ครูเลิกโทษตัวเองเถอะนะเจ้าคะ”
เจียงป่าวชิงไม่ค่อยเก่งเรื่องปลอบใจคน แน่นอนว่าคำพูดนี้ใช้เกลี้ยกล่อมหญิงชรา อันที่จริงตัวนางเองไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาสักเท่าไหร่นัก
ถ้าจะให้เชื่อ นางเชื่อแค่ว่าโชคชะตาเชื่อฟังเรา ไม่ใช่เป็นที่ฟ้าลิขิต แต่ถึงกระนั้นนางก็ทนต่อความเชื่อของคนสมัยโบราณที่เชื่อเรื่องโชคชะตากับดวงไม่ไหวจึงทำได้เพียงพยายามหาเหตุผลมาปลอบหญิงชราให้เลิกคิดมาก
เมื่อครูเวินได้ฟัง นางก็ชะงักไปราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง