แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 436 ความคิดเห็นของเพื่อนบ้าน
ผู้คนที่ออกมาดูในตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นหญิงชรารุ่นยายที่แอบมาจากบ้านใกล้ ๆ เมื่อได้ยินดังนั้นพวกนางก็พากันพูดทันที “ควรเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อได้เจอเรื่องราวดี ๆ แล้วยังได้รับรางวัลมาก็ต้องมอบผลประโยชน์ให้กับคนแนะนำเป็นธรรมดา แม่หนูเจียง เป็นมนุษย์ต้องหัดใจกว้างหน่อยสิ”
“ใช่ ๆ คนอุตส่าห์ใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อแนะนำจนเจ้าได้ไปเจอสิ่งดี ๆ มันสมควรแล้วที่จะให้ค่าเหนื่อยกับคนนั้น”
หวังชื่อมองเจียงป่าวชิงอย่างลำพองใจ
เจียงป่าวชิงไม่ได้โกรธอะไร นางถึงกับยิ้มด้วยซ้ำ ตอนที่นางไปตรวจอาการที่บ้านฉินโผก่อนหน้านั้น หวังชื่อไม่ค่อยติดต่อกับนางสักเท่าไหร่ เพียงแค่พูดปะทะกันไม่กี่คำ แต่เนื่องจากไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันมาก เจียงป่าวชิงจึงไม่ค่อยสนใจหวังชื่อและไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องกังวลอะไร
แต่หวังชื่อมาทำตัวน่ารังเกียจถึงหน้าบ้าน เกรงว่านางคงยังไม่รู้ถึงความเก่งกาจของเจียงป่าวชิงถึงได้กล้ามาในวันนี้
เจียงป่าวชิงเป็นคนประเภทที่ยอมจำนนง่าย ๆ ซะที่ไหนกัน หวังใช้ความคิดเห็นของคนอื่นมาบีบบังคับกันอย่างนั้นรึ หึ! ฝันไปเถอะ นางหัวเราะเสียงเบากับการที่หวังชื่อคนนี้เลือกใช้วิธีโง่ ๆ คิดจะอาศัยคนอื่นให้ช่วยส่งตัวเองไปให้ถึงสิ่งที่ต้องการ
สีหน้าของเจียงป่าวชิงผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ท่านป้าท่านยายทั้งหลายจ๊ะ ทุกท่านต่างก็พูดอย่างมีเหตุผล แต่ข้าเกรงว่าพวกท่านจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ข้าจะบอกให้ทุกท่านเข้าใจเอง”
เจียงป่าวชิงฝีปากดี เสียงก็ชัดเจนน่าฟัง สามารถโน้มนำให้ผู้คนโดยรอบอดไม่ได้ ต้องหยุดปากที่กำลังวิจารณ์และฟังนางพูด
แต่หวังชื่อกลับคิดจะขัดคำพูดของเจียงป่าวชิง “มีอะไรให้พูดกันล่ะ เจ้าไม่ต้องเลี่ยงแล้วเพราะข้างานยุ่งมาก เจ้ารีบให้ค่าแนะนำกับข้าเร็วเข้า ข้ายังต้องรีบไปทำงานอีกนะ!”
“สะใภ้ตระกูลซุนอย่าได้ร้อนใจไป” น้ำเสียงของเจียงป่าวชิงนุ่มนวล ท่าทีก็อ่อนโยนเช่นกัน “ถ้าข้าไม่นับอย่างละเอียดจนเสร็จ ทุกคนจะรู้ได้ยังไงว่าสะใภ้ตระกูลซุนต้องเอาไปเท่าไหร่”
“ดูเหมือนนางเองก็พูดอย่างมีเหตุผลเช่นกัน” ป้าคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ถึงยังไงการที่ค่าแนะนำจะสูงหรือต่ำนั้นต้องดูก่อนว่าออกแรงไปมากน้อยแค่ไหน…”
ผู้คนโดยรอบกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันแล้ว
เจียงป่าวชิงเฉลียวฉลาด นางเปลี่ยนปัญหาจาก “ให้ไม่ให้” เป็น “ให้เท่าไหร่” ได้อย่างเฉียบขาด ทว่าปัญหาคือเงินหนึ่งสลึงกับเงินสิบตำลึงนั้นมีช่องว่างที่กว้างมาก
หวังชื่อกัดฟัน หรือว่าเจียงป่าวชิงคนนี้ยังสามารถพลิกสถานการณ์ได้อีก ?! ถ้าจะให้อธิบายคือนางเป็นคนเปิดเผยเรื่องของเจียงป่าวชิงและฝากพ่อบ้านของจวนองค์ชายหย่งชินพาไปทำงาน ถึงได้ประสบความสำเร็จได้รางวัลมามากมาย!
เมื่อคิดได้ดังนั้น หัวใจของหวังชื่อสงบลงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ได้ยินเจียงป่าวชิงพูดด้วยเสียงไพเราะอยู่ที่นั่น “พูดถึงเรื่องนี้ก็ต้องเล่าตั้งแต่ว่าข้ารู้จักกับสะใภ้ตระกูลซุนคนนี้ได้ยังไง”
หวังชื่อไม่คิดว่าเจียงป่าวชิงจะพูดตั้งแต่ตอนนั้น นางลุกลี้ลุกลนทันที “เฮ้! เจ้าจะเล่าเรื่องที่มันไกลขนาดนั้นทำไมเล่า ?”
เจียงป่าวชิงมองหวังชื่อด้วยสายตาเย้ยหยันแล้วพูดขึ้น “สะใภ้ตระกูลซุนจะหวาดกลัวไปทำไม ถ้าข้าไม่เล่าถึงประสบการณ์ในการรักษาแม่สามีของเจ้า แล้วจะนำไปสู่เรื่องเล่าที่เหลือได้ยังไง …ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจ งั้นข้าจะเล่าสั้น ๆ ก็แล้วกัน ทุกคนฟังข้าให้ดี เนื่องจากอาการป่วยของแม่สามีของสะใภ้ตระกูลซุน แม่นางซุนคนนี้จึงรู้ว่าข้ามีทักษะรักษาโรคอย่างหนึ่ง แล้วนาง ‘ขโมย’ เอาไปบอกพ่อบ้านของจวนองค์ชายหย่งชิน จากนั้นพ่อบ้านคนนั้นก็พาตัวข้าไปที่จวนองค์ชายหย่งชินโดยที่ข้า ‘ไม่ เต็ม ใจ เลย สัก นิด…’ สะใภ้ตระกูลซุน ข้าพูดถูกไหม ?”
หวังชื่อไม่คิดว่าตัวเองมีความผิดจึงพูดอย่างคิดว่าตนมีเหตุผลเต็มที่ “ทีเรื่องแม่สามีข้าล่ะ ใช่ว่าข้าขอร้องให้เจ้ามารักษาแม่สามีข้าสักหน่อย นี่มันคนละเรื่องกัน! เจ้าอย่าเอามาปนกันสิ! อีกอย่าง ตอนนั้นเจ้าไม่เต็มใจแล้วยังไง สุดท้ายเจ้าก็ร้องขอความมั่งคั่งจากการเสี่ยงอันตราย ข้าช่วยให้เจ้าได้รับรางวัลจากจวนองค์ชายหย่งชินตั้งมากมายขนาดนั้น ไม่ว่ายังไงเจ้าก็ควรขอบคุณข้าโดยการแบ่งรางวัลบางส่วนให้ข้าบ้าง”
แต่คนอื่นกลับรับรู้ถึงเหตุผลในคำพูดที่ว่า “ขโมย” และ “ไม่เต็มใจเลยสักนิด” นี่หมายความว่าหญิงตระกูลซุนคนนี้ขโมยและขายแม่นางเจียงน่ะสิ!
เมื่อคิดไปถึงข่าวลือที่เคยได้ยินก่อนหน้านี้อย่างราง ๆ ที่ว่าองค์ชายหย่งชินสั่งฆ่าหมอหลายคน… แม้ทางฝั่งจวนองค์ชายหย่งชินจะแก้ข่าวลือแล้ว และพวกหมอที่หายตัวไปเหล่านั้นก็ได้กลับบ้านแล้ว แต่ตอนก่อนหน้านั้นก็ไม่มีใครรู้ว่านี่เป็นข่าวลือ!
แม่นางเจียงอุตส่าห์ช่วยชีวิตแม่สามีนาง แต่ผู้หญิงคนนี้กลับเนรคุณ ขโมยเอาความลับด้านความสามารถของคนอื่นไปเที่ยวพูดและยังขายเด็กสาวเช่นนี้ นี่ต้องเป็นความแค้นที่ใหญ่ขนาดไหนกัน!
ประกายความเหยียดหยามแฝงอยู่ในแววตาของทุกคนราง ๆ
เจียงป่าวชิงยิ้มเล็กน้อย “สะใภ้ตระกูลซุน นี่ไม่ค่อยดีกระมัง ? ข้าไปตรวจอาการที่จวนองค์ชายหย่งชินซึ่งเป็นการรักษาเพื่อช่วยชีวิตคน แต่เจ้ากลับมองว่าเป็นการเก็งกำไรที่ว่าว่า ‘ร้องขอความมั่งคั่งจากการเสี่ยงอันตราย’ ใส่ร้ายข้าชัด ๆ”
หวังชื่อใช้มือป้องใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว ราวกับว่าฟันที่ถูกตบจนหลุดนั้นยังคงรู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อย นางดึงสติกลับมา ในใจรู้สึกโกรธแค้นเหลือหลาย “ที่มัวแต่พูดมากอยู่ได้ก็เพราะว่าเจ้าได้รับผลประโยชน์เพียงคนเดียวและไม่เต็มใจแบ่งข้าล่ะสิ! ดี! ข้าจะบอกให้ทุกคนรู้ว่าเจ้าเป็นคนต่ำทรามเนรคุณ!”
แต่เจียงป่าวชิงตรงไปตรงมายิ่งกว่า “ตามใจเจ้าเถอะ ถ้าหากว่าข้าแบ่งรางวัลหรือให้เงินเจ้าจริง ๆ งั้นระเบียบแบบแผนก็ถูกทำลายจนหมดสิ้นน่ะสิ เมื่อถึงตอนนั้นทุกคนก็ไม่ต้องออกไปทำงาน แค่นั่งยอง ๆ ตรงทางเข้าร้านยา ไม่ก็นั่งอยู่ตามห้องรักษาโรคเพื่อแนะนำหมอให้กับคนป่วยโดยเฉพาะ แล้วพอหมอได้ค่ารักษาก็ไปแย่งหมอมาบางส่วนโดยอาศัยว่าตัวเองต้องได้ค่าเหนื่อย มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็นคนต่ำทรามเนรคุณ… เหอะ! ทั้งสบายและง่ายดีเหลือเกิน”
ผู้คนที่อยู่โดยรอบอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อได้ฟัง
แต่หวังชื่อกลับยิ่งแค้นใจ นางมองใบหน้าของเจียงป่าวชิงแล้วอยากเข้าไปข่วนเป็นรอยให้รู้แล้วรู้รอด
เจียงป่าวชิงรู้สึกได้ในใจจึงก้าวถอยหลังด้วยสีหน้าราบเรียบพร้อมใช้มือขวาคลำกำไลข้อมือที่สวมอยู่บนข้อมือซ้าย
“แม่!”
มีเสียงตะโกนขึ้น เจ้าของเสียงคือเด็กหนุ่มที่ดูซื่อ ๆ เขาวิ่งเข้ามาด้วยสภาพเหงื่อเต็มศีรษะ “แม่มาทำอะไรที่นี่ ?!”
หวังชื่อเหมือนจับฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ นางจับแขนซุนจงเลี่ยงผู้เป็นลูกชายไว้แน่น “ลูก! ในที่สุดเจ้าก็มาสักที มิเช่นนั้นแม่เจ้าคงถูกหญิงเลวคนนี้รังแกจนตายไปแล้ว!”
ซุนจงเลี่ยงไม่กล้ามองตาเจียงป่าวชิงด้วยซ้ำ เขาออกแรงดึงแขนของหวังชื่อและกล่าวขอโทษเจียงป่าวชิงอย่างลุกลี้ลุกลนไปด้วย “แม่นางเจียง… ขอโทษด้วยจริง ๆ ที่เราสร้างปัญหาให้กับแม่นาง ข้าจะพาแม่ข้ากลับไปประเดี๋ยวนี้…”
หวังชื่อส่งเสียงร้องอย่างโศกเศร้าพร้อมสะบัดออกมาจากพันธนาการของซุนจงเลี่ยง แทนที่นางจะไปกับลูกชาย นางกลับลงไปกลิ้งอยู่บนพื้นราวกับเด็กน้อยซะอย่างนั้น
“ฮือออ นี่ข้าทำบาปอะไรไว้! อุตส่าห์เลี้ยงลูกชายให้โตมาขนาดนี้แต่เขาดันไปจดจ่ออยู่กับหญิงเลวคนนี้ได้! นี่เขาต้องการบีบบังคับให้แม่ของเขาตายให้ได้เลยใช่ไหม!” นางกลิ้งและร้องเสียงดังด้วยลำคอเหมือนฆ้องหัก
ซุนจงเลี่ยงเคยเห็นแม่ของเขาในสภาพนี้เสียที่ไหนกัน เขายืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าขาวซีด จะว่าเกลี้ยกล่อมก็ไม่ใช่ ฉุดดึงก็ไม่ใช่อีก เขารู้สึกอับอายขายหน้า อยากมุดหัวลงไปใต้พื้นดินให้รู้แล้วรู้รอด
แต่คนอื่น ๆ รู้สึกเห็นใจเจียงป่าวชิงมากกว่า เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนช่อดอกไม้กลับต้องมาเจอผู้หญิงปากร้ายช่างตบตาเช่นนี้ เต็มไปด้วยคำพูดหยาบคายแล้วยังจะลงไปกลิ้งอยู่บนพื้นอีก
เจียงป่าวชิงเองก็พยายามเค้นน้ำตาให้คลอจนเบ้าตาแดงก่ำไปตามสถานการณ์เช่นกัน นางพูดกับพวกเพื่อนบ้านด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เฮ้อ… ข้าทำให้ทุกคนต้องมาเห็นเรื่องตลกเสียแล้ว… ข้ายังเด็ก พ่อแม่ก็ตายไปตั้งนานนมเน นี่ข้าไม่รู้จะทำยังไงจริง ๆ…”
น่าสงสารมาก!
ผู้คนรู้สึกเห็นอกเห็นใจเจียงป่าวชิงมากขึ้นเรื่อย ๆ สาวน้อยผู้โดดเดี่ยวน่าสงสารที่รูปลักษณ์เหมือนช่อดอกไม้คนหนึ่ง กับผู้หญิงดุร้ายเอะอะโวยวายอย่างไร้เหตุผลและหน้าตาน่าเกลียด
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจิตใจเหล่าเพื่อนบ้านจะเอนเอียงไปอยู่ที่ใคร
ทันใดนั้นเอง ป้าที่มีน้ำใจออกความคิดเห็นให้กับเจียงป่าวชิง “ฮาย แม่นาง เจ้าปิดประตูแล้วไม่ต้องสนใจนางดีกว่า วันที่อากาศหนาวเช่นนี้ปล่อยให้นางส่งเสียงร้องไปอย่างนั้นแหละ”
เจียงป่าวชิงทำท่าทีลังเลเล็กน้อย “นี่… นี่ทำได้ด้วยหรือจ๊ะ ? จะเป็นการรบกวนทุกคนหรือเปล่าจ๊ะ ?”
พวกเพื่อนบ้านที่มีน้ำใจต่างพากันพูดขึ้น “ไม่เป็นไรเลย ถ้านางส่งเสียงร้องเช่นนี้อีก เราจะไปรายงานกับฝ่ายราชการว่านางส่งเสียงดังรบกวนชาวบ้าน เจ้ารีบกลับเข้าบ้านไปเถอะ”
เจียงป่าวชิงกล่าวขอบคุณผู้หวังดีทุกคนด้วยท่าทางอ่อนแอ ก่อนจะจะปิดประตูบ้านอย่างแน่นหนา
เมื่อมองดูประตูบ้านที่ปิดอย่างแน่นหนานั้น ซุนจงเลี่ยงรู้สึกเจ็บปวดใจ เขาทำใจแข็งแล้วฉุดดึงแม่ตัวเองที่กลิ้งอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้น “นางไปแล้ว แม่พอเถอะ! เราเองก็รีบกลับบ้านดีกว่า”
หวังชื่อกระฟัดกระเฟียดลุกขึ้นจากพื้น “ไม่! ข้าจะทุบประตูนี้ให้แตก!”
ผู้คนที่มุงดูอยู่ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วในตอนนี้ พวกเขาพากันนินทาอย่างไม่เกรงใจอีกต่อไป คนหนึ่งบอกว่านางเนรคุณ อีกคนบอกว่านางคิดโลภอยากได้เงินจนเป็นบ้า และยังมีคนที่บอกว่านางไม่รู้จักขายขี้หน้าคนอื่นเขาอีกด้วย พวกป้า ๆ ยาย ๆ เหล่านี้ต่างพากันด่าหวังชื่อจนสีหน้าหวังชื่อย่ำแย่สุด ๆ เลยทีเดียว
เหมือนมีเสมหะอุดตันอยู่ในลำคอของหวังชื่อ นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สุดท้ายเป็นลมล้มไปด้วยความโกรธ
ซุนจงเลี่ยงหน้าร้อนฉ่า เขาอับอาบขายหน้าอย่างที่สุด เมื่อคิดได้ก็รีบลากแม่ของเขากลับไปโดยที่ไม่สนใจอะไรอีก
.
.
.