แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 5 ไม่ได้แต่งงาน
ตอนที่ 5 ไม่ได้แต่งงาน
เจียงหยุนชานโกรธจนหน้าแดง เขาพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง “พี่เอ้อยา!”
เจียงเอ้อยาไม่ต้องการที่จะพัวพันกับเจียงหยุนชาน นางจึงหันกลับมาตะโกนไปที่ลานบ้านเล็ก ๆ ด้วยเสียงที่ดังพอสมควร “ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ หยุนชานพาเจียงป่าวชิงกลับมาแล้ว!”
ความแตกต่างสามารถเห็นได้จากการเรียกชื่อ นางเรียกเจียงหยุนชานว่า ‘หยุนชาน’ ทว่าตอนที่พูดถึงเจียงป่าวชิงกลับเรียกว่า ‘เจียงป่าวชิง’
เรียกว่ามาทั้งชื่อและนามสกุลเลยทีเดียว
เรียกเช่นนี้มันเหมือน ‘ครอบครัว’ ที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีเสียที่ไหนกัน ?
แต่ก็ใช่ จะมีครอบครัวไหนที่เห็นแก่เงินจนขายคนในครอบครัวให้ไปเป็นเมียคนง่อยที่ทั้งแก่และน่าเกลียดกันเล่า ?
เจียงป่าวชิงยิ้มเล็กน้อย ในใจของนางมีความสงบอย่างน่าประหลาด เพียงแต่ตรงบริเวณลานบ้านแห่งนี้กลับไม่สงบอีกต่อไป อาจเป็นเพราะข่าวที่ว่าเจียงหยุนชานพาเจียงป่าวชิงกลับมานั้นน่าตกใจเกินไป ท่านปู่เจียง หลีโผจื่อ เจียงต้าหนิวพ่อของเจียงเอ้อยา และโจซื่อที่อยู่ในห้องครัว ทั้งหมดต่างพากันออกมาที่ลานบ้านทันที
การแสดงออกบนใบหน้าที่แตกต่างกันเกือบจะเหมือนกันทั้งหมด นั่นก็คือหน้านิ่วคิ้วขมวด
ห้องครัวอยู่ใกล้กับประตูไม้ที่สุด ประกอบกับที่โจซื่อได้ยินการเคลื่อนไหวด้านนอกมาได้สักพักแล้ว นางจึงเป็นคนแรกที่ออกมา นางเช็ดมือบนผ้ากันเปื้อนที่คาดอยู่ตรงเอว จากนั้นก็พูดกับเจียงหยุนชานโดยไม่มีรอยยิ้ม “ดูเจ้าสิหยุนชาน กว่าจะกลับบ้านมาไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วยังจะไปหาน้องสาวของเจ้าอีก ตอนนี้เจ้าก็เจอนางแล้ว น้องสาวของเจ้ายังอยู่และสบายดี… หากนางจะกลับบ้านก็ต้องรอให้ครบสามวัน ป่าวชิงเพิ่งแต่งออกไปได้สองวัน เจ้าก็ไปรับนางกลับมาแล้ว นี่มันไม่เหมาะสมนะ”
เจียงหยุนชานถูกขัดด้วยคำพูดถางถางของโจซื่อ จึงทำให้ใบหน้าหล่อเหลาแดงระเรื่อยิ่งขึ้น เขากลั้นเอาไว้อยู่สักพักหนึ่ง สุดท้ายก็พูดออกมาอย่างเก็บกด “ท่านอา ป่าวชิงไม่ได้แต่งงานนะ”
โจซื่อหัวเราะแห้ง ๆ ทันที
ท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อก็รีบออกมาจากห้องใหญ่เช่นกัน ทั้งคู่อายุมากแล้ว สายตาจึงไม่ค่อยดีนัก ตอนนั้นพวกเขายังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เมื่อเดินเข้าไปใกล้อย่างเร่งรีบ พวกเขาถึงจะเชื่อว่าคนที่กำลังยืนอยู่ข้างเจียงหยุนชาน โดยมีเสื้อคลุมของเจียงหยุนชานพาดไว้บนไหล่นั้น ถ้าไม่ใช่เจียงป่าวชิงที่ถูกพวกเขาขายให้เฉจื่อเจิ้งด้วยเงินจำนวนห้าตำลึงแล้วจะเป็นใครไปได้อีก ?!
ไม่ใช่ว่าบ้านตระกูลหลีอยู่ห่างจากที่นี่ไปอีกสองภูเขาหรอกหรือ ?
ทำไมถึงปล่อยให้เจียงหยุนชานพานางกลับมาได้ ?
ท่านปู่เจียงสบตากับหลีโผจื่อเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กระแอมไอออกมาอย่างไม่พอใจ
หลีโผจื่ออาศัยที่ตนเองมีสถานะเป็นผู้อาวุโสพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ หยุนชาน น้องสาวเจ้าก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ทำอะไรทำไมไม่คิดสักหน่อย ? น้องสาวเจ้าแต่งออกไปแล้ว และตอนนี้นางก็เป็นคนในครอบครัวตระกูลเจิ้งแล้วด้วย เจ้าไปพาน้องสาวเจ้ากลับมาอย่างบุ่มบ่ามเช่นนี้ ต่อไปนางจะเป็นภรรยาที่บ้านตระกูลเจิ้งได้อย่างไร ?” พูดจบนางก็พึมพำต่อเหมือนคนโกรธค้าง “ปัญญาชนมักจะหัวสมองแบบนี้แหละ ยิ่งเรียนยิ่งโง่!”
“พอแล้ว ข้าจะให้ปู่สองของเจ้าไปหาซุนเสี่ยวจื่อเพื่อเช่ารถล่อ และส่งน้องสาวเจ้ากลับตระกูลเจิ้ง” หลีโผจื่อพูดเสียงดัง นางพุ่งไปหมายจะผลักเจียงป่าวชิง
แต่ทว่าหลีโผจื่อพลาด
เจียงหยุนชานจับมือนางไว้แทน ขณะที่เจียงป่าวชิงตีสีหน้าเย็นชา นางหลบหลีกมือที่หลีโผจื่อยื่นออกมา
หลีโผจื่อด่าเจียงป่าวชิงว่ากินบนเรือน ขี้บนหลังคา นางจ้องเจียงป่าวชิงราวกับเห็นผี มือที่ยื่นออกไปก็ยังไม่ได้เก็บกลับ สุดท้ายนางก็ชี้ใบหน้าเจียงป่าวชิงด้วยร่างที่สั่นเทา “เจ้า…”
เจียงป่าวชิงเหมือนเด็กสาววัยสิบสามขวบทั่วไป นางส่งยิ้มหวานให้หลีโผจื่อและพูดขึ้นว่า “อะไรรึเจ้าคะย่าสอง ?”
ทันทีทันใด สายตาที่คนในตระกูลเจียงใช้มองเจียงป่าวชิงนั้นราวกับเห็นผีเลยก็ว่าได้
เจียงเอ้อยากรีดร้องออกมาดังลั่นเสมือนไก่ที่กำลังถูกเชือด “อ๊าก! เจียงป่าวชิง เจ้า… เจ้าหายจากโรคปัญญาอ่อนแล้วรึ ?!”
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมยังคงมีภาพตอนที่เจียงเอ้อยากลั่นแกล้งเจ้าของร่างเดิมอยู่มากมาย เจียงป่าวชิงมองเจียงเอ้อยาอยู่นิ่ง ๆ สักพัก จนกระทั่งมองเห็นว่าบนใบหน้าและตัวนางมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดออกมา จากนั้นนางจึงค่อยพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ใช่ ข้าต้องขอบคุณทุกคนมาก ข้าตกลงไปในแม่น้ำคราด แต่มันเป็นความโชคดีในความโชคร้าย แม่น้ำคราดทำให้สมองของข้าปลอดโปร่งขึ้นเยอะ”
ชั่วขณะหนึ่ง ภายในและนอกลานบ้านเล็ก ๆ คนในตระกูลเจียงก็ได้พากันกลั้นหายใจโดยมิได้นัดหมาย แน่นอนว่าพวกเขานึกถึงตำนานของแม่น้ำคราดขึ้นมาในหัว
สีหน้าของเจียงเอ้อยาดูไม่ได้เลย ถึงขนาดที่ไม่กล้าสบสายตาของเจียงป่าวชิงเลยทีเดียว นางหลบสายตาของเจียงป่าวชิง แต่ปากกลับยังคงพูดพึมพำไม่หยุด “ปัญญาอ่อนมาตั้งหลายปี อยู่ ๆ มาบอกว่าหายแล้ว ใครจะไปเชื่อเจ้ากัน…”
ไม่มีใครตอบคำถามของนาง
ใคร ๆ ก็รู้ดีว่าไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ของเรื่องนี้ก็คือเจียงป่าวชิงหายขาดจากโรคปัญญาอ่อนอย่างกะทันหันแล้ว
สีหน้าของโจซื่อไม่สู้ดีนัก ทว่านางยังคงฝืนยิ้มและแสร้งแสดงสีหน้าเมตตา “ไอ้หยา! นี่มันเรื่องดีมาก ๆ เลยป่าวชิง” นางคิดจะจับมือเจียงป่าวชิงเพื่อแสดงความรักใคร่ แต่เจียงป่าวชิงกลับหลบหลีก
ความเก้อเขินบนใบหน้าของโจซื่อแทบจะล้นออกมาอยู่แล้ว แต่นางจะกำเริบตอนนี้ไม่ได้
เวลานี้เจียงป่าวชิงไม่ใช่คนปัญญาอ่อนที่ยอมให้นางตบตีและก่นด่าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพียงแต่เจียงป่าวชิงจะเป็นคนปัญญาอ่อนหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวกับนางแม้แต่น้อย ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นอีกในตอนนี้
โจซื่อกำลังวางแผนอยู่ในใจ แต่บนใบหน้านางยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ จากนั้นนางก็ถามขึ้นอย่างลองเชิง “ป่าวชิง เจ้ากลับมากับพี่ชายเจ้าเช่นนี้ แล้วสามีของเจ้า เขาให้เจ้ากลับมารึ ?”
ในที่สุดก็พูดถึงเรื่องสำคัญสักที
ดูเหมือนเจียงหยุนชานจะทนไม่ไหวอีกต่อไป เขากำลังจะอ้าปากพูด แต่เจียงป่าวชิงกลับเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของเขาเพื่อเป็นการบอกใบ้ให้เขาไม่ต้องพูดอะไรออกมาก่อน
เจียงหยุนชานงุนงงและไม่รู้ว่าน้องสาวของตนกำลังจะทำอะไร แต่เขาทั้งรักทั้งสงสารเจียงป่าวชิง ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเรื่องเล็ก แต่เขาก็ยังเชื่อฟังและทำตามนาง เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงปิดปากไม่พูดอะไร
เจียงป่าวชิงยิ้มและหันไปพูดกับโจซื่อ “ท่านอาพูดอะไรรึเจ้าคะ ปีนี้ข้าเพิ่งจะอายุสิบสามขวบปี จะไปมีสามีที่ไหนกันล่ะเจ้าคะ ?”
สีหน้าของโจซื่อเปลี่ยนไปทันที ที่นางเป็นห่วงก็คือคู่ต่อสู้แบบนี้อย่างไรเล่า!
เจียงป่าวชิงเจ้าเด็กปัญญาอ่อนฟื้นคืนสติอย่างกะทันหัน เมื่อเห็นว่าสามีของตนเป็นชายเฒ่าง่อย ๆ มีดวงตาบิดเบี้ยว แล้วเป็นเช่นนี้ นางจะยังยอมอยู่ได้อย่างไร ?
รอยยิ้มบนใบหน้าของโจซื่อนั้นค่อนข้างที่จะคุมไม่อยู่แล้ว อยู่ ๆ หลีโผจื่อก็พูดขึ้นอย่างรำคาญใจ “ เจ้าพูดเรื่องนี้กับนางทำไม ?”
แม้ว่าเรื่องที่เจียงป่าวชิงไม่ได้เป็นคนปัญญาอ่อนแล้วจะทำให้คนในบ้านตระกูลเจียงตกใจมากเพียงใด แต่การดูหมิ่นดูแคลนที่พวกนางกระทำต่อเจียงป่าวชิงกลับไม่สามารถปกปิดได้มิด
ท่านปู่เจียงกับเจียงอีหนิวไม่อยากเข้าไปแทรกเรื่องระหว่างผู้หญิงด้วยกัน แต่ทั้งสองคนมีสิ่งที่คล้ายกันในใจคือเจียงป่าวชิงไม่เคยอยู่ในสายตาของพวกเขาเลย
เจียงหยุนชานยังพอที่จะคู่ควรให้พวกเขาสนใจอยู่บ้าง แต่เจียงป่าวชิงนั้นเป็นใครกันเล่า ? ทำไมพวกเขาต้องสนใจด้วย ?
หลีโผจื่อผลักเจียงหยุนชานไปด้านข้าง จากนั้นนางก็แทรกตัวมาตรงหน้าเจียงป่าวชิง ทว่าเจียงหยุนชานไม่ได้เตรียมตัวจึงถูกหลีโผจื่อผลักจนเซ และตอนที่เขากำลังจะต่อต้าน ก็ดันถูกโจซื่อจับตัวไว้เสียก่อน
บนใบหน้าของโจซื่อยังคงมีรอยยิ้ม ผู้หญิงที่ทำไร่ทำนาจนชินแล้วมักจะมีมือที่แข็งแรงมาก และมีความหมายที่เผด็จการแฝงอยู่ในคำพูดของนาง “หยุนชาน เจ้าฟังอา เราเป็นครอบครัวเดียวกัน แน่นอนว่าเราจะไม่ทำร้ายพวกเจ้า”
เจียงหยุนชานในอดีตถูกหลอกด้วยประโยคนี้นับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้เขาอยากถามกลับอย่างขมขื่นว่า ‘ที่ส่งป่าวชิงไปแต่งงานกับชายง่อยวัยสี่สิบปีที่มีดวงตาบิดเบี้ยวนั้น ยังไม่เรียกว่าทำร้ายพวกเขาอีกหรือ ?’
หลีโผจื่อขมวดคิ้วจนหางคิ้วยกสูง นางใช้นิ้วจิ้มลงไปบนไหล่ของเจียงป่าวชิง “เด็กอย่างเจ้า ทำไมถึงไม่รู้เรื่องเช่นนี้ ? หรือยังคิดว่าตัวเองเป็นลูกสาวคนโตที่บริสุทธิ์ของบ้าน ? ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟัง เจ้าเข้าไปในบ้านของเฉจื่อเจิ้งแล้ว ตอนนี้ก็แสดงว่าเจ้าเป็นเมียของเขาแล้ว เป็นถึงเมียของเฉจื่อเจิ้งแล้วยังมาทำนิสัยเช่นนี้ คิดอยากจะกลับบ้านก็กลับ ถึงตอนนั้นเจ้าอยากให้คนของชีหลี่โวทั้งหมดประณามตระกูลเจียงของเราลับหลังงั้นหรือ ?” พูดจบสีหน้าของหลีโผจื่อก็บึ้งตึงมาก นางอยากใช้นิ้วจิ้มลงไปบนไหล่ของเจียงป่าวชิงจนทำให้เกิดรูให้รู้แล้วรู้รอด!
เจียงป่าวชิงหัวเราะอย่างเย็นชาในใจ แต่บนหน้าของนางกลับยังคงมีความอ่อนโยน นางถามหลีโผจื่อกลับไป “ท่านย่าสองเจ้าคะ แล้วเรื่องที่ท่านย่าสองขายเด็กสาวกำพร้าที่อาศัยอยู่ในบ้านของท่านในราคาห้าตำลึงให้กับคนแก่วัยสี่สิบ ท่านไม่กลัวว่าคนในหมู่บ้านจะประณามท่านลับหลังเพราะเรื่องนี้หรือเจ้าคะ ?”
เมื่อคนตระกูลเจียงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของพวกเขาพลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ท่านปู่เจียงเห็นหลีโผจื่อโมโหจนพูดไม่ออก เขาจึงจำเป็นต้องกระแอมไอขึ้นมาเพื่อขัดจังหวะ “เจ้าเด็กบ้า เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ?! เงินห้าตำลึงนั้นเป็นเงินค่าสินสอดที่เฉจื่อเจิ้งให้เจ้าต่างหากเล่า…”
เจียงหยุนชานทนฟังไม่ไหวอีกต่อไปจึงพูดขึ้นเสียงดัง “ท่านปู่สอง ข้านั้นถามมาแล้ว เฉจื่อเจิ้งคนนั้นยังไม่ได้แตะต้องป่าวชิงแม้แต่น้อย ท่านคืนเงินห้าตำลึงให้เขาไปเถอะ ป่าวชิงจะไม่แต่งงานกับคนง่อยเด็ดขาด”
เจียงหยุนชานมุ่งมั่นมาก นอกจากอยากจัดการปัญหานี้ให้แล้วเสร็จ เขาคิดว่าเขายังต้องสอบให้ได้ผลงานดี ๆ เพื่อทำให้น้องสาวของเขาได้เลือกคนดี ๆ ที่นางถูกใจ
หากบอกว่าคำพูดเมื่อสักครู่ของเจียงป่าวชิงทำให้คนในบ้านตระกูลเจียงมีสีหน้าที่ไม่สู้ดี เช่นนั้นคำพูดของเจียงหยุนชานที่บอกว่าคืนเงินให้เฉจื่อเจิ้ง ก็ทำให้คนในบ้านตระกูลเจียงเกิดความลุกลี้ลุกลนขึ้นมาได้เช่นกัน