แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 55 ที่ดินห้าไร่
ตอนที่ 55 ที่ดินห้าไร่
ผ่านไปสักพัก พวกผู้อาวุโสในตระกูลก็ปรึกษาหารือกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสคนที่ตวาดหลีโผจื่อเมื่อสักครู่กระแอมไอเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้น “พวกเราปรึกษากันแล้ว เรื่องนี้ไม่ง่ายที่จะจัดการ ในเมื่อน้องเจ็ดยินยอมให้เด็กสองคนนี้แยกออกไป ถ้าอย่างเด็กสองคนนี้ก็สามารถแยกออกไปได้แล้ว ถึงอย่างไรที่ศาลบรรพบุรุษเด็กสองคนนี้ก็อยู่ภายใต้ชื่อพี่ชายของน้องเจ็ดมาโดยตลอด ส่วนเรื่องที่ดิน ตอนนั้นคนในวงศ์ตระกูลพิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจแล้วว่าเด็กสองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับบ้านน้องเจ็ดมากกว่าพวกเรา และคิดว่าถ้าเด็ก ๆ มาอยู่กับน้องเจ็ด พวกเขาจะไม่ลำบาก จึงยกที่ดินสิบไร่ของพวกเขาให้กับน้องเจ็ด ถ้าพูดตามหลักการ ที่ดินสิบไร่นี้ได้ผ่านเอกสารหนังสือเรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือเป็นของครอบครัวน้องเจ็ดแล้วนั่นเอง”
ท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อได้ฟังดังนั้น พวกเขาก็พยักหน้าอย่างบ้าคลั่งและเผยสีหน้าดีใจออกมาให้เห็นทันที
บนใบหน้าของเจียงป่าวชิงไม่ปรากฏสีหน้าใด ๆ ออกมา จึงดูไม่ออกว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ส่วนเจียงหยุนชานก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
อันที่จริง หากเปลี่ยนเป็นครอบครัวอื่นรับเลี้ยงพวกเขา แม้ว่าจะปฏิบัติกับพวกเขาดีกว่านี้เพียงเล็กน้อย ตอนที่พวกเขาออกไปยืนหยัดด้วยตัวเอง ต่อให้ต้องลำบากและเหนื่อยมากเพียงใด พวกเขาก็จะไม่เอาที่ดินสิบไร่นี้คืนอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่ครอบครัวของท่านปู่เจียงทำ… ไม่ต้องพูดถึงเลย
“แต่…” จู่ ๆ ผู้อาวุโสในตระกูลคนนั้นก็เปลี่ยนเสียงพูดอย่างกะทันหัน น้ำเสียงของเขามีความจงเกลียดจงชังเล็กน้อย “น้องเจ็ด ครอบครัวพวกเจ้าไม่ได้มาตรฐานจริง ๆ นั่นแหละ เจ้าดูสิ ดูสิว่าเรื่องพวกนี้มันเรียกว่าอะไร!”
แม้ว่าจะไม่ได้ชี้ให้เห็นอย่างโจ่งแจ้ง แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นย่อมรู้ดีว่าที่เขาพูดคืออะไร
สีหน้าดีใจของท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อแข็งทื่อและชะงักค้างอยู่บนใบหน้าทันที และมันดูตลกอยู่พอสมควร
ท่านปู่เจียงพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ “พี่สอง เมื่อสักครู่พี่บอกว่าที่ดินผ่านเอกสารหนังสือเรียบร้อยแล้ว และเป็นของครอบครัวข้าแล้วไม่ใช่รึ…?”
ผู้อาวุโสในตระกูลส่งเสียงไม่พอใจออกมาทางจมูกเล็กน้อย “เป็นของครอบครัวเจ้าแล้วทำไม ? เจ้าดูแลทายาทของพี่ชายเจ้าไม่ดี แล้วยังอยากได้ที่ดินของเขาอีก หน้าด้านเกินไปหรือเปล่า ? …ข้าจะบอกให้เจ้าฟังว่าคนในวงศ์ตระกูลตัดสินใจแล้วว่าจะให้เจ้าคืนที่ดินห้าไร่ที่มาจากที่ดินสิบไร่นั้นให้กับเด็กสองคนนี้”
เมื่อหลีโผจื่อได้ฟังว่าต้องแบ่งที่ดินห้าไร่ถ้วนออกไป นางก็หยุดหายใจและเกือบกลอกตาเป็นลมอยู่รอมร่อ ณ ตรงนั้น
ท่านปู่เจียงตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “ไม่ได้ ข้าไม่ยอม! ที่ดินของครอบครัวข้า ใครก็อย่าคิดที่จะแบ่งออกไป”
ฉวนหลี่เจิ้งที่นั่งอยู่ด้านข้างเตือนท่านปู่เจียงอย่างเชื่องช้า “น้องเจียง เรื่องนี้ข้าว่าเจ้ายินยอมจะดีกว่า เพราะเอกสารการโอนที่ดินในปีนั้นยังวางอยู่ในศาลาว่าการ และในเอกสารหลักฐานยังเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าที่ดินสิบไร่นั้นใช้เพื่อดูแลสองพี่น้อง แน่นอนว่าใครดูแลคนนั้นก็เอาไป แต่เจ้าดูแลจนเด็ก ๆ กลายเป็นเช่นนี้ และข้าคิดว่ายังมีอีกหลายคนที่เต็มใจจะดูแลพวกเขาสองพี่น้องแทนเจ้า”
สีหน้าของท่านปู่เจียงเปลี่ยนไปทันที
“มีสิทธิ์อะไร! มีสิทธิ์อะไรที่จะต้องให้ที่ดินกับเจ้าสัตว์อกตัญญูสองตัวนั้น!” หลีโผจื่อกุมหน้าอก สีหน้าของนางคร่ำเครียดเล็กน้อยเนื่องจากหายใจไม่ทัน และนางก็ดูไม่ได้อยู่พอสมควร “ทั้งโคตรไม่มีอะไรดีสักคน…”
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลได้ยินหลีโผจื่อพูดออกมาเช่นนี้ พวกเขาก็โกรธจัด พวกเขาไม่ด่าหลีโผจื่อ แต่เลือกที่จะหันไปด่าท่านปู่เจียงแทน “น้องเจ็ด เกิดอะไรขึ้นกับสะใภ้บ้านเจ้ากันแน่ ? อะไรคือการก่นด่าว่าพวกเขาเป็นสัตว์ ? เจ้าสั่งสอนนางอย่างไรกัน ? เด็กสองคนนี้ของตระกูลเจียงเราเป็นเด็กดี เหตุใดถึงเรียกพวกเขาว่าสัตว์ ? น่าขายหน้าจริง ๆ ผู้ชายในตระกูลเจียงของเราไม่เคยมีใครที่ให้สะใภ้มาเยี่ยวรดหัวเช่นนี้หรอก”
สีหน้าของท่านปู่เจียงทั้งแดงทั้งดำทมิฬผสมกัน เขาหันไปตะคอกใส่หลีโผจื่อ “เจ้า! พูดไม่เป็นก็หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าไปซะ!”
หลีโผจื่อไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่าย ๆ ปกติตอนเจอปัญหา นางอาจจะกลัวท่านปู่เจียงอยู่บ้างเล็กน้อย ทว่าสิ่งที่เรียกว่าที่ดินนั้นถือได้ว่าเป็นชีวิตของนาง และไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร นางก็จะไม่ให้ที่ดินนั้นเด็ดขาด หลีโผจื่อหยิบม้านั่งตัวหนึ่งขึ้นมาเพื่อจะนำไปทุบท่านปู่เจียง “แกมันก็ไร้น้ำยา! ไอ้แก่พวกนั้นตั้งใจจะแบ่งที่ดินของครอบครัวเราให้สัตว์อกตัญญูสองตัวนั้นแล้ว แกยังมาทำหน้าใหญ่และทะเลาะกับข้าได้อีกรึ ?!”
ท่านปู่เจียงถูกเมียตัวเองด่าทอต่อหน้าผู้อาวุโสในตระกูลเช่นนี้ ศักดิ์ศรีของเขาก็เหมือนถูกเหยียบย่ำลงบนพื้นและบดขยี้ซ้ำอีกสองสามครั้ง ทันใดนั้น เขาถีบหลีโผจื่ออย่างทนไม่ไหวและเริ่มตีกับหลีโผจื่อทันที
แต่ไม่ว่าท่านปู่เจียงจะก่อเรื่องวุ่นวายอย่างไร หรือหลีโผจื่อจะโวยวายแค่ไหน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลได้ ก่อนจากไป พวกเขาก็ได้ทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคว่า “จะออกจากวงศ์ตระกูลหรือจะให้ที่ดินห้าไร่กับสองพี่น้องก็เลือกเอา” พูดจบพวกเขาก็กลับทันที
ในชนบทสมัยโบราณ ถือว่าการออกจากวงศ์ตระกูลนั้นเป็นการลงโทษที่รุนแรงอย่างมาก
ครอบครัวใดก็ตามที่ถูกคนในวงศ์ตระกูลสั่งให้ออกจากวงศ์ตระกูล คนอื่น ๆ จะไม่กล้ามีความสัมพันธ์อะไรกับพวกเขา ในช่วงเทศกาลก็จะไม่มีบรรพบุรุษให้บูชาหรือเซ่นไหว้ และสายของเขาก็จะถูกบันทึกไว้ในลำดับวงศ์ตระกูลว่า ‘ไล่ออกจากวงศ์ตระกูล’ ซึ่งจะทิ้งชื่อเสียงอันเหม็นโฉ่ติดตัวตลอดไป
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ออกจากวงศ์ตระกูล’ ท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อก็ใบ้กินทันที สีหน้าของพวกเขาคร่ำเครียด แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
……
สามวันต่อมา
ท่านปู่เจียงกับเจียงอีหนิวไปที่ทำการของหัวหน้าหมู่บ้าน โดยมีฉวนหลี่เจิ้งเป็นพยาน จากนั้นพวกเขาก็กลั้นใจส่งมอบโฉนดที่ดินห้าไร้ให้เจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงอย่างเจ็บปวดหัวใจ
ส่วนหลีโผจื่อนั้น ได้ยินมาว่านางโมโหจนล้มป่วย เวลานี้ยังคงนอนซมอยู่บนเตียง
หลังจากเหตุการณ์นี้ ครอบครัวของท่านปู่เจียงก็ได้ตัดขาดจากเจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงโดยสิ้นเชิง
ในตอนนี้ สายตาที่คนในครอบครัวของท่านปู่เจียงใช้มองเจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงนั้น ไม่ต่างจากมองศัตรูเท่าไหร่นัก ทว่าเจียงป่าวชิงกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย
อันที่จริงแล้ว ความคาดหวังทางจิตใจเดิมของเจียงป่าวชิงก็คือการเอาที่ดินห้าไร่กลับคืนมา ถึงอย่างไรตอนนั้นก็ได้ทำข้อตกลงกันไว้ ซึ่งถ้าให้ครอบครัวท่านปู่เจียงคายที่ดินสิบไร่ออกมาทั้งหมดก็คงจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเท่าไหร่นัก และกลัวว่าตอนนั้นจะเกิดการสู้กันจนพังทั้งสองฝ่าย
แม้การที่คายที่ดินห้าไร่ออกมาจะทำให้ท่านปู่เจียงเจ็บปวดใจมาก แต่ก็ไม่ถึงกับยอมรับไม่ได้เท่ากับการคืนที่ดินสิบไร่กลับไป
ในอีกทางหนึ่ง นี่ถือได้ว่าที่ดินห้าไร่นี้เป็นรากฐานในการสร้างบ้านหลังเล็กของเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชาน
เมื่อต้องเผชิญกับสีหน้าที่ใกล้จะพ่นไฟออกมาได้อยู่รอมร่อของท่านปู่เจียงกับเจียงอีหนิว เจียงป่าวชิงก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและรู้สึกอยากขำอยู่เล็กน้อย
สามวันมานี้ นางกับเจียงหยุนชานได้ย้ายข้าวของไปที่บ้านเดิมแล้ว หากพูดตามหลักการ อันที่จริงบ้านเดิมของเขาก็ควรตกอยู่ภายใต้ชื่อของท่านปู่เจียงเช่นกัน แต่เนื่องจากหากจะทำเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์บ้านก็จะต้องไปจ่ายค่าภาษีที่ในอำเภอ อีกอย่าง บ้านของพวกเขาก็ชำรุดทรุดโทรมมากแล้ว ครอบครัวท่านปู่เจียงจึงไม่สนใจ และยิ่งไม่เต็มใจที่จะเสียเงินเพราะบ้านที่ชำรุดทรุดโทรมเช่นนี้
ดังนั้น หลังจากที่ครอบครัวท่านปู่เจียงพากันไปขนของในบ้านจนเกลี้ยงแล้ว ชื่อของบ้านหลังนั้นก็ไม่ได้ถูกนำไปเปลี่ยนที่ในอำเภอ
เรื่องนี้จึงสะดวกสำหรับเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชาน
พวกเขาสองคนถอนหญ้าที่ในลานบ้านได้ประมาณหนึ่งแล้ว จากนั้นก็หาช่างกระเบื้องในหมู่บ้านมาซ่อมหลังคาที่รั่วในห้องกระเบื้องให้สมบูรณ์กว่านี้ก่อน ถึงจะสามารถอยู่ได้อย่างถู ๆ ไถ ๆ นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายห้องที่ค่อนข้างเสื่อมโทรมมากเป็นพิเศษ หลังคากับฝาผนังก็มีเสียหายอยู่หลายจุด ทั้งหลังคาบังแดดยังเป็นรูรั่วอีกด้วย คงจะต้องใช้เวลาสักพักถึงจะสามารถฟื้นคืนสภาพเดิมได้ชั่วคราว พวกเขาจึงต้องเก็บแรงไว้ซ้อมบ้านก่อน
เจียงหยุนชานยืนอยู่ตรงลานบ้านพลางมองไปที่บ้านหลังเล็กที่เริ่มมีเค้าโครงเหมือนแต่ก่อนขึ้นมาบ้างแล้ว เขานั้นก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขในตอนที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่กับพ่อของพวกเขาที่นี่
เจียงหยุนชานใจลอยไปชั่วขณะ
ไหล่ของเจียงป่าวชิงยังคงรู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อย แต่แผลตกสะเก็ดแล้ว ถ้าหากว่านางขยับเพียงเล็กน้อยก็ยังสามารถอดกลั้นความเจ็บปวดได้อยู่ ตอนนี้นางถือไม้กวาดและกำลังทำความสะอาดอยู่ในลานบ้าน
ฝุ่นกระจายขึ้นมาในอากาศ เจียงหยุนชานตอบสนองกลับมา จากนั้นเขาก็เข้าไปแย่งไม้กวาดในมือเจียงป่าวชิงและตำหนินางเล็กน้อย “ป่าวชิง ไหล่เจ้าไม่เหมือนหายดีแล้ว เหตุใดถึงเริ่มไม่รักตัวเองแล้วล่ะ ? หรือเจ้าอยากเป็นสาวแก่ที่มีแขนข้างเดียวในอนาคต ?”
เจียงป่าวชิงยิ้มตาหยีและแกล้งเจียงหยุนชาน “อ้อ ที่แท้พี่ก็รังเกียจข้านี่เอง”
สองสามวันนี้เจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงสนิทกันมากขึ้น เขาโบกมือไปมาเล็กน้อย “พอแล้ว ๆ ป่าวชิง เจ้าไปพักก่อนเถอะ”
เจียงป่าวชิงเอียงศีรษะและส่งยิ้มให้เจียงหยุนชาน จากนั้นนางก็ไปตักน้ำและทำการเช็ดวงกบหน้าต่างห้องกระเบื้องที่ซ่อมเสร็จแล้วก่อน
เมื่อเจียงหยุนชานเห็นว่าเจียงป่าวชิงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ เขาก็ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาและปล่อยให้นางทำต่อไป