แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 56 หวู่ซิ่วฉาย
ตอนที่ 56 หวู่ซิ่วฉาย
ตอนที่เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานย้ายออกมา เนื่องจากพวกเขาตัดขาดกับครอบครัวท่านปู่เจียงแล้ว โจซื่อจึงหัวเราะ จากนั้นนางก็ไปที่ห้องของพวกเขาและหยิบเครื่องนอนบาง ๆ ออกไป นางเอียงตามองและพูดด้วยน้ำเสียงปลิ้นปล้อนไม่จริงใจ “ต่อให้ต้องโยนให้ขอทาน ก็อย่าให้เสียชื่อหมาป่าตาขาวที่จิตใจตายด้านตัวนั้น”
แม้แต่เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะของเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชาน เดิมทีโจซื่อก็คิดจะกระชากออกมาจากบนตัวพวกเขาให้รู้แล้วรู้รอด สุดท้ายก็เป็นผู้อาวุโสในตระกูลคนหนึ่งซึ่งมากับพวกเขาที่ทนดูต่อไปไม่ไหว เขาจึงชี้ไปที่ข้าวกล้องครึ่งถุงนั้น “ในบ้านเขามีที่ดินตั้งสิบไร่ แต่เจ้ากลับให้ลูกของเขากินสิ่งนี้ปีแล้วปีเล่าเนี่ยน่ะรึ ? ไม่อย่างนั้น เจ้าก็คายผลเก็บเกี่ยวที่ได้จากที่ดินห้าไร่ของก่อนหน้านี้ออกมาซี่ ?”
เมื่อโจซื่อได้ยินดังนั้น นางก็ยิ้มสู้และเดินออกไปด้วยใบหน้าหงอยเหงา
ในตอนที่มาถึงบ้านใหม่ ก็ยังไม่มีเครื่องนอนให้กับเตียงอิฐที่เพิ่งนำออกมาทำความสะอาด เจียงป่าวชิงจึงออกไปหาหญ้าป่า นางกอดหญ้าป่ากลับมาเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็นำมาปูบนเตียงอิฐเพื่อทำเป็นเบาะรอง นอกจากนี้ เจียงป่าวชิงยังเด็ดโกศจุฬาลัมพาจีนกลับมามากมายอีกด้วย เพราะถ้านำมาวางไว้ข้างในก็จะสามารถป้องกันยุงได้
เจียงหยุนชานมองสภาพแวดล้อมที่ไม่สมบูรณ์นี้ เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยจึงเช็ดหน้าแก้เก้อ “ป่าวชิง… ข้าทำให้เจ้าลำบากอีกแล้ว”
เจียงป่าวชิงกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย นางทำเพียงพูดขึ้นยิ้ม ๆ “พี่ชาย ข้าลำบากเสียที่ไหนกัน ย้ายออกมาจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้นได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่ลำบากแล้วนะเจ้าคะ”
เจียงหยุนชานอ้าปากจะพูดแต่เขายังไม่ได้พูดอะไร เจียงป่าวชิงก็พูดขึ้นมาอย่างร่าเริงเสียก่อน “ใช่แล้วพี่ชาย เราไปทำความสะอาดเตากันดีกว่า วันนี้ข้าอยากกินเต้าหู้ผัดหัวหอมป่าฝีมือพี่”
เจียงหยุนชานยังไม่ทันได้เศร้าใจก็เห็นเจียงป่าวชิงวิ่งออกไปด้านนอกเสียก่อน เขารีบพูดขึ้นตามหลังนาง “ป่าวชิง ช้าหน่อย ไหล่เจ้ายังไม่หายดี ระวังไหล่เจ้าด้วยสิ”
เมื่อเจียงป่าวชิงวิ่งออกไป นางก็เห็นว่าซุนต้าหูกำลังยืนอยู่นอกบ้านด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ราวกับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีอย่างไรอย่างนั้น
ตั้งแต่ที่เจียงป่าวชิงย้ายออกมาจากตระกูลเจียง นางก็อารมณ์ดีมาก นางเรียกซุนต้าหูอย่างร่าเริง “พี่ต้าหู”
ซุนต้าหูหน้าแดง เขารีบพูดกลบเกลื่อนทันที “ขะ… ข้า… ข้ากับพี่ชายเจ้าเล่นด้วยกันมาตั้งแต่ยังเล็ก ข้าจึงมาดู ดูว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่”
เจียงหยุนชานออกมาจากในบ้านพอดี เมื่อเขาได้ยินว่าซุนต้าหูมาเพื่อช่วยเหลือ เขาก็รู้สึกตื่นตะลึงอยู่เล็กน้อย จากนั้นเขาก็รีบโบกมือทันที “ไม่ต้องหรอกขอรับ เราสองพี่น้องจะรบกวนพี่ต้าหูได้อย่างไรขอรับ”
ซุนต้าหูเกาศีรษะ “เมื่อสักครู่ข้าได้ยินพวกเจ้าคุยกันว่าจะจัดเก็บห้องครัวรึ ? การทำห้องครัวนั้นทำได้ไม่ง่ายเท่าไหร่ ข้าอยู่บ้านคนเดียวและเคยทำห้องครัวอยู่สองสามครั้ง จึงค่อนข้างมีประสบการณ์อยู่บ้างเล็กน้อย อีกอย่าง พวกเจ้าก็แขนขาเล็กกันทั้งนั้น ให้ข้าทำนั่นแหละดีแล้ว”
เขาพูดด้วยความจริงใจขนาดนี้แล้ว หากว่าบ่ายเบี่ยงอีกก็คงจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกอยู่พอสมควร
เจียงหยุนชานพูดอย่างเกรงใจ “เช่นนั้นก็รบกวนพี่ต้าหูหน่อยนะขอรับ”
ซุนต้าหูดูเหมือนได้รับงานที่ดีอย่างไรอย่างนั้น เขารูดแขนเสื้อขึ้นอย่างเบิกบานใจ จากนั้นก็เดินตรงไปที่ห้องครัวทันที
ฝาผนังนอกห้องครัวถูกรมควันจนกลายเป็นสีดำ และมีรูขนาดใหญ่หลายรูที่ชำรุด ทำให้ลมจากด้านนอกพัดผ่านรูเข้ามาข้างใน
ซุนต้าหูถ่มน้ำลายลงบนมือเล็กน้อย เขาก้มลงหยิบพลั่วและโกยเถ้าถ่านที่เป็นก้อนออกมาจากใต้ท้องเตา
เจียงหยุนชานหยิบไม้ขีดไฟแท่งหนา จากนั้นก็แหย่ลงไปจากหัวเตา
ทั้งสองคนทำอย่างกระปรี้กระเปร่า เจียงป่าวชิงรูดแขนเสื้อและกำลังจะเข้ามาช่วย แต่ซุนต้าหูรีบพูดขึ้นมาเสียก่อน “น้องป่าวชิง ในนี้สกปรกมาก เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงออกไปพักผ่อนเถอะ”
“พี่ต้าหู นี่เรื่องเล็กน้อยมากเลยนะเจ้าคะ ให้ข้าช่วยเถอะ” เจียงป่าวชิงเดินเข้ามายิ้ม ๆ และเข้าร่วมขบวนการทำความสะอาดเตาทันที
ซุนต้าหูชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นใบหน้าของเขาก็กลับมาแดงอีกครั้ง ด้วยความที่ไม่รู้จะพูดอะไร เขาจึงก้มหน้าทำงานไปเงียบ ๆ
ทั้งสามคนทำความสะอาดเตาเสร็จประมาณหนึ่งแล้ว ต่อมาซุนต้าหูกับเจียงหยุนชานพากันผลักรถไปที่ริมแม่น้ำเพื่อไปขนโคลนกลับมา ส่วนเจียงป่าวชิงก็เฝ้าลานบ้านอยู่ที่บ้าน
เจียงป่าวชิงยืนอยู่ในลานบ้าน นางกำลังสังเกตว่ายังมีตรงไหนที่ต้องซ่อมแซมอีกหรือไม่ จู่ ๆ นางก็ได้ยินการเคลื่อนไหวบางอย่างมาจากที่ไกล ๆ
เจียงป่าวชิงมองซ้ายมองขวาก่อนจะเห็นว่าบ้านที่ชำรุดทรุดโทรมที่อยู่ห่างจากบ้านของพวกเขาหลังนั้นมีคนกำลังทำงานอยู่ข้างใน เขาคนนั้นปีนขึ้นไปบนชายคาบ้านและกำลังซ่อมหลังคาอยู่ที่นั่น
ช่างบังเอิญมาก ดูเหมือนบ้านที่ทิ้งร้างมานานหลังนั้นก็มีคนย้ายเข้ามาเช่นกัน
เจียงป่าวชิงจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ สุภาษิตบอกไว้ว่าญาติห่าง ๆ หรือจะสู้เพื่อนบ้านใกล้ ๆ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน คงไม่แย่ไปกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับครอบครัวของท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อกระมัง
นางขบคิดเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ จู่ ๆ ก็มีคนมาเคาะประตูบ้านที่ชำรุดของนางอย่างแผ่วเบา
เจียงป่าวชิงหันไปมองอย่างประหลาดใจเล็กน้อย มีชายวัยกลางคนที่สวมใส่ชุดคลุมยาวคนหนึ่ง กำลังงอนิ้วลงกับขอบประตูและยิ้มให้กับนาง “สาวน้อย ข้าขอถามสักหน่อย ที่นี่ใช่บ้านตระกูลเจียงหรือเปล่า ?”
ท่าทางของเขาสุภาพและมีมารยาทมาก
เจียงป่าวชิงยิ้มให้เขา “ใช่เจ้าค่ะ ที่นี่บ้านตระกูลเจียง จะมาหาใครหรือเจ้าคะ ?”
ชายวัยกลางคนพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ข้านามสกุลหวู่ เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนในอำเภอ สาวน้อย เจียงหยุนชานเป็นพี่ชายของเจ้าใช่ไหม ?”
เมื่อเจียงป่าวชิงได้ฟัง นางก็เข้าใจได้ทันที เขาคงจะเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนของเจียงหยุนชาน
เจียงป่าวชิงตื้นตันใจ นางประสานมือคารวะจนแทบจะถึงพื้นอยู่รอมร่อ จากนั้นก็ทำความเคารพคุณครูหวู่ท่านนี้อย่างเคร่งขรึม
หวู่ซิ่วฉายในชุดเสื้อคลุมยาวรีบพยุงเจียงป่าวชิงขึ้นมาทันที เขารีบเอ่ยชมจากใจจริง “ข้าเคยได้ยินหยุนชานบอกว่าน้องสาวที่บ้านที่ป่วยมานานหลายปีได้หายเป็นปกติแล้ว วันนี้เมื่อได้มาเห็น สมแล้วที่เป็นน้องสาวของหยุนชาน แม้จะป่วยมาหลายปีแต่กลับมีสัมมาคารวะ ทั้งอากัปกิริยายังสุภาพเรียบร้อย”
เจียงป่างชิงรีบเชิญหวู่ซิ่วฉายเข้ามาในบ้านทันที “ข้ากับพี่หยุนชานเพิ่งย้ายบ้านใหม่ ในบ้านจึงไม่ค่อยเรียบร้อยสักเท่าไหร่ แต่เราไม่ได้มีเจตนาเฉยเมยต่อคุณครูนะเจ้าคะ”
หวู่ซิ่วฉายกลับไม่สนใจเรื่องนั้นแม้แต่น้อย เขามองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าภายในลานบ้านเสื่อมโทรม ตัวบ้านก็ทั้งเก่าและชำรุดเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
เขานั้นรู้มาตั้งนานแล้วว่าปัจจัยในบ้านของเจียงหยุนชานไม่ค่อยดีนัก โดยภาพรวมอาจกล่าวได้ว่าไม่มีเสื้อผ้าและอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการ ส่วนตัวเขานั้น เดิมทีเป็นพวกชอบเด็กที่มีความสามารถ จึงแนะนำงานเด็กจัดโต๊ะหนังสือให้กับเจียงหยุนชาน เพื่อที่หยุนชานจะได้นำเงินค่าตอบแทนที่ได้มาเป็นเบี้ยเลี้ยงในส่วนของใช้ในชีวิตประจำวัน
การใช้ชีวิตของเด็กสองคนนี้ไม่ง่ายเลยจริง ๆ
หวู่ซิ่วฉายนั่งลงบนม้านั่งหินที่อยู่ในลานบ้าน เขาไม่มีมาดของนายซิ่วฉายแม้แต่นิดเดียว แต่กลับพูดคุยกับเจียงป่าวชิงด้วยท่าทางอ่อนโยน “ป่าวชิง พี่ชายเจ้าออกไปรึ ?”
เจียงป่าวชิงกำลังจะพูดตอบ ก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างร่าเริงของซุนต้าหูดังมาจากบนถนนเล็ก ๆ เสียก่อน “โคลนมาแล้วน้องชิง!”
เมื่อเจียงป่าวชิงได้ยิน นางก็เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็นเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปพูดกับหวู่ซิ่วฉาย “คุณครูเจ้าคะ เมื่อสักครู่พี่ชายข้าออกไปขุดโคลนที่ริมแม่น้ำ ตอนนี้ก็คงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
หวู่ซิ่วฉายพยักหน้าเล็กน้อย
จนกระทั่งซุนต้าหูกับเจียงหยุนชานขนตะกร้าที่เต็มไปด้วยโคลนเข้ามาในลานบ้านทีละคน เจียงหยุนชานวางตะกร้าลงในภายหลัง เขาถึงจะเห็นหวู่ซิ่วฉายที่นั่งอยู่ในลานบ้าน เขาตกตะลึงจนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น และพูดติดอ่างทันที “คะ… ครูหวู่ ?”
เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าหวู่ซิ่วฉายจะมาหาเขาที่นี่
ความผ่อนคลายในตอนที่หวู่ซิ่วฉายคุยกับเจียงป่าวชิงเมื่อสักครู่ได้หายไปแล้ว เขาลุกขึ้นจากม้านั่งหินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นเขาก็เรียกชื่อเจียงหยุนชาน “หยุนชาน หลายวันมานี้เจ้าไม่ได้กลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน ทั้งยังส่งจดหมายลาออกจากโรงเรียนกลับมาอีกด้วย เจ้าคิดจะทำอะไรหรือ ?”
เจียงหยุนชานสั่นไปทั้งร่าง เขาก้มหน้าลงอย่างละอายใจ จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าคุณครูและคุกเข่าลง แต่เขากลับไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย “ครูหวู่ ข้าหยุนชานทำให้ครูหวู่ผิดหวังแล้วขอรับ”
ซุนต้าหูรู้สึกมึนงงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่รู้จะวางมือและเท้าของตนเองไว้ตรงไหนดี เห็นได้ชัดว่าครอบครัวชาวนาที่ขูดข้าวกินจากในดินเหลืองอย่างพวกเขามีความเคารพยำเกรงต่อคนที่มีความรู้อย่างหวู่ซิ่วฉาย บนหน้าผากของเขาผุดเหงื่อเย็น เขาหันมองเจียงป่าวชิงราวกับขอความช่วยเหลือ
เจียงป่าวชิงยิ้มให้ซุนต้าหูอย่างรู้สึกผิด จากนั้นซุนต้าหูก็ดูเหมือนคนที่เพิ่งกินยาที่ทำให้จิตใจสงบเข้าไป ถึงแม้ว่าจิตใจของเขาจะยังคงไม่ค่อยสงบอย่างที่เขาพยายามแสดงอาการ แต่อย่างน้อยก็มีความมั่นใจในใจบ้างแล้ว
หวู่ซิ่วฉายมองเจียงหยุนชานที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ในน้ำเสียงของเขามีความเจ็บปวดใจแฝงอยู่เล็กน้อย “หยุนชาน ข้าอายุมากกว่าเจ้าไม่มากก็มอบตัวเป็นครูแล้ว ข้าสอนเจ้ามาหลายปี ความฉลาดและความประพฤติของเจ้าล้วนยอดเยี่ยมอย่างที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด เพียงแค่ล้มเหลวจากการสอบเซี่ยนชื่อเล็ก ๆ ครั้งเดียว เจ้าถึงปลุกใจให้ฮึกเหิมอีกไม่ได้ และถึงขั้นจะลาออกจากโรงเรียนเช่นนี้”
จมูกของเจียงหยุนชานแดงก่ำ แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไร