แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 92 จ่ายค่ารักษาล่วงหน้า
ตอนที่ 92 จ่ายค่ารักษาล่วงหน้า
รออยู่ในห้องครบสามสิบนาที เจียงป่าวชิงก็เดินไปดูอาการของกงจี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน อย่างน้อยเมื่อเห็นแล้วว่าสภาพจิตใจของกงจี้ค่อนข้างดี และเขายังส่งสายตาที่ดูเหมือนขี้เกียจจะสนใจนางมาให้นางอีกต่างหาก เห็นเช่นนี้ เจียงป่าวชิงก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ดูก็รู้ว่าไม่ต่างอะไรจากวันธรรมดา สามารถบอกได้ว่าเขาปกติมาก
เจียงป่าวชิงดึงเข็มเงินออก ก็เห็นว่ามีแสงสีฟ้าอยู่บนเข็มเงินเล็กน้อย นางจึงมีความเข้าใจอยู่ในใจบ้างแล้ว
อันที่จริง วันนี้ที่นางใช้เข็มเงินทำความสะอาดจุดฝังเข็มที่ถูกพิษอุดตันอีกครั้ง ก็เพื่อเป็นการทดลองก่อนการเดินเครื่องอย่างเป็นทางการเท่านั้น โชคดีที่ดูเหมือนสถานการณ์จะเป็นไปตามที่นางคาดการณ์ไว้
เจียงป่าวชิงดึงเข็มเงินที่ปักอยู่บนขาของกงจี้ออกอย่างรวดเร็ว และยังคงนำไปวางในชามขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเหล้าเช่นเดิม จากนั้นนางก็เรียกฝูฉูเข้ามาพูดกำชับอย่างจริงจังว่า “พี่ฝูฉูห้ามปฏิบัติกับเข็มเงินพวกนี้อย่างสะเพร่าเด็ดขาดนะเจ้าคะ อีกประเดี๋ยวข้าจะจ่ายสมุนไพรให้พี่นิดหน่อย ซึ่งพี่ต้องต้มเข็มเงินด้วยสมุนไพรพวกนั้นเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง และจำไว้ว่าอย่าให้น้ำแห้งเด็ดขาดเลยเจ้าค่ะ”
ฝูฉูพยักหน้า
เจียงป่าวชิงทุบเอวตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหันไปพูดกับไป๋จี “ได้แล้ว วันนี้คงไม่มีอะไรแล้ว พรุ่งนี้เจ้าเตรียมมีดสั้นที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วให้ข้าหนึ่งเล่ม” เจียงป่าวชิงชี้ไปที่กงจี้ “ไม่เอาเล่มที่อยู่บนตัวเขานะ”
ไป๋จีพยักหน้า ทว่าเขายังคงสงสัยอยู่บ้าง “เหตุใดถึงไม่เอามีดสั้นของนายท่านของข้าล่ะ ? มีดของเขาเล่มนั้นเป็นเหล็กชั้นดีในทะเลจีนใต้ มันตัดเหล็กได้เหมือนโคลน นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งในมีดสั้นที่หายากที่สุดในโลกอีกด้วย หรือว่ายังมีข้อบกพร่องตรงไหนอีกอย่างนั้นรึ ? แม่นางเจียงบอกข้าได้เลย ข้าจะได้ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น”
เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “ไม่มีจุดที่บกพร่องหรอก แต่ข้าแค่ไม่อยากใช้มันก็เท่านั้น ไม่ได้รึ ?”
ไป๋จีไม่คิดว่านางจะให้คำตอบเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกงุนงงอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็ยังขานรับอยู่ดี
กงจี้ครุ่นคิดด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ดูเหมือนว่านางจะไม่ปล่อยวางเรื่องมีดสั้นจริง ๆ
……
เมื่อเจียงป่าวชิงเสร็จธุระจากทางฝั่งของกงจี้ นางก็กลับมาที่บ้านของตัวเองและเห็นพี่ชายกำลังเล่นกับเจ้าหมาทั้งสองตัวอยู่ตรงนั้น
เจียงหยุนชานเห็นเจียงป่าวชิงกลับมา เขาก็ลุกขึ้นยืนพลางชี้ไปยังเสี่ยวป๋ายที่ถูกเจียงป่าวชิงใช้กระดานไม้ไผ่ค้ำขาหน้าไว้พร้อมกับพูดกับนาง “ข้าว่ามันกับข้ามีวาสนาเหมือนกัน ดูสิ แขนหักกันทั้งคู่เลย”
เจียงป่าวชิงนับถือสภาพจิตใจที่ยังเบิกบานได้ของเจียงหยุนชานที่เขาไม่นำเรื่องกระดูกหักมาใส่ไว้ในใจ แต่นางกลับรู้สึกปวดหัวกับการเปรียบเทียบของเจียงหยุนชานอยู่เล็กน้อย “พี่หยุนชาน ใครเขาเปรียบตัวเองเป็นหมากันเล่า”
เจียงหยุนชานกลับไม่ใส่ใจ เขาหยิบหนังสือและไปนั่งอ่านตรงม้านั่งหินในลานบ้าน เมื่อเจียงป่าวชิงเห็นว่าเจียงหยุนชานก็ไม่ได้เก็บเอาเรื่องลาออกมาคิดมากมากนัก นางก็รู้สึกดีใจเช่นกัน “พี่ ประเดี๋ยวข้าจะไปรินน้ำให้พี่นะ”
“เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ…” ทว่าเจียงหยุนชานยังพูดไม่ทันจบก็เห็นเจียงป่าวชิงเดินเข้าไปในบ้านอย่างมีความสุขเสียก่อน และเมื่อเห็นท่าทางของน้องสาวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เขาก็คิดว่าตัวเขาเองไม่สามารถถูกชะตาชีวิตโจมตีได้
เพราะข้างหลังเขานั้น… ยังมีน้องสาวที่ต้องพึ่งพาอาศัยเขาอยู่ เขาจะต้องยกท้องฟ้าที่สวยงามมาให้น้องสาวของเขาให้ได้
……
เช้าวันต่อมา เจียงป่าวชิงยังคงตื่นแต่เช้าเพื่อมาออกกำลังกายเลียนแบบท่าสัตว์ตามแบบฉบับชาวจีนในลานบ้าน เจียงหยุนชานก็ตื่นเช้าเช่นกัน เขาเห็นเจียงป่าวชิงกำลังรำมวยและเต้นด้วยท่าทางแปลก ๆ อยู่ในลานบ้านจึงหยุดดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าน้องสาวหยุดทำท่าทาง เขาถึงจะถามขึ้น “ป่าวชิง นั่นเจ้ากำลังทำอะไรหรือ ?”
เจียงป่าวชิงหันกลับมาพูดกับเจียงหยุนชานยิ้ม ๆ “นี่เรียกว่าการออกกำลังกายเลียนแบบท่าสัตว์เจ้าค่ะ สอนโดยคนวิเศษที่สอนเคล็ดลับให้ข้านั่นแหละ ตอนนี้แขนของพี่เข้าเฝือกอยู่จึงออกกำลังกายได้ไม่สะดวก รอให้แขนของพี่หายดีแล้ว เราค่อยมาออกกำลังกายประเภทนี้กัน ข้าจะบอกให้ว่ามันรักษาสุขภาพสุด ๆ เลยนะเจ้าคะ”
เจียงหยุนชานขานรับยิ้ม ๆ
สองพี่น้องทำการแบ่งงานกัน เจียงป่าวชิงรับผิดชอบทำอาหาร ส่วนเจียงหยุนชานก็รับผิดชอบไปตักน้ำที่ริมลำธารและนำมาใส่ในเหยือกน้ำของที่บ้านให้เต็ม
เนื่องจากแขนของเจียงหยุนชานถูกพันด้วยแผ่นไม้ขนาบ ครั้งหนึ่งเขาจึงถือน้ำได้เพียงหนึ่งถังเท่านั้น ซึ่งถ้าหากว่าต้องการเติมน้ำให้เต็มเหยือกก็จะต้องไป ๆ กลับ ๆ อยู่หลายครั้ง เจียงหยุนชานจึงถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัว
ในระหว่างทางที่เจียงหยุนชานกลับมาจากไปตักน้ำ เขาก็เจอเข้ากับชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ออกมาตักน้ำ และพวกเขาก็ได้ถามเจียงหยุนชานอย่างแปลกใจว่าเหตุใดแขนของเขาถึงหักได้
เจียงหยุนชานใช้ข้ออ้างที่ว่า ‘ข้าหกล้มอย่างไม่ระวังขอรับ’ ตอบกลับอย่างขอไปที
แต่ใครจะรู้ว่าข่าวนี้จะกระจายออกไปทั้งอย่างนั้นและมีคนตั้งใจใส่น้ำมันลงในกองไฟ บอกว่าเจียงป่าวชิงเป็นดาวอัปมงคล เล่นงานพ่อแม่และตัวเองจนปัญญาอ่อนตั้งหลายปี ตอนนี้ยังมาเล่นงานพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเองให้แขนหักอีกด้วย ถือว่านางเป็นคนที่อัปมงคลมากเลยทีเดียว
และแน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้นในขณะนี้ เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานจึงยังไม่ทันสังเกตเห็น
หลังจากที่สองพี่น้องกินอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว เจียงหยุนชานก็อาศัยแสงธรรมชาติเพื่ออ่านหนังสือในลานบ้าน เนื่องจากไม่มีกระดาษกับดินสอ เจียงหยุนชานจึงหยิบกิ่งไม้และนั่งยอง ๆ ลงบนพื้น เขาใช้ทรายเป็นกระดาษและใช้กิ่งไม้เป็นดินสอ จากนั้นเขาก็อ่านหนังสือที่หวู่ซิ่วฉายมอบให้เขาก่อนเดินทาง พร้อมกับขีดเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนพื้น
เจียงป่าวชิงมองดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนางก็วิ่งเตาะแตะไปที่บ้านข้าง ๆ
ผู้ที่มาเปิดประตูให้ยังคงเป็นฝูฉูคนเดิม โดยปกติแล้วเจียงป่าวชิงเคยมาที่นี่สองครั้งในช่วงนอกเวลารักษา และทุกครั้งนางจะมาเอายาเสมอ ครั้งนี้ฝูฉูจึงคิดว่าเจียงป่าวชิงก็มาเอายาอีกเช่นกัน หลังจากที่ฝูฉูทักทายเจียงป่าวชิงแล้ว นางก็กำลังจะพาเจียงป่าวชิงไปที่ห้องยา
แต่ครั้งนี้ เจียงป่าวชิงไม่ได้มาเอายา นางเรียกฝูฉูไว้ “พี่ฝูฉู ผิดแล้ว วันนี้ข้ามาหาท่านชายของพี่เจ้าค่ะ”
ฝูฉูหยุดฝีเท้าลง “อ้อ… แม่นางเจียงมาหาท่านชายของข้า มีธุระอย่างนั้นรึ ?”
เจียงป่าวชิงพยักหน้า “มีธุระแน่นอนเจ้าค่ะ”
‘ถ้าหากว่าไม่มีธุระแล้วจะมาหาท่านชายของเจ้าทำไมกันเล่า ? คิดว่าจะคุยเล่นกันอย่างนั้นรึ ?’ เจียงป่าวชิงนึกในใจพลางถึงฉากที่คุณชายกงคุยเล่นกับนาง เหอะ… อย่างไรก็ช่างมันดีกว่า
ฝูฉูรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อย แต่เจียงป่าวชิงดูเหมือนจะไม่ยอมพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พาเจียงป่าวชิงไปที่ห้องหลัก
เวลานี้กงจี้เอนตัวอ่านหนังสืออยู่ข้าง ๆ หน้าต่าง ส่วนไป๋จีกำลังเบื่อหน่ายกับการเล่นหมากรุกกับตัวเองอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินฝูฉูเข้ามารายงาน หัวคิ้วของกงจี้ก็เลิกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็วางหนังสือลงข้างตัว “ให้นางเข้ามา”
ฝูฉูรับคำสั่งไปส่งต่อข้อความ
เจียงป่าวชิงเข้ามาในห้องและเผยรอยยิ้มเจิดจรัสให้กงจี้
กงจี้ยกยิ้มมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มเย้าหยอกของเขา “พอ… ข้ารู้แล้ว เจ้าจะต้องมีธุระอะไรอย่างแน่นอน”
ทุกครั้งที่เจียงป่าวชิงคิดจะทำอะไรบางอย่าง นางมักจะยิ้มอย่างเจิดจรัสและไร้เดียงสาเช่นนี้
“คุณชายกงช่างสังเกตจริง ๆ” เจียงป่าวชิงส่งยิ้มให้กงจี้ “ข้าอยากปรึกษาธุระกับเจ้าสักหน่อย ?”
‘ไม่เลว ใช้คำพูดแสดงความเคารพเป็นด้วย’ กงจี้คิดในใจ ส่วนไป๋จี เขาแอบครุ่นคิดอยู่ด้านข้าง ‘เห็นทีว่าจะมีเรื่องขอร้องให้ช่วย’
แต่กงจี้ดูเหมือนจะได้ประโยชน์ เขาค้ำศีรษะและเอียงหน้ามองเจียงป่าวชิง “เจ้าพูดต่อสิ”
เจียงป่าวชิงส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อย “ตอนนั้นเจ้าบอกว่าถ้าหากข้ารักษาขาเจ้าได้ เจ้าจะให้เงินก้อนใหญ่กับข้าไม่ใช่รึ ? ถ้าอย่างนั้น ข้าขอรับค่าตอบแทนล่วงหน้าหน่อยได้หรือไม่ ?”
กงจี้มองเจียงป่าวชิงด้วยความสนใจ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นนิ่ง ๆ “ได้ แต่เจ้าคิดจะทำอะไรล่ะ ?”
เจียงป่าวชิงปรบมือดังฉาด จากนั้นนางก็ทำการประจบสอพลอกงจี้ยกใหญ่ “โอ้! ข้ารู้อยู่แล้วว่าคุณชายกงจะต้องเป็นคนที่ใจกว้างและข้าเองนับถือเจ้ามาตลอด” นางชะงักไปเล็กน้อย บนใบหน้าก็มีรอยแดงผุดขึ้นมาจาง ๆ ดูเหมือนนางจะรู้สึกเขินอาย “คือ… คือว่าก่อนหน้านี้ข้าเห็นที่บ้านคุณชายกงมีปากกา หมึก กระดาษ และที่ฝนหมึกเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก ข้าอยากแลกกับเจ้าสักหน่อย แต่ไม่ใช่ว่าข้าจะเอาของของเจ้าไปโดยเปล่าประโยชน์นะ เจ้าสามารถหักได้จากค่าตอบแทนของฉันในภายหลังได้เลย”
กงจี้มองเจียงป่าวชิงนิ่ง ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
ฝูฉูอดที่จะพูดขึ้นเสียงเบาอย่างเสียไม่ได้ “แม่นางเจียง ไม่มีหลักการที่ว่าจ่ายค่ารักษาล่วงหน้าไม่ใช่รึ…? อีกอย่าง แม่นางเจียงไม่รู้หรอกว่าปากกา หมึก กระดาษ และที่ฝนหมึกของท่านชายของพวกข้าแพงแค่ไหน”
ทว่ากงจี้มองฝูฉูและพูดขึ้น “ไม่เป็นไร”
ฝูฉูเงียบลงทันที นางทำความเคารพและถอยหลังไปยืนอยู่ด้านข้าง