โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 149
Ch.149 – เพลย์บอยตระกูลซิน
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.149 – เพลย์บอยตระกูลซิน
“แต่แบบนี้เองก็ถือเป็นข่าวดีเหมือนกัน!”
เพราะอย่างน้อยฉินเฟิงก็ไม่เคว้งเหมือนในชีวิตก่อนหน้า ที่ไม่ค้นพบร่องรอยใดๆขององค์กร Zเลย!
เมื่อคิดได้แบบนี้ ฉินเฟิงก็เผยรอยยิ้มจางๆออกมา
ทว่ารอยยิ้มที่ว่าก็หายไปแทบจะในทันที เมื่อเสียงๆหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหู
“น้องสาว เหมือนเธอจะชอบเสื้อผ้าพวกนี้มากเลยนะ อยากได้มันรึเปล่า จะซื้อมันทั้งหมดเลยไหม ฉันให้ยืมเงินได้นะ!” น้ำเสียงหยอกล้อดังแว่วเข้ามา ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้น และพบว่ามีไอ้ขี้หลีกำลังยืนแทะโลมอยู่ข้างๆไป๋หลี
ไป๋หลีไม่เข้าใจถึงความนัยที่แฝงอยู่ของฝ่ายตรงข้าม เธอพยักหน้าตามที่คิด “ใช่ ฉันจะซื้อมันทั้งหมด!”
ไป๋หลีลองเสื้อผ้ามากมาย ทุกคนที่พบเห็นจึงพาลคิดไปว่า เธอแค่กำลังจะเลือกชุดที่อยากจะได้จริงๆ
ชายที่เดินเข้ามาก็คิดว่าไป๋หลีคงจ่ายไม่ไหว เลยได้แค่มาลองชุด นี่เองคือเหตุผลที่เขาเอ่ยปากทัก
แต่เขามิได้สังเกตเห็นถึงความแข็งแกร่งของไป๋หลี เนื่องจากไป๋หลีซ่อนมันไว้อย่างดี เธอเลยดูเหมือนเป็นแค่เด็กผู้หญิงทั่วๆไป ทว่ามีดวงตาและสีผมต่างออกไป เป็นไปได้สูงว่าน่าจะทำการย้อมมา
ซึ่งบางคนก็ชอบลิ้มลองสิ่งแปลกใหม่ เมื่อพบเจอกับผมและดวงตาสีขาวเงิน ดูยังไงก็พิเศษโดดเด่นกว่าใคร นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่มีหน้าตางดงามชนิดสามารถล่มเมืองได้อีกนะ!
“ใช้บัญชีของฉันจ่ายสิ ฉันชื่อว่า ‘ซินเจี่ยเซิง’ ไม่ทราบว่าน้องสาวสวยเรียกว่าอะไร?” ซินเจี่ยเซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ไป๋หลีมองมาทางซินเจี่ยเซิงด้วยความสงสัย ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออก “อ๋อคุณต้องการจะ ‘เคลม’ ฉันใช่ไหม? ถึงคิดจะซื้อเสื้อผ้าให้ จากนั้นก็ชวนกินข้าว แล้วไปต่อสินะ? เพราะที่คุณกำลังทำอยู่มันเหมือนกับพวกนายน้อยตัวร้ายในทีวีเลย!” ไป๋หลีกล่าวด้วยดวงตาสดใส ขณะเดียวกันก็หัวเราะคิกคัก “นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้มาเห็นของจริง”
รอยยิ้มของซินเจี่ยเซิงกลายเป็นแข็งค้างอย่างช่วยไม่ได้ แต่ไม่นานเขาก็ค้นพบถึงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาในแววตาของไป๋หลี เจ้าตัวรู้สึกได้ว่าเธอไม่ได้รังเกียจ เพียงคิดว่ากำลังเจอเรื่องสนุกๆซะมากกว่า
ฉากนี้ทำให้ในหัวใจของซินเจี่ยเซิงตระหนักชัด ว่าสาวน้อยคนนี้ย่อมไม่ได้ถูกเลี้ยงดูโดยครอบครัวปกติทั่วๆไปอย่างแน่นอน
เพราะด้วยสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ อย่าพูดถึงเด็กอายุ 16 หรือ 17 ปีเลย แค่พวกอายุ 11 หรือ 12 ก็เข้าใจเรื่องราวต่างๆมากแล้ว แตกต่างกับเด็กสาวตรงหน้าเขา
“อย่าบอกนะว่าเธอถูกขังอยู่ในฟาร์มทาส ไม่ก็ถูกเร่งการเจริญเติบโตในห้องทดลอง? งั้นสีของดวงตาเธอก็เป็นของจริงน่ะสิ ขอดูชัดๆหน่อยนะ” ทันใดนั้นซินเจี่ยเซิงก็เอื้อมมือไป เหมือนจะพยายามคว้าเอวของไป๋หลี เพื่อดึงมามองใกล้ๆ
อันที่จริงแล้วซินเจี่ยเซิงมีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล F6 เพียงอาศัยดวงตาของเขา สามารถสังเกตเห็นถึงความงดงามของไป๋หลีได้ก็จริง แต่ไม่อาจตรวจสอบถึงขั้นลงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ปัจจุบัน พอได้ลองมองยื่นหน้าไปใกล้ๆ เขาก็ค้นพบว่าไม่มีคอนแทคเลนส์อยู่บนม่านตาของไป๋หลีแต่อย่างใด เส้นผมก็ไม่มีการฟอกสีเช่นกัน
แม้จะทราบถึงความจริงแล้ว แต่ซินเจี่ยเซิงก็ยังไม่หยุดยื่นมือ เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดช่วยโอกาสทำกำไรจากความไร้เดียงสาของไป๋หลี
ผู้ใช้พลังน่ะมักจะไร้ยางอาย แต่ต่อให้เขาทำมากกว่านี้แล้วยังไง? น่ากลัวว่าคงไม่มีใครกล้าเอ่ยขัดอยู่ดี
ซินเจี่ยเซิงเพียงยื่นมือออกมา ดวงตาของไป๋หลีพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ดีดตัวถอยไปก้าวหนึ่งทันที
ประสาทสัมผัสของไป๋หลีน่ะดีมาก เธอสามารถรับรู้ได้ถึงเจตนาร้ายที่แผ่ออกมาจากร่างของซินเจี่ยเซิง
เดิมในทีแรก ซินเจี่ยเซิงเพียงคิดจะหยอกล้อสาวสวย แต่เมื่อมีโอกาสอยู่ตรงหน้า เขาก็ยินดีจะคว้าไว้ แม้จะไม่คิดถึงขั้นทำร้ายไป๋หลีก็ตาม
ไป๋หลีสัมผัสได้ถึงเจตนาร้าย มันเกรงว่าอีกฝ่ายจะเป็นศัตรูจึงกางกรงเล็บทันที
ทว่าก่อนจะเกิดอะไรเกินเลยขึ้น ฉินเฟิงก็ก้าวออกมาด้วยสีหน้าเย็นชาซะก่อน
ไม่คิดเลย แค่ไม่อยู่ดูแปปเดียว ก็มีใครบางคนคิดละลาบละล้วงไป๋หลีที่แสนงดงามของเขาอีกแล้ว!
“ขอโทษทีนะพี่ชาย แฟนผมแค่ไม่รู้เรื่องรู้ราวน่ะ ถ้าเธอพูดอะไรให้คุณขุ่นเคือง ขออย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย” ฉินเฟิงชิงกล่าวขอโทษ ก่อนจะเบนตามองมือของซินเจี่ยเซิง “แต่ขอเตือนว่าพี่ชายอย่าทำอะไรล้ำเส้นจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นแล้ว คุณคงไม่อยากรู้ถึงผลที่ตามมา!”
สายตาของซินเจี่ยเซิงเหลือบมองลงบนโลโก้ตรงหน้าอกอีกฝ่าย ใบหน้าที่กำลังยิ้มถูกแทนด้วยความโกรธทันที–
–เป็นแค่ผู้ใช้พลังเลเวล G ดันกล้าข่มขู่เขา? ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วสินะ
“แกเป็นใคร ไสหัวไปให้พ้น!”
ซินเจี่ยเซิงกวาดมือ ต้องการจะผลักฉินเฟิงออกไป ขณะเดียวกันฉินเฟิงก็ดึงไป๋หลีมาอยู่เบื้องหลังเขา
ทว่าพอสัมผัสมือลงบนร่างอีกฝ่าย ซินเจี่ยเซิงกลับพบว่าตนไม่อาจผลักดันให้ขยับเขยื้อนได้
เจ้าตัวประหลาดใจไปครู่หนึ่ง ก่อนส่งเสียงฮึฮะในลำคอ และเริ่มถ่ายเทกำลังภายในลงสู่ฝ่ามือ
กำลังภายในปะทุออก กระแทกโจมตีเข้าใส่ฉินเฟิงอย่างกระทันหัน
ฉินเฟิงแน่นอนย่อมไม่ยอมอยู่เฉย
กำลังภายในของเขาหมุนวน ปะทุอำนาจที่แกร่งกว่าเลเวล F9 กว่า 4 เท่าออกไป
สองกำลังภายในปะทะกันและกัน ตัดสินผู้ชนะในพริบตา และ–
–โครม!
กระแทกซินเจี่ยเซิงถูกซัดปลิวออกจากในร้านค้าในทันที!
ซินเจี่ยเซิงที่ลอยไปไกลถึงกลางทางเดินห้างที่เต็มไปด้วยผู้คน ดีดตัวลุกขึ้นมาในฉับพลัน
เขาไม่คาดคิดเลย ว่าอีกฝ่ายจะมีกำลังภายในแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม ตอนแรกซินเจี่ยเซิงมิได้ปลดปล่อยกำลังภายในเต็มพิกัด ดังนั้นเขาเลยยังมีความคิดที่ว่าฉินเฟิงยังไม่ใช่คู่ต่อกร
แต่กระนั้น ฉินเฟิงก็ได้เปิดเผยความแข็งแกร่งของตนเองออกมาแล้วเหมือนกัน และมันอยู่ในเลเวล F6
ซินเจี่ยเซิงก้าวฉับๆเข้ามา ปากอ้าหัวเราะเกรี้ยวกราด “โห? ที่แท้แกก็แสร้งทำเป็นหมูเพื่อกินเสืออย่างงั้นหรอ แต่คิดดีแล้วหรือที่ใช้วิธีบัดซบนี่กับฉัน? เชื่อหรือไม่ว่าบิดาเพียงโทรออกผ่านอุปกรณ์สื่อสาร ก็สามารถล้อมรอบห้างทั้งตึกได้! คราวนี้ต่อให้แกแน่แค่ไหนก็ไม่พ้นเงื้อมมือฉัน! ขอเตือนให้แกยอมแพ้ แล้วส่งตัวสาวน้อยที่อยู่ข้างหลังมาซะดีๆ!!”
ดวงตาของฉินเฟิงสาดประกายเย็นเยียบ “แล้วถ้าฉันไม่ส่งล่ะ?”
“แกก็จะตายที่นี่!”
สิ้นเสียง กำลังภายในปะทุคลั่ง ซินเจี่ยเซิงคล้ายกำลังจะเริ่มลงมืออีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม สถานที่แห่งนี้คือใจกลางห้างหรู ดังนั้นย่อมมีผู้ใช้พลังคนอื่นๆอยู่เป็นธรรมดา
ผู้ใช้พลังในเลเวล F1 ก้าวออกมา แต่น่าแปลกที่เขาเดินออกมาจากภายในร้านเสื้อผ้า และผู้ใช้พลังคนนี้มิใช่พนักงานทั่วๆไป แต่กลับใส่สูท นอกจากนี้ยังติดป้ายชื่อตำแหน่งผู้จัดการไว้บนหน้าอก
“นายน้อยซิน ที่นี่คือเขตของตระกูลเฉิง คุณคิดจะสร้างปัญหาให้ตระกูลเฉิงอย่างงั้นหรือ? ถ้าคุณต้องการจะมอบบทเรียนให้ใคร โปรดไปสู้กันอย่างยุติธรรมบนสังเวียนจะดีกว่า อย่าได้แหกกฏเลย”
—เมืองเฉิงหยางคือศูนย์กลางธุรกิจพิเศษ มันเต็มไปด้วยผู้คนที่มั่งคั่ง ร่ำรวยและทรงพลัง ดังนั้นจึงมี ‘กฏ’ เกี่ยวกับการต่อสู้ที่เคร่งครัดเป็นอย่างมาก ไม่อนุญาตให้สู้กันในสถานที่ๆมิได้กำหนด ยิ่งหากเป็นเรื่องถึงตาย คงไม่ต้องกล่าวถึง
หน่วยลาดตระเวนเองก็พยายามมุ่งมั่นให้ภายในเมืองกลายเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต ดังนั้น หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น พวกเขาจะปรากฏตัวอย่างแน่นอน
แม้ตระกูลเฉิงจะมีอำนาจ แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
ฉินเฟิงพอได้ยินคำกล่าวของผู้จัดการ เขาก็บังเอิญได้รู้ถึงสกุลของซินเจี่ยเซิง และยังได้ทราบถึงอีกขุมกำลังอีกหนึ่ง
เฉิงหยางน่ะเป็นเมืองใหญ่ แม้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือเทศมนตรีไป่เทียงหยาง ซึ่งมีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล D8 ก็ตาม แต่อย่างไรในเมืองก็ยังมีตระกูลผู้ใช้พลังที่อาศัยและสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นเป็นเวลายาวนานอยู่
ที่ทราบกันก็น่าจะเป็นสี่ตระกูลใหญ่ อันได้แก่ ฝู , เหอ , ซิน และเฉิง
และเห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้ คือคนจากสองตระกูลใหญ่
สี่ตระกูลใหญ่มีความสัมพันธ์อันซันซ้อนกับเมืองเฉิงหยาง ครอบครองอำนาจอันยิ่งใหญ่ และสถานะของซินเจี่ยเซิงก็ค่อนข้างพิเศษออกไป กล่าวได้ว่าใครก็ตามที่ล่วงเกินเขา ต่อให้เป็นคนในตระกูลเดียวกัน เกรงว่าคงต้องพบกับจุดจบที่ไม่ดี
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามของเขาในคราวนี้คือฉินเฟิง!
เวลานี้ซินเจี่ยเซิงโดนเตือนสติโดยผู้จัดการ ความโกรธของเขาค่อยบรรเทาลง กลายเป็นมีเหตุผลมากขึ้น
เพียงยังใช้สายตาจ้องมองฉินเฟิง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสัมผัสถึงความโหดร้าย
“ไอ้หนู ตอนนี้แกมีอยู่สองทางเลือก หนึ่งคือฉันกับแกไปสู้กันบนสังเวียน อีกหนึ่งคือออกไปจากห้างตอนนี้ซะ แล้วฉันจะฆ่าแกทีหลัง! เลือกเอา!”
ซินเจี่ยเซิงแม้ไม่คิดลงมือที่นี่ แต่เขาก็ไม่ตั้งใจจะปล่อยฉินเฟิงไปเช่นกัน
ดูเหมือนในใจของซินเจี่ยเซิง ไม่ว่าฉินเฟิงจะเลือกข้อไหน ก็ต้องตายอยู่ดี
ต้องรู้นะว่าซินเจี่ยเซิงคือหนึ่งในผู้ใช้พลังที่มีศักยภาพมากที่สุดในรุ่นนี้ของตระกูลซิน เขาแข็งแกร่งมาก มากซะจนคนในเลเวลใกล้เคียงกันมิอาจต่อกร ดังนั้นเขาจึงหวังว่าฉินเฟิงจะเลือกข้อแรก หวังเป็นอย่างยิ่ง
นั่นเพราะบนสังเวียนน่ะสามารถถ่ายทอดสดได้ ดังนั้นซินเจี่ยเซิงจึงต้องการโค่นฉินเฟิงลงต่อหน้าสาธารณะชน มอบความอัปยศให้แก่ฉินเฟิงภายใต้สายตาของทุกคน!