โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 255
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.255 – ก้าวอัคคี
การซื้อขายในตลาดมืดของสถานชุมชนเฟิงหลีกำลังเฟื่องฟู และเมื่อกิจการดำเนินมาถึงช่วงปลายเดือนมกราคม สถานชุมชนที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่แห่งนี้ ก็มีข่าวที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงอีกครั้ง
–ผู้ว่าการฉินได้ออกประกาศจับ และพากองกำลังของสถานชุมชนตนเองออกไปล่าค่าหัว
และสั่งให้ดัดแปลงอะไรบางอย่างนอกกำแพงเมืองเฟิงหลี ซึ่งดัดแปลงที่ว่า ไม่ใช่ป้ายโฆษณาหรือจอทีวีขนาดใหญ่ หากแต่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก
และบนคอนกรีต มี ‘ศีรษะ’ ของคนกว่า 17 หัวแขวนเอาไว้
ดูจากใบหน้า ทั้งหมดมีอายุแตกต่างกันไป ไล่ตั้งแต่หนุ่มแน่นยันวัยกลางคน ทว่าทั้ง 17 หัว ทั้งหมดล้วนเป็นที่รู้จักกันดี ว่าเป็นลูกน้องของแมงป่องพิษ
ต่อมา ทางเครือข่ายนักล่าเงินรางวัลได้ถอนประกาศจับอาชญากรเลเวล E อย่างแมงป่องพิษออกจากระบบ บ่งบอกบอกภารกิจนี้เสร็จสิ้นแล้ว และคนที่บรรลุมัน แน่นอนว่าเป็นฉินเฟิง
ยังไม่พอ ไม่ว่ารายชื่อใดก็ตามในประกาศจับ ตราบใดที่อยู่ในกลุ่มตู่เซี่ย ใบรางวัลทั้งหมดล้วนถูกถอดถอนจนสิ้น
จัดหนักจัดเต็มกันถึงขนาดนี้ ยังมีใครอีกบ้างเล่าที่นึกไม่ออก ว่าฉินเฟิงได้กวาดล้างกลุ่มตู่เซี่ยไปแล้ว!
ต้องรู้นะว่ากลุ่มตู่เซี่ยไม่ใช่กองกำลังธรรมดาๆ แต่เป็นหนึ่งในกลุ่มองค์กรมืดอันแสนโด่งดัง!
แต่ฉินเฟิงไม่เพียงไปตั้งรางวัลนำจับพวกเขา ยังออกล่าด้วยตัวเอง ตลอดทั้งกระบวนการ เริ่มต้นและจบลงในสัปดาห์เดียว
ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้บางคนรู้สึกเย็นสันหลังวาบ ยิ่งไม่กล้าดูถูกฉินเฟิง
ฉินเฟิงอาจจะยังเด็ก บางทีถึงขั้นเรียกได้ว่าหยิ่งยะโส
อย่างไรก็ตาม วิธีการของฉินเฟิงกลับตรงประเด็น , โหดร้าย และไร้ปราณี
บางกลุ่มองค์กรมืดที่ยังเวียนวนเตรียมสร้างปัญหาอยู่รอบๆ คอยจับจ้องแกะอ้วนอย่างเฟิงหลี ค่อยๆถอนกรงเล็บของพวกเขาอย่างระแวดระวัง หวาดเกรงถึงขั้นฉินเฟิงจะทราบแผนการของตน ในหัวใจสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
แต่ทางฉินเฟิงไม่มีเวลาไปวุ่นวายกับอะไรพวกนี้ เพราะตราบใดที่พวกเขามีสมอง และไม่คิดสร้างปัญหาใดๆให้กับสถานชุมชนเฟิงหลี ฉินเฟิงก็คร้านจะเก็บพวกเขามาใส่ใจ
ยิ่งไปกว่านั้น การฝึกภาคสนามในครั้งนี้ ยังช่วยให้ฉินเฟิงได้เห็นถึงศักยภาพของโจวฮ่าว ปัจจุบันกล่าวได้เลยว่าในสถานชุมชน นอกไปจากไป๋หลี , ฉินเฟิง และหลิงหวูยี่แล้ว คนที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมไม่พ้นโจวฮ่าว
เพียงแต่ .. มันยังไม่ดีพอก็เท่านั้น เอาไว้ถ้าโจวฮ่าวก้าวขึ้นสู่เลเวล E เมื่อไหร่ ฉินเฟิงจะได้มอบหมายสถานชุมชนให้โจวฮ่าวคอยดูแลได้อย่างสบายใจสักที!
“อีกสองเดือนต่อจากนี้ ‘สุสานเทพสงคราม’ จะเปิดออก ถึงเวลานั้น พาโจวฮ่าวไปด้วยดีกว่า”
ฉินเฟิงกำหนดแผนการในอนาคต แต่ตั้งสองเดือนยังอีกยาวไกล ปัจจุบันฉินเฟิงไม่อาจหยุดฝีเท้า เฝ้ารอมันอยู่เฉยๆได้
เขาเปิดอุปกรณ์สื่อสาร และท่องไปในเครือข่ายซื้อขายของกลุ่มหวันซ่ง
ยังไงก็ตาม ปัดๆดูไปหลายรายการ ก็ยังไม่เจอของที่ตนเองต้องการ
เวลานี้ฉินเฟิงกำลังมองหาวิชาตัวเบาดีๆ
เพราะการต่อสู้ที่ผ่านมา มันค่อนข้างชัดเจนว่าเรื่องนี้เขายังคงบกพร่อง
แต่ไม่นาน ท่าอบิลิตี้หนึ่งก็ดึงดูดความสนใจของฉินเฟิง
“ก้าวอัคคี?”
หัวใจของฉินเฟิงเต้นครึกโครม
ท่าอบิลิตี้เป็นสิ่งที่สามารถดัดแปลง และเกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา การที่ฉินเฟิงไม่เคยรู้เกี่ยวกับมันมาก่อน เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้มากพอ!
อย่างที่เคยกล่าวไปตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง แม้ฉินเฟิงจะแข็งแกร่ง แต่ความรู้ในเรื่องอบิลิตี้ของเขาค่อนข้างน้อยมาก ถึงแต่ละท่าอบิลิตี้ของเขาจะทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อก็ตาม
“เงื่อนไขในการใช้งานคือต้องมีระดับมากกว่าหรือเท่ากับเลเวล F? ราคาแค่ 1 ล้าน? โอเคงั้นจัดเลย” ฉินเฟิงซื้อมันทันที โดยไม่ต้องคิดอะไรเพิ่มเติม
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง สินค้าก็ถูกส่งมอบถึงมือฉินเฟิง เขาแทบทนรอไม่ไหวที่จะเปิดมัน
“พลังพิเศษดูดกลืน!”
รูนไฟในพัสดุถูกดูดกลืนเข้ามา พวกมันกลายพันธุ์ติดเชื้อ ถูกปล่อยกลับไปรวมตัวกันอีกครั้ง อบิลิตี้ใหม่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฉินเฟิงเดินไปที่สวนหลังบ้าน และปลดปล่อยอบิลิตี้ใหม่ วินาทีต่อมา คล้ายกับว่าสองเท้าของเขาลุกโชติช่วงไปด้วยเปลวไฟ ทั้งคนทั้งร่างดีดผึงราวกระสุนปืนใหญ่ ทะยานออกไปเบื้องหน้า กระโดดมาได้ไกลกว่า 20 เมตรในพริบตาเดียว
หากมิใช่เพราะสมรรถภาพทางกายของตนเอง ฉินเฟิงคงไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง!
ท่าอบิลิตี้นี้เป็นของดีจริงๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อฉินเฟิงอยู่ในสภาวะนี้ คล้ายรู้สึกว่าไม่อาจสำแดงพลังของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเขาสามารถเคลื่อนไหวในระยะทางที่ไกลและเร็วได้มากยิ่งกว่านี้
เกรงว่าท่าอบิลิตี้ใหม่ที่เพิ่งได้มา คงต้องหาเวลาฝึกฝนมันอย่างจริงจัง
ในเวลานั้นเอง บนอุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงก็ส่งเสียง ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด!
“มีเรื่องอะไร?”
ปรากฏว่าปลายสายเป็นหลิวเฮ็ง
ปัจจุบันหลิวเฮ็งรับผิดชอบในด้านการประชาสัมพันธ์ ทุกสถานชุมชนหากคิดติดต่อกับเฟิงหลี ต้องส่งเรื่องผ่านมายังหลิวเฮ็ง และเจ้าตัวก็จัดการกับมันได้ดี
ทว่า … หากไม่ใช่เรื่องใหญ่ หลิวเฮ็งคงไม่ถึงขั้นติดต่อมาหาฉินเฟิงหรอกจริงไหม?
“ผู้ว่าการ มีคนจากเมืองไห่ติดต่อมาหาคุณ” หลิวเฮ็งพูดขึ้น “และนี่คือข้อความจากพวกเขา ‘ขอเชิญชวนผู้ว่าการฉินเข้าร่วมการปราบปรามกองทัพสัตว์ร้ายจากทะเล!’ ”
เมื่อย่างเข้าสู่เดือนมกรา จะถือว่าเป็นช่วงที่ท้องทะเลอันตรายที่สุด
ไม่ทราบเหมือนกันว่าเรื่องนี้มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ในทุกๆเดือนมกราคม เมืองไห่จะต้องเผชิญกับกองทัพสัตว์ร้ายจากทะเลจำนวนมหาศาล พวกมันจะคืบคลานขึ้นฝั่ง เพื่อออกล่ามนุษย์ , วางไข่ และอาละวาดครั้งใหญ่
อีกทั้งสัตว์ร้ายจากทะเลส่วนใหญ่ที่ขึ้นฝั่งมาได้ ล้วนเป็นจำพวกครึ่งน้ำครึ่งบก บางตัวก็มาพร้อมกับพิษอันร้ายกาจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกของเมืองไห่
ดังนั้นงานล่าสัตว์ร้ายจากทะเลเหล่านี้ เลยกลายเป็นภารกิจที่เมืองไห่ต้องกระทำในทุกๆปี นี่เองคือเหตุผลที่ว่าทำไมเมืองไห่ถึงเป็นเมืองที่อันตรายที่สุด
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสนามรบที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงเดือดพล่าน ขณะเดียวกันมันก็ยังเต็มไปด้วยโอกาส!
“โอเค ผมเข้าใจแล้ว”
ฉินเฟิงพยักหน้า ส่งสัญญาณว่ารับเรื่องเรียบร้อย
“เอ่อ … ผู้ว่าการ คุณตั้งใจจะไปจริงๆน่ะหรือ? คือฉันรู้สึกว่า … พวกผู้บริหารที่คุมเมืองไห่อยู่ในปัจจุบัน ไม่น่าติดต่อหรือคบหาเอาซะเลย”
เพราะเมื่อ 7 – 8 วันก่อน เป็นเมืองไห่เช่นกันที่ส่งปรมาจารย์หยินและอีกสองคนมาสร้างปัญหาให้แก่เฟิงหลี ถึงข้อมูลเรื่องนี้จะไม่แน่นอน แต่ฉินเฟิงยังพอคาดเดาได้
ฝั่งหลิวเฮ็งเอง แม้จะไม่ทราบ แต่ด้วยสัญชาตญาณของตน ทำให้เขาพอจะเดาได้ว่าตอนนี้เมืองไห่ไม่เป็นมิตรกับสถานชุมชนเฟิงหลี
อีกทั้งก่อนหน้านี้ ฉินเฟิงกลับมาจากเมืองไห่ชนิดกระเป๋าบาน ได้รับทรัพยากรมหาศาล อาศัยข้อนี้เพียงอย่างเดียว เกรงว่าผู้บริหารของเมืองไห่คงอิจฉาฉินเฟิงจนตาแทบไหม้ ฝั่งตนได้กินแค่ซุป แต่ฉินเฟิงได้เนื้อไปเต็มๆ ฉะนั้นมีหรือที่พวกเขาจะยอม
“ก็ต้องไปสิ ทำไมจะไม่ไปเล่า? แต่ก่อนจะตอบตกลง คุณช่วยไปเสนอราคาค่าจ้างฉันให้แก่พวกเขาหน่อยสิ บอกไปว่า ‘เฟิงหลีไม่สามารถขาดผมไปได้ ถ้าต้องการให้ช่วยจะต้องจ่ายค่าจ้างวันละ 10 ล้าน และสินสงครามทั้งหมดที่ได้มา จะต้องเป็นของผม!’ ” ฉินเฟิงกล่าว
“อ้อจริงสิ ไป๋หลีก็คิดราคาเดียวกัน และตามข่าวที่เคยได้ยินต่อๆกันมา กองทัพสัตว์ร้ายจากทะเลจะใช้เวลาบุกขึ้นฝั่งราวๆครึ่งเดือน –ผมไม่ยอมรับการจ่ายย้อนหลัง ฉะนั้นทางเมืองไห่ต้องโอน 300 ล้านมาให้ทันที!”
หลิวเฮ็งทราบถึงความแข็งแกร่งของฉินเฟิง ดังนั้นรู้ดีว่าเรียกราคานี้ไม่ได้มากจนเกินไป แต่ยังไงก็ตาม เงื่อนไขของฉินเฟิงก็ยังถือว่าค่อนข้างก้าวร้าว
“แล้วถ้าพวกเขาไม่ยอมล่ะ?”
“คุณก็แค่บอกพวกเขาไป จะเห็นด้วยหรือไม่ ไม่ใช่ธุระของพวกเรา” ฉินเฟิงยิ้มมุมปาก เพราะเขาทราบดีว่าอีกฝ่ายจะต้องตกลงอย่างแน่นอน
หลิวเฮ็งติดต่อกลับไป
คนที่สนทนากับหลิวเฮ็ง เป็นแค่ผู้ใช้พลังเลเวล F เท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่ามีคนอื่นๆยืนอยู่เบื้องหลังเขา พอหลิวเฮ็งกล่าวเงื่อนไขออกไป อีกฝ่ายก็แสดงสีหน้าฟึดฟัดทันที เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกว่าฉินเฟิงหยิ่งผยอง และเอาแต่ใจเกินไป
จากนั้น อุปกรณ์สื่อสารถูกวางสายไปอย่างรวดเร็ว
แต่สิ่งที่หลิวเฮ็งคาดไม่ถึงเลยก็คือ ครึ่งชั่วโมงต่อมา คนจากเมืองไห่ได้แจ้งต่อหลิวเฮ็ง ว่าจะทำตามข้อตกลงของฉินเฟิง และโอนเงินกว่า 300 ล้านเหรียญเข้ากองคลังของสถานชุมชนอย่างรวดเร็ว
ทั้งยังอาสาส่งคนมารับฉินเฟิง
“ลูกพี่ คุณรู้อยู่แล้วงั้นหรือว่าพวกเขาจะตกลง?” หลิวเฮ็งรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“หึหึ คุณไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้หรอก เอาเป็นว่าหลังจากที่ฉันไปเมืองไห่แล้ว อย่าลังเลที่จะติดต่อมาหากมีปัญหาอะไร”
“รับทราบครับลูกพี่”
หลิวเฮ็งไม่ขุดคุ้ยลึกมากไปกว่านี้
ฉินเฟิงเตรียมตัวที่จะไปเมืองไห่ แต่ผ่านมาได้แค่ครึ่งวัน ซูซิงฝูพอทราบข่าวก็ตรงดิ่งเข้ามาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า
“ผู้ว่าการ นี่คุณจะออกไปอีกแล้วงั้นหรอ?”
ซูซิงฝูรอบคร่ำครวญในจิตใจ