โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 277
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.277 – อาวุโสเลเวล D นำทีม
ซงหลินฮานมองวิดีโอของจางเหวิน บนหน้าจอภาพไหลต่อเนื่อง เห็นแค่เพียงร่างของฉินเฟิงที่พร่ามัวเป็นเงา ราวกับภูติผีนับสิบ โถมโจมตีกดดันจางเหวินอย่างหนัก
นอกจากเห็นชัดๆเรื่องกระบวนท่าก้าวแห่งหมอก เขาก็ไม่ได้รับเบาะแสอะไรอีกเลย
“ขยะ ไอ้ขยะ!”
ลูกชายตนตาย ซงหลินฮานโกรธแค้นสุดแสน
ซงหลินฮานเองก็ถือว่าเป็นนักฆ่าคนหนึ่ง เมื่อเห็นภาพนี้ เขาก็แทบรอไม่ไหวที่จะออกไปจากที่นี่ ตามล่าตัวชายในวิดีโอ แล้วตัดแขนตัดขามัน ฉีกออกเป็นชิ้นๆ
“นายท่านสิบสาม เจ็ดอาวุโสเรียกท่านไปพบที่ห้องโถงใหญ่”
ซงหลินฮานทราบดีว่าทุกคนคงได้รับข่าวแล้ว เขากล้ำกลืนความโกรธเอาไว้ ก้าวเดินออกไป
ไม่นาน เขาก็มาถึงบ้านหลังใหญ่ที่ดูโบราณกว้างขวาง –ที่นี่คือห้องโถงใหญ่
นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่ตระกูลซงพูดคุย ประชุมเรื่องสำคัญกัน
“สิบสามน้อย มานี่เถอะ” อาวุโสทั้งหมดประจำตำแหน่งของตน สีหน้าดูน่าเกลียดอย่างเห็นได้ชัด
เพราะฐานะของซงหยวนในตระกูลซง ถือว่าสูงมาก
เขาคือเด็กชายที่สามารถไปถึงเลเวล A ได้ในอนาคต จะกลายเป็นผู้ที่สามารถนำพาตระกูลซงออกจากอาณาเขตสี่เมืองทะเลเหนือ นี่แสดงให้เห็นว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน ยิ่งหลังจากถูกปลุกพลังตอนอายุ 16 ปี ก็ได้รับคำชมมากกว่าเดิม ไม่ทำให้ใครผิดหวัง
แต่ตอนนี้ ตระกูลซงได้เสียรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งไปซะแล้ว
การร่วงหล่นลงจากสวรรค์ของอัจฉริยะเช่นนี้ พวกเขาจะไม่โกรธได้อย่างไร!
“เจ็ดอาวุโส ผู้น้อยต้องการออกจากหมู่บ้าน เพื่อไปล้างแค้นให้บุตรชาย!” ซงหลิงฮานกล่าวทันที
ความโกรธเกรี้ยวของเขา ยากนักที่จะสงบลง!
“พูดน่ะมันง่าย เจ้าอย่าลืมสิว่าจางเหวินเองก็แข็งแกร่งไม่เลวเช่นกัน แต่สู้ได้ไม่กี่อึดใจก็ตายลง หากเจ้าไป ไม่เท่ากับโยนความตายมาสู่ตนเองหรอกหรือ?” อาวุโสเจ็ดตำหนิตักเตือน
“เช่นนั้นพวกเราจะปล่อยมันไป? เสี่ยวหยวนต้องตายอย่างไรค่างั้นหรือ?”
ดวงตาของซงหลินฮานแดงก่ำ สาดมองผู้คนรอบๆ
บางคนหลุบตาลง บางคนเบนมองไปทางอื่น ไม่กล้าสบตากับเขา
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความแข็งแกร่งที่ฉินเฟิงแสดงออกมา มันไม่อ่อนแอเลย
ปัจจุบัน อาวุโสเจ็ดที่เป็นผู้นำในสภาพการณ์โดบรวม ได้เอ่ยปากออกมา “ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่แก้แค้น ตระกูลซงของเราก็ต้องการสังหารเขาเช่นกัน”
อาวุโสห้าที่อยู่ข้างๆเอ่ยปาก “ถึงเจ้าจะอยากแก้แค้นด้วยตัวเอง แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหน?”
ถึงจุดนี้ ซงหลินฮานอึ้งไป นั่นสิ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน
นอกจากนี้ คนที่ฆ่าซงหยวนกับจางเหวินยังปลอมตัวมา ขอแค่มันถอดหน้ากากออก ก็คงสามารถหลบหนีออกไปได้อย่างง่ายดาย!
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการเตรียมการมาอย่างดี
“วางใจเถอะสิบสามน้อย” อาวุโสห้ากล่าว ขณะเดียวกันก็โบกมือเหี่ยวๆ ส่งสัญญาณออกไป
รุ่นเยาว์รุ่นที่เจ็ดก้าวเร่งก้าวมาข้างหน้า ยื่นอุปกรณ์สื่อสารให้แก่ซงหลินฮาน
“ท่านสิบสาม โปรดดูภาพนี้”
ซงหลินฮานเหลือบมองวูบหนึ่ง แววตาของเขาฟุ้งไปด้วยความโกรธอีกครั้ง
“มันกำลังท้าทายพวกเรา!”
“ใจเย็นๆ นี่อาจเป็นกับดัก!” อาุวุโสเจ็ดกล่าว “ชายคนนี้ สังหารซงหยวนและจางเหวินโดยไม่เปิดเผยตัวตน อันที่จริงสามารถถอดอุปกรณ์อำพราง แล้วหายตัวไปเลยก็ได้ แต่เขากลับตรงไปยังสมาคมนักล่าเงินรางวัล ทั้งยังลงทะเบียนประจำตัว โดยไม่หวั่นเกรงว่าหากเราบุกไปฆ่าเขา คนประเภทนี้ … หากไม่มั่นใจพอสมควร ก็คงมีคนอื่นคอยคุ้มกะลาหัวอยู่เบื้องหลัง!”
ซงหลินฮานเอ่ยไม่ออก แต่ใบหน้าของเขาบ่งบอกชัดเจน ว่าไม่คิดฟังคำของอาวุโสเจ็ด
เป็นกับดักแล้วมันจะทำไม?
ไอ้สารเลวนั่นฆ่าลูกชายตน นี่เทียบเท่ากับเป็นการดับอนาคตของซงหลินฮานเช่นกัน
ซงหลินฮานเชื่อมั่นในตัวลูกชายคนนี้มาก มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าหลังจากที่ลูกชายเติบโต เขาจะพบกับชีวิตที่มั่นคง
แต่ผลลัพธ์น่ะหรือ? ตอนนี้ทุกอย่างมันพัง! จบสิ้นไม่มีเหลือแล้ว!
“ผู้น้อยไม่สนว่านี่จะเป็นกับดักหรือไม่ ไม่สนว่ามันเป็นใคร ไม่สนว่าจะมีใครหนุนหลัง ต่อให้เป็นอีกสามตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณชั้นสูง แต่มันฆ่าลูกชายข้า เช่นนั้นข้าจะสังหารลูกหลานของพวกมันเช่นกัน เลวร้ายมาย่อมหยิบยื่นความเลวร้ายกลับคืน!”
อาณาเขตสี่เมืองทะเลเหนือ มีตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณชั้นสูงอยู่ทั้งสิ้นสี่ตระกูล นอกไปจากตระกูลซงแล้ว ก็ยังมีตระกูลหยาง , ตระกูลตี๋ และตระกูลโหว ทั้งหมดเป็นตระกูลโบราณ
ในอาณาเขตทะเลเหนือ เปรียบดั่งวลีวีรบุรุษมากชื่อเสียง จิตวิญญาณเปี่ยมทุกหนแห่ง มีเสือหมอบมังกรซ่อนอยู่มากมาย การที่ซงหลินฮานกล่าวเช่นนี้ ถือว่าหยิ่งผยองเกินไป
ยังไงก็ตาม พวกเขาคือตระกูลฝั่งอธรรม ฉะนั้นคำกล่าวของซงหลินฮานจึงมิได้ทำให้เหล่าอาวุโสประหลาดใจแต่อย่างใด
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นคราวนี้ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” อาวุโสห้ากล่าว
อาวุโสห้ามีนามว่าซงหยูเหิง เป็นสมาชิกตระกูลรุ่นที่ห้า อายุราวๆ 63 ปีก็จริง แต่ใบหน้ากลับปาเข้าไป 70 – 80 ปีแล้ว เหตุผลก็เป็นเพราะ ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บเรื้อรังมาเนิ่นนาน
อย่างไรก็ตาม อูฐที่ผอมแห้ง ยังไงก็ตัวใหญ่กว่าม้า เขายังคงเป็นผู้ใช้พลังในเลเวล D ฉะนั้นหากมีอาวุโสห้าร่วมภารกิจ ซงหลินฮานรู้สึกเบาใจขึ้นหลายส่วน
“ขอบพระคุณท่านลุงห้า เสี่ยวหยวนจะนอนตายตาหลับหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว!”
“วางใจเถิด เกียรติยศแห่งตระกูลซงของข้า ไม่อาจปล่อยให้ใครมายั่วยุได้”
ฝั่งอาวุโสเจ็ดก็ไม่คิดคัดค้านใดๆ อนุมัติแผนการนี้โดยตรง
ไม่นาน ตระกูลซงก็รวบรวมผู้คนติดตามไปรับชม การที่เลเวล D ลงสู่สมรภูมิ ถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดา ซึ่งทางตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณชั้นสูงอย่างพวกเขา ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
ดังนั้นจึงมีรุ่นเยาว์อีกกว่า 20 คนติดตามไปด้วย ทั้งหมดเป็นเลเวล F และยังมีเลเวล E ติดตามไปด้วยอีกสามคน รถล่องเวหาสุดหรูกว่า 7 – 8 คันเริ่มขับเคลื่อน มุ่งหน้าไปยังฮั่นจวนโกว
เพราะในฮั่นจวนโกว พวกเขาพอจะมีหูตาอยู่บ้าง หากหูตาไร้ข้อมูล ก็ข่มขู่พวกคนในชุมชน จนกว่าจะได้ทราบตำแหน่งของฉินเฟิง
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดเลยก็คือ ไอ้คนที่ตั้งสมญานามกวนประสาทว่าบลัดฮันเตอร์ จริงๆแล้วยังไม่ได้จากไปไหน!
…
ฉินเฟิงไม่ตั้งใจที่จะจากไป
เขาเดินเล่นอยู่ในที่จัดแสดงรถยนต์ พริบตาเดียวเวลาผ่านพ้นไปกว่า 2 ชั่วโมง บางคนหันมามองเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คนเหล่านี้ อาจเป็นคนที่คิดว่าฉินเฟิงแต่งตัวแปลกประหลาด ไม่ก็เป็นคนที่ได้รับข้อมูลมาว่าให้คอยสอดแนมเขา!
แต่ฉินเฟิงไม่สนใจ เดินไปเรื่อยๆจนสุดท้ายเจอรถที่ถูกใจ
“นี่มันรุ่นสายฟ้าสีเงิน?”
นี่คือรถที่มีตัวถังขนาดใหญ่ ภายในตกแต่งดูสะดวกสบาย อีกทั้งด้านหลังรถยังมีพื้นที่กว้างขวาง
ราคาอยู่ที่ 30 ล้านเหรียญ!
นี่เป็นรถรุ่นใหม่ พนักงานขายอธิบายฟังก์ชั่นมากมายของมัน แต่เนื่องจากมีประสบการณ์กว่า 10 ปีในชีวิตก่อน ฉินเฟิงเลยพอมีความรู้อยู่บ้าง ว่ารถแบบใดที่ดีที่สุด รุ่นสายฟ้าสีเงินเองก็เป็นหนึ่งในรุ่นคลาสสิกที่ดีเยี่ยมเช่นกัน
“ฉันจะซื้อคันนี้” ฉินเฟิงกล่าว
“โอ้ โอ้ รับทราบขอรับ มิสเตอร์โปรดรอสักครู่”
ชายคนนั้นพาฉินเฟิงไปจุดชำระเงิน จ่ายเงินเสร็จ มันก็กลายเป็นพาหนะคันใหม่ของฉินเฟิง
อ้าว กำลังสงสัยว่าทำไมต้องซื้อใหม่ใช่หรือไม่?
ก็เพราะไม่ว่าจะเป็นรถสปอร์ตสองที่นั่งหรือรถลิมูซีนสุดหรูที่เขามีในครอบครอง มันไม่สามารถนำออกมาใช้ได้ —นั่นจะเป็นการเปิดเผยตัวตน!
แต่ตอนนี้ เมื่อมีรถใหม่แล้ว ฉินเฟิงก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป
ฉินเฟิงก้มตัวเข้าไปนั่งในรถ สตาร์ทเครื่อง และขับออกนอกเมืองไป
ขณะเดียวกัน เขาก็พบเห็นผู้คนมากมาย กำลังยกอุปกรณ์สื่อสารขึ้น และถ่ายรูปรถของเขา
ฉินเฟิงขับขึ้นไปทางเหนือของเมือง ไม่นานก็ไม่อาจมองเห็นฮั่นจวนโกวอีกต่อไป ส่วนปลายทางที่เขากำลังมุ่งหน้า คือตำแหน่งของสุสานเทพสงคราม
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ใจกลางทุ่งล่า ฉินเฟิงเลื่อนสายตามองกระจกหลัง เขาพบว่ามีรถศึกกว่า 10 คันกำลังขับตามด้วยความเร็วสูง
อีกทั้งสัญลักษณ์บนหน้ารถ ยังเป็นรูปฝ่ามือเปื้อนเลือด
ตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณชั้นสูงเหล่านี้ มักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเสมอ ไม่เคยแยกตัวโดดเดี่ยว อย่างซงหยวนเองก็มีจางเหวินคอยคุ้มกัน ส่วนตอนนี้ ฉินเฟิงไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใครที่ปรากฏตัว
รถของฉินเฟิง ค่อยๆชะลอความเร็วอย่างช้าๆ แต่รถศึกอีกฝ่ายกลับเร่งความเร็วขึ้น ก่อนจะจอดปิดล้อมรถสายฟ้าสีเงินของเขา
บนถนนในทุ่งล่า สัตว์ร้ายสามารถรสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันหนักหน่วงร้ายแรงนี้ พวกมันไม่กล้าแสดงตัวออกมา ถอยหนีไปด้วยความหวาดกลัว
“หึ” ฉินเฟิงหัวเราะเบาๆ เปิดประตูลงจากรถ
ฝูงชนจากรถคันอื่นๆที่ปิดล้อมก็พากันลงจากรถในทำนองเดียวกัน
ทั้งหมดสวมชุดแต่งกายสไตล์จีนโบราณ สีดำสลับแดงที่สลักบนเสื้อเปล่งประกายช่วยขับกล่อมให้ดูโดดเด่นสะดุดตา