โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 319
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.319 – ปราการชาตง
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ณ สถานชุมชนเฟิงหลี ภายในคฤหาสน์บนเนินเขาแม่
ฉินเฟิงนั่งอยู่บนโซฟา รอบกายเขาทั้งซ้ายขวา ทั้งหมดล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิท
และในเวลานี้ นอกไปจากหลิงหวูยี่แล้ว ก็ยังมีซูซิงฝูอีกคนหนึ่ง ที่สามารถตัดผ่านเข้าสู่เลเวล E ได้สำเร็จ
ปัจจุบันโจวฮ่าวได้มาถึงเลเวล F8 แล้ว แต่เขายังอยู่ระหว่างฝึกฝนในทุ่งล่า ฉินเฟิงคาดว่าเมื่อพี่น้องคนนี้กลับมาอีกที อีกฝ่ายคงสามารถก้าวขึ้นเป็นเลเวล E ได้เช่นกัน
ส่วนคนอื่นๆที่เหลือ ณ ที่นี้ ก็เป็นวังเฉิน , หลิวซู ฯลฯ
“ผู้ว่าการ เมื่ออาทิตย์ก่อน ทางตระกูลใหญ่จากสามเฉิงได้แวะมาเยี่ยมเยือน และมอบของขวัญให้กับพวกเรา ฉันเลือกแลกเปลี่ยนตามที่คุณขอแล้ว นับเป็นเงินได้ราวๆ 6,000 ล้านเหรียญ” ซูซิงฝูกล่าว
ก่อนหน้านี้ เฉิงโจวต้องการเชิญฉินเฟิงไป แน่นอนว่าเป็นเรื่องการแบ่งผลประโยชน์กัน แต่ฉินเฟิงไม่สนใจจะร่วมหุ้นกับอีกฝ่ายเลย และให้แลกเปลี่ยนทั้งหมดเป็นเงินเท่านั้น
ไม่มีการหารทรัพย์สินใดๆ ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรทั้งนั้น
เพราะหากแบ่งปันกันในรูปแบบทรัพย์สิน นั่นหมายถึงการเป็นหุ้นส่วนกัน แบบนั้นฉินเฟิงก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มของพวกเขาน่ะสิ? ขณะที่อีกฝ่ายไม่สามารถช่วยเหลืออะไรฉินเฟิงได้เลย ในกรณีนี้คงมีแต่ฝั่งสามตระกูลที่รู้สึกยินดีที่ได้เกาะเขาเป็นปลิง
ดังนั้น ฉินเฟิงจึงปฏิเสธไป รับเอาแค่เงิน –เขาไม่มีความคิดจะเข้าไปแทรกแซงอำนาจในเมืองเฉิงหยาง
“อ่าฮะ ว่าต่อสิ”
“เขตอื่นๆในเมืองเฉิงหยาง และผู้นำเมืองในสถานชุมชนใกล้เคียง ได้ส่งของขวัญมาแสดงความยินดี ทางเมืองไห่และฟูเฉิงก็เช่นกัน หลังจากนับยอดแล้ว เป็นจำนวนเงินมากกว่า 5,300 ล้านเหรียญ!”
ของขวัญที่คนเหล่านี้มอบให้ แต่ละชิ้นมากสุดมูลค่าสูงถึง 10 ล้านเหรียญ มีผู้คนมากมายมอบยินดีมอบให้ บางคนก็ให้มาหลายชิ้น จำนวนก็เลยเป็นอย่างที่เห็น
ผู้คนเหล่านี้ มิใช่ว่าต้องการประจบสอพลอฉินเฟิงซะทีเดียว ในจิตใจของพวกเขา ส่วนหนึ่งมีความหวาดเกรงฉินเฟิง กลัวว่าฉินเฟิงจะจัดการพวกเขาเหมือนกับที่เขาเคยทำกับคนอื่นๆในอดีต!
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉินเฟิงได้ไปเหยียบในขอบเขตเลเวล D นั่นเทียบได้เลยกับการก้าวขึ้นสู่ศักราชใหม่ กลายเป็นราชาแห่งศักราชใหม่ที่ไม่ว่าผู้ใดในสามเฉิงก็ต้องยอมจำนน
ฉินเฟิงพยักหน้า ซูซิงฝูเริ่มรายงานต่อ
“ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา จู่ๆก็มีคนๆหนึ่งนำอุปกรณ์รูน และไอเท็มต่างๆของผู้ใช้พลังเลเวล E จากภูมิภาคอื่นมาขายให้กับพวกเราเป็นจำนวนมาก ทางเราได้จัดงานประมูลเพื่อขายสินค้าเหล่านั้นเป็นเวลาติดต่อกันกว่า 7 วัน สุดท้ายสามารถสรุปยอดขายได้ทะลุสูงถึง 300,000 ล้านเหรียญ! และกำไรที่ได้มีมากถึง 30,000 ล้าน!”
ผู้คนรอบข้าง เมื่อได้ยินรายงานนี้ ทั้งร่างพลันสั่นสะท้าน
พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้เลย
เงิน 30,000 ล้านเหรียญ จำนวนเท่านี้ สำหรับสถานชุมชนขนาดเล็ก มันเป็นปริมาณที่สูงเทียมฟ้า!
แน่นอน ซูซิงฝูไม่ได้เอ่ยออกไป ว่าในรายการเหล่านั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นสินค้าที่ถูกนำมาโดยฉินเฟิง!
ฉินเฟิงพยักหน้าอีกครั้งและกล่าว “อืม คราวนี้ทำได้ไม่เลว!”
“ไม่หรอก ที่เกิดขึ้นได้ยังคงเป็นเพราะความสามารถของผู้ว่าการ!”
ซูซิงฝูไม่กล้ารับคำชม เพราะสุดท้ายแล้ว เกือบทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของฉินเฟิง
ฉินเฟิงส่งสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆเริ่มรายงานสถานการณ์ต่อไป
หลิวซูลุกขึ้น รายงานเกี่ยวกับสินค้าคงคลังในสถานชุมชน
วังเฉินหารือเกี่ยวกับเรื่องการฝึกฝนผู้ใช้พลังให้เกิดประโยชน์ , เรื่องสวัสดิการ ฯลฯ
ฉินเฟิงรับฟัง และพยักหน้าเป็นครั้งคราว
คนในกลุ่มนี้ นอกเหนือไปจากซูซิงฝูและไป๋หลีแล้ว คงไม่มีใครสามารถคาดเดาได้เลย ว่าในกระเป๋าของฉินเฟิงมีเงินมากมายมหาศาลเพียงใด!
ไม่กี่วันก่อน ฉินเฟิงเล่นละครรับบทเป็นบลัดฮันเตอร์ เดินทางมาทำธุรกรรมกับซูซิงฝู หลังจากซื้อขายในตลาดมืดแล้ว อีกเจ็ดวันต่อมา อุปกรณ์รูนและวัตถุดิบต่างๆในเลเวล E ล้วนถูกนำออกมาขายอย่างบ้าคลั่ง ทรัพย์สินโดยรวมของฉินเฟิงเพิ่มพูนเป็นตัวเลขที่น่าอัศจรรย์ใจ
เฉพาะในส่วนนี้ เป็นจำนวนมาถึง 130,000 ล้านเหรียญ! เมื่อรวมกับของขวัญเพิ่งรายงานไปก่อนหน้านี้ จะกลายเป็น 140,000 ล้านเหรียญ!
นี่ยังไม่นับรวมวัตถุดิบเลเวล D ของฉินเฟิงที่ยังไม่ขายออกไปอีกนะ
เมื่อทุกคนกล่าวรายงานจนเสร็จสิ้น ทั้งหมดต่างก็มองไปทางฉินเฟิง เพื่อรอคำสั่งต่อไป
“ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกไปแล้ว ว่าในทุกๆไตรมาสหรือสามเดือน หุ้นของสถานชุมชนเฟิงหลีจะมีการเปลี่ยนแปลง แน่นอน ว่าก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลง อันดับแรกพวกเราจะต้องจ่ายปันผลจากไตรมาสแรกเสียก่อน”
เกือบทุกคน ผุดรอยยิ้มแห่งความสุขขึ้นทันใด
แม้จะเป็นเงินปันผลแค่ 1% ก็ตาม แต่สถานการณ์ในปัจจุบันของสถานชุมชนเฟิงหลี เกรงว่ามันจะเป็นเงินมากถึงหลายร้อยล้านเหรียญ
สถานชุมชนเฟิงหลี … กลายเป็นเครื่องจักรผลิตเงินสดไปซะแล้ว!
“นอกจากนี้ ผมยังมีอีกเรื่องที่จะประกาศให้รู้กัน ครั้งก่อนที่บลัดฮันเตอร์มา และขายสินค้าล็อตใหญ่ให้กับชุมชนของเรา เขายังมอบสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งให้แก่พวกเราอีกด้วย! –มันคือเขตแดนลับหรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อสุสานเทพสงคราม!”
ดวงตาของทุกคนพลันเบิกกว้าง!
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากระทั่งสิ่งนั้น บลัดฮันเตอร์ก็ยังยอมขายมันออกมา!
ยังไงก็ตาม พอได้ลองคิดดูดีๆ บลัดฮันเตอร์กำลังถูกไล่ล่าโดยผู้ใช้พลังเลเวล C เช่นนั้นแล้วเขาจะสามารถรักษาเขตแดนลับเอาไว้ได้อย่างไร? และสิ่งที่ถูกขายออกมานี้ เกรงว่าภายในมันคงจะถูกรูดทรัพย์ออกไปจนหมดแล้ว!
มีน้อยคนนักที่จะรู้ ว่าจริงๆแล้วมรดกชิ้นนี้ ยังไม่ได้ถูกรูดทรัพย์ออกไปทั้งหมด
พื้นที่บางส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปเบื้องหลังมัน ปัจจุบันมีเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้
“ผมจะทำการเปิดชั้นแรกที่มีเลือดมังกรช่วยเสริมประสิทธิภาพร่างกายให้กับทุกคน ขณะเดียวกันเราจะทำการแบ่งขายเลือดมังกรในทุกๆวัน ส่วนผลประโยชน์ที่แบ่งกันคือ บลัดฮันเตอร์ 50% พวกเรา 50% จะจัดการมันยังไงในอนาคต เรื่องนี้ให้หลิวซูเป็นคนรับผิดชอบ!”
“รับทราบท่านผู้ว่าการ!” หลิวซูพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับสถานชุมชน รีบแจ้งให้ฉันรู้ทันที ฉันมีตัวเชื่อมมิติของเฟิงหลีอยู่ สามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ!”
ฉินเฟิงออกคำสั่งอีกสองสามอย่าง ก็เริ่มได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ดังเข้ามาจากภายนอก
บ่งบอกชัดเจนว่าฮอลศึกของกลุ่มซ่งเฉิงได้มาถึงแล้ว!
“ตั้งใจทำงานเข้าไว้ หวังว่าเมื่อผมเดินทางถึงปราการชาตง พวกคุณไม่กี่คนในที่นี้ จะสามารถเปิดตลาดมืดโฉมใหม่ได้!”
“น้อมรับคำสั่ง!” ทุกคนขานรับเป็นเสียงเดียวกัน
ทั้งหมดต่างรู้ดี ว่าตลาดมืดสามารถดึงดูดความมั่งคั่งได้มากมายเพียงใด
อย่างไรก็ตาม การเปิดตลาดมืดน่ะต้องการความแข็งแกร่ง และต้องการอำนาจชื่อเสียงของผู้แข็งแกร่ง
และปัจจุบัน ฉินเฟิงคือผู้แข็งแกร่งคนที่ว่า เปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรี คนเหล่านี้หากคิดติดตามฉินเฟิง ก็ยิ่งต้องพยายามก้าวให้ทัน
ฉินเฟิงกับไป๋หลีแยกตัวออกมา ก้าวขึ้นไปบนฮอลศึก ออกจากสถานชุมชนเฟิงหลีอีกครั้ง
…
สี่ชั่วโมงต่อมา ทรายสีเหลืองก็ค่อยๆปรากฏสู่สายตาของฉินเฟิง
ไป๋หลีก้มลงมองจากทางหน้าต่าง พบว่าภายใต้แสงอาทิตย์ หาดทรายสีเหลืองเปล่งประกายระยับสีทอง
“นี่น่ะหรอทะเลทราย!”
เดิมที ทะเลทรายมักจะมีให้เห็นกันเฉพาะบนอุปกรณ์สื่อสารเท่านั้น แต่พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง กลับพบว่ามันกว้างใหญ่กว่าที่คิดมากนัก
“อืม ที่นี่คือทะเลทรายแห่งทะเลเหนือ!”
“มันมีแต่ทะเลทราย(沙漠) เต็มไปหมดเลยไม่ใช่หรอ แล้วทำไมถึงเรียกว่าทะเลเหนือ(北海) อยู่อีกล่ะ?” ไป๋หลีงง
ฉินเฟิงยิ้มและกล่าวอธิบายว่า “ที่นี่มีทะเลอยู่จริงๆ ห่างไปสุดทางทิศตะวันออก มีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทร ก่อนยุคโลกาวินาศ มันถูกเรียกว่าเมืองทะเลเหนือ(เป่ยไห่)”
ไป๋หลีไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ในยุคโลกาวินาศ เธอยังไม่เข้าใจว่าฉินเฟิงต้องการจะบอกอะไร อันที่จริงแม้แต่สถาบันระดับสูงในเมืองเฉิงหยาง เรื่องนี้เป็นที่ล่วงรู้กันในเฉพาะเลเวล E ขึ้นไปเท่านั้น!
“เมืองทะเลเหนืออยู่ใกล้กับมหาสมุทร มีภูมิอากาศอบอุ่นราวกับตลอดทั้งปีเป็นฤดูใบไม้ผลิ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าเขา มีสิ่งมีชีวิตมากมาย แต่หลังจากยุคโลกาวินาศมาเยือน สัตว์ป่าเริ่มกลายพันธุ์ รอยแยกมิติเปิดออก สถานที่อันอุดมสมบูรณ์กลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกสัตว์ร้ายมากมาย!”
ไป๋หลีเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า แต่กลับไม่พบนกกลายพันธุ์แม้แต่ตัวเดียว
“มนุษย์ที่เหลืออยู่ในเมืองทะเลเหนือ เพื่อที่จะให้มีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้ พวกเขาตัดสินใจโค่นต้นไม้ทั้งหมดในทะเลเหนือ โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 10 ปี พวกนกกลายพันธุ์เลยหายไป แต่กลับมีสัตว์ร้ายที่น่ากลัวยิ่งกว่าปรากฏขึ้นแทน”
และนั่นคือเหตุผลที่ฉินเฟิงมาที่นี่
“เป็นราชันย์มังกรดินเลเวล D มันทำลายล้างเมืองทะเลเหนือทั้งหมด ทุกอย่างจบลงในค่ำคืนเดียว”
“ยังไม่พอ หลังจากนั้นทะเลทรายก็เริ่มปรากฏขึ้น สัตว์ร้ายพรั่งพรูออกมา ทะเลทรายเริ่มขยายและกินพื้นที่ออกไป จนสุดท้ายท่วมทับเมืองทะเลเหนือ”
“จากนั้นมนุษย์ก็ล่าถอยครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายตัดสินใจเลียนแบบกำแพงเมืองจีนในสมัยโบราณ ก่อตั้งเมืองนุ่ยเหมิง , เมืองฉีหาน , เมืองฉิง และเมืองปาไห่ตามลำดับ ส่วนเมืองปาไห่ก็สมชื่อ มันอยู่ติดทะเลมากที่สุด ”
“ทั้ง ‘สี่เมืองใหญ่’ ตั้งเรียงรายกันเป็นกำแพงโค้ง โดยเบื้องหน้ามัน คือทะเลทราย ที่ในครั้งอดีตเคยท่วมทับเมืองทะเลเหนือ –เป็นสมรภูมิรบกลางทะเลทรายขนาดยักษ์”
ในที่สุด สิ่งปลูกสร้างหนึ่งก็เริ่มปรากฏสู่สายตาของไป๋หลีและฉินเฟิง
มันถูกสร้างขึ้นจากหินทั้งหมด เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่
ปราการชาตง!