โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 484 เมืองลอยฟ้าเผยโฉม
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.484 – เมืองลอยฟ้าเผยโฉม
“นี่นาย … ตั้งใจจะร่วมงานประลองจริงๆหรอ!” โจวฮ่าวไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาด่าเพื่อนของเขาดี
เป็นถึงบุคลคลอันทรงเกียรติในเลเวล C แต่กลับกระโจนเข้าร่วมสังเวียนเลเวล E อย่างกะทันหัน ในสังเวียนที่แม้แต่โจวฮ่าวก็ยังไม่คิดให้ความสนใจมากนัก
งานประลองในครั้งนี้ จัดขึ้นแบบวันต่อวัน และการคัดเลือก ต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะเสร็จสิ้น
อย่ามองว่าโจวฮ่าวแม้อายุเพียง 17 ปี แต่กลับเป็นถึงเลเวล E แล้วจะมีพลังมากเชียว ขนาดฉินเฟิงที่มั่นใจในพลังของตัวเองสุดๆ ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างต้องจัดการ ใครมันจะเอาเวลาไปทิ้งเพื่อมาเข้าร่วมงานประลองลูกรักของพระเจ้ากัน?
แต่ฉินเฟิงคิดมาดีแล้ว ว่าเขาอยากไปจริงๆ
โจวฮ่าวไร้คำจะกล่าว
“เถอะน่า รางวัลของมันก็ฟังดูไม่เลว อีกอย่าง บางทีอาจเจอคนที่มีพรสวรรค์ในงานก็ได้”
‘เมื่อเจอคนที่ฉันจำได้ว่าอาจเป็นตัวตนทรงอำนาจในอนาคต ก็ชิงเชิญพวกเขามาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาซะเลย นี่ฟังดูเป็นกลยุทธ์ที่ดีเหมือนกัน’ ฉินเฟิงคิดในใจ
แต่ในเวลานั้นเอง ลู่เหมิงจู่ๆก็เอ่ยปากออกมา “งั้นฉันเองก็จะเข้าร่วมด้วย! โจวฮ่าว นายก็เหมือนกันใช่ไหม”
โจวฮ่าวเบนสายตามองฉินเฟิง ทันใดนั้นเขาเกิดความรู้สึกว่า บางทีงานประลองลูกรักพระเจ้าอาจไม่ง่ายดายอย่างที่คิด ดังนั้นตัดสินใจพยักหน้าทันทีและกล่าว “ไปก็ไป”
ท่าทีห่อเหี่ยวของเติ้งเหนียนกำลังจะเปลี่ยนเป็นสุขสม แต่สุดท้ายถูกลู่เหมิงสาดน้ำเย็นใส่เสียก่อน “พวกเราจะไปเมืองเฟิงหลี แล้วลงทะเบียน ถึงเวลาประลอง พวกเราก็จะได้เป็นตัวแทนของเมืองเฟิงหลี!”
เติ้งเหนียนในเวลานี้ โกรธมากซะจนหนวดเคราลุกชัน
การร้องขอให้ช่วยลงทะเบียนเข้าร่วมงานประลองของเขา เฝ้าทนอ้อนวอนอย่างยากลำบาก สุดท้ายมีคนตัดสินใจเข้าร่วม และคนอื่นๆก็เข้าตามแล้วแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า ทุกคนไม่ได้ลงทะเบียนเพื่อเขา
“ผู้การรัฐฉิน นี่มัน … ”
ฉินเฟิงส่ายมือและกล่าว “นี่เป็นการตัดสินใจของลู่เหมิงเอง ผมไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้”
เติ้งเหนียนอับจนปัญญา มิอาจทำอะไรได้อีก เขากล่าวหงุดหงิด “งั้นก็ช่างมันเถอะ หลายปีที่ผ่านๆมาก็ไม่มีนักเรียนจากทางเราเข้าร่วมเหมือนกัน เพราะงั้นฉันไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว”
ฉินเฟิงเผยยิ้มเล็กน้อยและกล่าว “แต่ว่า ถ้าอาจารย์ใหญ่เติ้งมาเข้าร่วมกับเมืองเฟิงหลีของพวกเรา แล้วก่อตั้งสถาบันระดับสูง ผมคิดว่า คุณจะมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์อยู่ในมือ และสามารถส่งพวกเราในฐานะตัวแทนงานประลองได้เลย”
เติ้งเหนียนเงยหน้าขึ้นทันใด จ้องมองฉินเฟิง
ฉินเฟิงพยักหน้า แสดงท่าทีออกมาว่าเขาเอาจริง ทั้งยังเป็นการขู่กลายๆ
ถึงแม้ว่าเขากับเติ้งเหนียนจะไม่ค่อยได้พบเจอกัน เนื่องจากคุณสมบัติทางอบิลิตี้เป็นขั้วตรงข้าม แต่เมื่อความแข็งแกร่งของฉินเฟิงยกระดับขึ้น ทำให้อบิลิตี้แสงที่คอยข่มเขา ถดถอยอานุภาพลง
ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นเติ้งเหนียนที่ต้องทานรับอำนาจมืดของฉินเฟิง เป็นฝ่ายถูกข่มซะเอง
นี่คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อพบเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง
ยังไงก็ตาม การตัดสินใจนี้ เป็นตัวแปรสำคัญที่จะตัดสินว่า อนาคตของเติ้งเหนียนจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน ต้องรู้นะว่า ฉินเฟิงแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และการชักชวนโดยผู้ใช้พลังเลเวล C มันจะให้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
อย่างในสถานชุมชนเฉิงเป่ย เจิ้งหยางและเติ้งเหนียนต่างก็เป็นเลเวล E ทว่าแม้เติ้งเหนียนกับเจิ้งหยางจะร่วมมือกัน แต่กลับเป็นเติ้งเหนียนที่โดนจำกัดสิทธิ์ในหลายๆอย่าง
ในทางกลับกัน ฉินเฟิงเป็นถึงเลเวล C !
การเชื่อฟังผู้แข็งแกร่ง คือสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอด!
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถึงจะยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่ฉันก็ยังไม่แก่เกินไปที่จะรับงานนี้” เติ้งเหนียนหัวเราะ
“เช่นนั้น ยินดีต้อนรับอาจารย์ใหญ่เติ้ง” ฉินเฟิงพอได้ยินคำตอบที่น่าพอใจ ก็ยิ้มทันที
…
สามวันต่อมา พลเมืองในสถานชุมชนเฟิงหลี ต่างเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง คาดว่านี่น่าจะเป็นการย้ายถิ่นฐานที่ยาวไกล และน่าเบื่อหน่าย
กระทั่งบนใบหน้าของพวกเขา ยังเผยถึงร่องรอยของความหวาดกลัวและวิตกกังวล เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทุกครั้งที่เกิดการโยกย้าย แม้ว่าที่ใหม่จะมีหลายสิ่งดึงดูดใจก็ตาม แต่มันจำเป็นต้องเผชิญกับอันตรายบนท้องถนนในทุ่งล่า
กลิ่นอายของมนุษย์ สำหรับสัตว์ร้าย มันคือเหยื่ออันโอชะ
ยิ่งมีการปรากฏตัวของเหยื่อจำนวนมาก มันอาจถึงขั้นล่อลวงกองทัพสัตว์ร้ายให้ออกมาได้
“ไม่รู้ว่าการเดินทางในครั้งนี้จะมีผู้ใช้พลังมาคอยปกป้องกันสักกี่คน เพราะทางเรามีคนเยอะมากๆ”
“นั่นสิ แต่ท่านผู้นำเหมือนจะไปกับพวกเราด้วยนะ ฉะนั้นคงไม่มีปัญหาหรอก”
“ระยะทางจากที่นี่ถึงเมืองเฟิงหลี ต้องใช้เวลาเดินทางนานแค่ไหนกัน?”
ฝูงชนจับกลุ่มสนทนา ทั้งหมดมากองรวมกันที่จุดรวมพลของสถานชุมชน แต่พวกเขารอมาครึ่งค่อนวันแล้ว กลับยังไม่เห็นพาหนะลำใด
“รถไฟจากกลุ่มซ่งเฉิงยังไม่มาอีกหรอ?”
“นั่นมันแพงมากเลยนะ! แต่ฉันได้ยินมาว่ามันปลอดภัยสมราคา”
“ไม่น่าใช่ เพราะถ้าเดินทางโดยรถไฟ พวกเราต้องออกไปรอนอกชุมชน”
“ส่วนเรื่องเดินทางในอากาศโดยฮอลศึกนี่ฝันไปได้เลย พวกเรามีกันตั้งเท่าไหร่? อย่างน้อยก็สัก 40,000-50,000 คน!”
ทว่าเมื่อเสียงของชายคนนี้ตกลง คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา จู่ๆก็อ้าปากค้างทันที แววตาเหม่อมองไปยังจุดที่ไกลออกไป
ต่อมา แสงแดดแผดเผาจากดวงอาทิตย์ จู่ๆก็ถูกบดบังอย่างกะทันหัน เพียงชั่วขณะ ก็มืดมน บดบังไปทั่วผืนดิน
ชายคนแรกเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว และจึงค่อยตระหนักว่า เหนือศีรษะตน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ปรากฏเครื่องจักรขนาดใหญ่ขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ หรือฮอลศึก เมื่อเทียบกับยักษ์ใหญ่เบื้องหน้านี้ มันกลายเป็นมีขนาดเล็กไปถนัดตา
–เป็นเมืองลอยฟ้า!
เมืองลอยฟ้าลดระดับลงจากเหนือเมฆ ผู้คนที่ไม่เคยเห็นมันมาก่อน เมื่อเห็นว่ามันกำลังตกลงมา ใกล้เข้ามามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งตื่นตกใจ
“นี่ … นี่มันอะไรกัน?”
“ใช่เครื่องจักรฝีมือมนุษย์จริงๆหรอ? ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย”
ขณะที่ฝูงชนกำลังร้องอุทาน เครื่องจักรลอยฟ้าก็ยังคงลดระดับลง ใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถมองเห็นปากกระบอกปืนอันน่าสยองขวัญที่ติดตั้งอยู่บนเมืองลอยฟ้าได้อย่างชัดเจน
ความรู้สึกของการถูกกดดันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งใกล้ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหายใจไม่ออก
หากนี่เป็นอุปกรณ์ของศัตรู ตอนนี้พวกเขาคงหวาดกลัวจนฉี่ราดไปแล้ว
เมื่ออยู่ห่างจากพวกเขาในระยะ 100 เมตร เมืองลอยฟ้าก็หยุดนิ่ง เพราะหากลงไปลึกกว่านี้ มันอาจชนอาคารสูงในชุมชนได้
แต่ถึงกระนั้น ในระยะห่างขนาดนี้ ขนาดของเมืองลอยฟ้าก็ยังครอบคลุมได้ทั้งพื้นที่ของสถานชุมชนเฟิงหลี
ฮั่นเจียนพยายามรักษาความสงบ สายตาของเขามิอาจละจากเมืองลอยฟ้า ในหัวใจเกิดความรู้สึกช็อกจนไม่สามารถบอกบรรยาย
เดิมที ฮั่นเจียนรู้สึกขอบคุณที่ฉินเฟิงมอบยกตำแหน่งผู้ว่าการให้แก่ตน ในเวลานั้นเขาคิดว่าฉินเฟิงจำเป็นต้องทิ้งสิ่งปลูกสร้างอันล้ำค่าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รู้สึกดีใจที่ได้รับชุมชนมาครอบครอง
แต่ขณะนี้ เมื่อเห็นเมืองลอยฟ้า เมืองที่เหนือยิ่งกว่าชุมชนของเขา ความรู้สึกทั้งหมดที่มีก่อนหน้านี้ มลายหายไปสิ้น
“นี่มันจะเวอร์เกินไปไหม .. ”
เลเวล E อย่างฮั่นเจียน ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะทราบเรื่องราวของเมืองลอยฟ้า
และขณะนั้นเอง จากหลายสิบทิศทางของเมืองลอยฟ้า จู่ๆพลันแสงสาดลงบนพื้นดิน ปรากฏลิฟต์ค่อยๆลดระดับลงมา โดยลิฟต์แต่ละตัวกางออกเป็นบันไดให้เดินขึ้นไปจากสี่ทิศทาง แต่สำหรับเมืองลอยฟ้าอันใหญ่โต นี่ไม่ต่างไปจากเส่นขนเล็กจิ๋ว คุณลองจินตนาการดูเถอะ ว่าเมืองลอยฟ้ามีขนาดใหญ่เพียงใด
“เริ่มทยอยกันเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ อย่าผลัก อย่าดันกัน”
เสียงของฉินเฟิง ส่งเข้ามาในหูของพลเมืองสถานชุมชนเฟิงหลี
ณ ตอนนี้ ฝูงชนที่แต่เดิมราวกับถูกกดปุ่มSTOP ก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
เมื่อได้ยินคำสั่งของฉินเฟิง พวกเขาไม่กล้าชักช้า หลังจากก้าวขึ้นมาจนเต็ม ลิฟต์ก็เริ่มลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว นำพาพวกเขาขึ้นไปยังเมืองลอยฟ้า เปิดเผยโลกอีกใบหนึ่งสู่สายตาของพวกเขา
และมันเป็นโลกที่ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่เคยจินตนาการถึงมันอย่างสิ้นเชิง
เมืองที่ถูกสร้างขึ้นให้ลอยลำบนท้องฟ้า , จุผู้คนได้หลายหมื่นคน , ลิฟต์ที่เชื่อมต่อระหว่างผืนฟ้ากับผืนดิน ฯลฯ
ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที งานลำเลียงผู้คนก็จบลง
จากนั้น ลิฟต์ก็เริ่มหดตัวกลับเข้ามา เมืองลอยฟ้าค่อยๆลอยลำสูงขึ้น สุดท้ายกลืนหายไปกับหมู่เมฆ มุ่งหน้าสู่สี่เมืองทะเลเหนือ
เหล่าผู้คนที่ตัดสินใจรั้งอยู่ในสถานชุมชนเฟิงหลี ต่างเฝ้ามองเมืองลอยฟ้าจากไปด้วยความตื่นตะลึง ดวงตาของพวกเขาฟุ้งไปด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
เพราะหากพวกเขารู้แบบนี้ คงยอมติดตามไปยังเมืองเฟิงหลีแล้ว
“ผู้ใช้พลังเลเวล C ทรงพลังถึงขั้นสามารถครอบครองของแบบนี้ได้เชียวหรือ?” ฮั่นเจียนรู้สึกว่า ภาพของฉินเฟิงในจิตใจของเขา กำลังค่อยๆห่างไกลออกไปเหมือนกับเมืองลอยฟ้า กลายเป็นมิอาจคาดหยั่ง