โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 565 - ลูกน้องใจโลเล
Ep.565 – ลูกน้องใจโลเล
อำนาจที่อัดแน่นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของฉินเฟิง กำลังคุกคามชีวิตของเทียนหยาน
“ยังไม่รีบยอมรับอีก!”
ฉินเฟิงตะโกนเฉียบขาด เล่นเอาทั้งร่างของเทียนหยานสั่นสะท้าน ความหวาดกลัวในหัวใจพุ่งทะลักออกมาอีกครั้ง
“ประธานฉิน นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ! ฉัน .. ฉันแค่มาหาของชิ้นหนึ่งที่พวกเรากลุ่มฮงรีทำหายไป!”
เทียนหยานยังไม่อยากตาย จึงเอ่ยปากถึงกลุ่มฮงรี คิดใช้ชื่อกลุ่มข่มขู่ฉินเฟิง
ในบรรดาพันธมิตรมนุษย์ มีกลุ่มองค์กรอยู่นับไม่ถ้วน ผู้ใช้พลังเลเวล C บางคน ตราบใดที่พวกเขาพร้อม มีเงินมากพอ ก็ล้วนสามารถก่อตั้งกลุ่มได้
อย่างไรก็ตาม จากบรรดากลุ่มมากมาย ย่อมมีบางกลุ่มที่ทรงพลัง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี
กลุ่มฮงรีก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขาเติบใหญ่ จนสามารถก้าวข้ามกลุ่มองค์กรระดับ C ไปแล้ว คนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของพวกเขา คือเลเวล B !
“อ้อ ที่แท้ก็กลุ่มฮงรีนี่เอง” สีหน้าของฉินเฟิงยังคงสงบ ทว่าในแววตา กลับปรากฏประกายบางอย่าง สะท้อนออกมา
ตอนนี้ เขาคาดเดาจุดประสงค์ของเทียนหยานได้แล้ว
อีกฝ่ายมาที่นี่เพื่อหนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์!
อย่างไรก็ตาม ทำไมถึงรู้ตัวเร็วกว่าชีวิตก่อนถึงสองปีล่ะ? นี่คือสิ่งที่ฉินเฟิงไม่สามารถเข้าใจได้
ยังไงก็ตาม ไม่เข้าใจแล้วไง เขาถามเอาก็ได้
เมื่อคิดได้แบบนี้ ฉินเฟิงถอนเท้าออก แต่เทียนหยานไม่มีเวลาทันได้ถอนหายใจ ฝ่ามือของฉินเฟิงก็ตกลงเหนือตันเถียนของเขา
“ทักษะลับกลืนดารา!”
ตูม!
ตันเถียนของเทียนหยานคล้ายกับถูกแทงทะลุเป็นหลุมขนาดใหญ่ และฉินเฟิงกำลังสูบกลืนกำลังภายในจากหลุมใหญ่อย่างบ้าคลั่ง
เพียงชั่วพริบตา สี่สระน้ำกำลังภายในก็ถูกดูดกลืนโดยฉินเฟิง
ใบหน้าของเทียนหยานกลายเป็นซีดเซียว ตัวสั่นงันงก แขนขาของเขาถูกหักจนมิอาจขยับได้ แถมยังโดนฝ่ามือของฉินเฟิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่สำหรับผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล C นี่ไม่นับเป็นสิ่งใด ตราบเท่าที่ไม่เกิดภัยคุกคามร้ายแรง ขอแค่เก็บตัวแล้วพักฟื้นสักสองสามเดือนก็ดีขึ้น
แต่เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงไม่มีความคิดให้อีกฝ่ายรักษาตัว เมื่อกำลังภายในถูกสูบออก ต่อให้เทียนหยานเป็นเลเวล C แต่ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายคงร่วงตกลงไปอยู่ในส่วนเลเวล F
ฉินเฟิงยังทิ้งเศษกำลังภายในเอาไว้ให้เล็กน้อย ประทังชีวิตของเทียนหยาน
เมื่อตระหนักถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดวงตาของเทียนหยานเบิกกว้าง ส่งเสียงกรีดร้องโวยวาย “ไม่! กำลังภายในของฉัน เกิดอะไรขึ้นกับมัน แกทำอะไรลงไป!”
ฉินเฟิงไม่ตอบคำ กวักมือเรียกไป๋หลี เธอก้าวออกมาจากความมืดมิด เดินมาหยุดยืนข้างกายเขา
เทียนหยานแม้ไม้ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่เขาบังเกิดลางสังหรณ์ระหว่างความเป็นความตาย ว่ามันกำลังจะเกิดขึ้น และเหตุการณ์นี้ เขาไม่อยากเผชิญกับมัน
“ไม่ แกจะทำอะไรฉันไม่ได้ รู้รึเปล่าว่าฉันเป็นใคร? ฉันเป็นคนของกลุ่มฮงรี! ท่านประธานฮงรีของพวกเรา เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล B5 เชียวนะ!”
เทียนหยานตอนนี้ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจะใช้เลเวลของประธานข่มขู่ฉินเฟิง
อย่างไรก็ตาม เทียนหยานคงไม่รู้ ว่าฉินเฟิงที่อยู่เบื้องหน้าเขา เคยข้ามผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้าง
ผู้ใช้พลังเลเวล B แล้วมันยังไง ไม่ใช่ว่าฉินเฟิงจะไม่เคยฆ่าพวกมันมาก่อนซักหน่อย!
แม้ในตอนสังหารกวงเว่ย มันจะก่อให้เกิดความวุ่นวายระดับหนึ่งในเมืองเป่ยหัว และเกิดความไม่พอใจอยู่บ้างก็ตาม แต่หลังจากการตัดสินสิ้นสุดลง และเหตุผลว่าอีกฝ่ายร่วมมือกับองค์กรมืด ซางฮันเลยพอสยบความไม่พอใจเหล่านั้นเอาไว้ได้
แต่ตอนนี้หากคิดสังหารเลเวล B ผลลัพธ์มันจะแตกต่างออกไป ฉินเฟิงไม่เพียงสามารถขึ้นไปบนสุดของหอคอยประตูมังกรได้ แต่เขายังทนอยู่ในต่างมิติถึง 15 วัน ได้รับสมบัติมามากมาย
หลังกลับมา ไม่เพียงรายงานข้อมูลของต่างมิติที่กระทั่งตระกูลใหญ่ยังไม่ทราบ แต่ยังสามารถร่วมมือกับตระกูลของพวกเขา
ดังนั้น สถานะของฉินเฟิงย่อมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปคนที่เข้าใจถึงอิทธิพลของฉินเฟิง ย่อมยำเกรงในตัวเขา ขณะที่คนไม่รู้จัก เป็นธรรมดาที่จะไม่หวาดกลัว!
และเทียนหยานเป็นประเภทที่สอง
“ไป๋หลี ถามเขา ว่าทำไมถึงต้องตามหาเจ้าสิ่งนั้นด้วย”
คู่ดวงตาของไป๋หลีสาดประกายหลากสี สำหรับคนที่ความแข็งแกร่งลดทอนลงเหลือเลเวล F ดิ้นให้ตายก็ไม่มีทางเล็ดลอดไปจากเทคนิคของเธอ
ไม่นานไม่ว่าสิ่งที่ควรพูด หรือไม่ควรพูด เทียนหยานล้วนเอ่ยออกมาทั้งหมด
ทำให้ฉินเฟิงรู้เรื่องราวทุกอย่าง
“ไม่คิดเลย ว่าเป็นเพราะฉัน ทำให้อนาคตเกิดการเปลี่ยนแปลง”
ฉินเฟิงทราบถึงเรื่องนี้ดี ว่าก่อนเกิดใหม่ กลุ่มฮงรีทุ่มเทอย่างถึงที่สุดเป็นเวลานานกว่าสามปี เฝ้าเสาะหาปืนใหญ่นับไม่ถ้วนมาทำลายกำแพงอุปสรรค จนในที่สุดสามารถก้าวเข้าสู่ชั้นสี่ได้ แต่ในเวลานั้น ข่าวสารดังกล่าวได้รั่วไหลมาถึงผู้คนหลายกลุ่มแล้ว แม้ในเวลานั้นพวกเขาจะพยายามเก็บเป็นความลับก็ตาม
ต่อมา พวกเขาบุกไปยังเมืองฟูเฉิง สถานที่ซึ่งเก็บหนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ที่ยังไม่ถูกใครค้นพบหรือสนใจ
เจ้าเมืองของฟูเฉิงเป็นแค่ผู้ใช้พลังเลเวล D ดังนั้นมิอาจต้านทาน ในขณะที่ผู้การรัฐของสามเฉิงเป็นแค่เลเวล C ย่อมไม่อาจต่อกรเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้การรัฐสามเฉิง เป็นลูกน้องของเลเวล B อีกกลุ่มหนึ่ง
ดังนั้น ในชีวิตก่อนจึงเป็นทั้งสองกลุ่มที่ก่อสงครามกัน
แต่ในตอนนี้ เป้าหมายของกลุ่มฮงรี กลับมุ่งเป้ามาที่ฉินเฟิง แต่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าหลังจากนี้ กลุ่มฮงรียังมีแผนการอะไรอีก
แต่จะอะไรก็ตาม ฉินเฟิงก็พร้อมรับมือกับทุกสิ่ง และจะต้านทานด้วยทุกอาวุธที่มี!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเฟิงวาดมือ ปลดปล่อยกำลังภายในจากนิ้ว เจาะเข้าไปในศีรษะของเทียนหยาน
เทียนหยาน เมื่อคายความลับทั้งหมดก็ไร้ประโยชน์ ถูกสังหารไปทันที!
รอบๆฉินเฟิง ฝูงชนทยอยกันปรากฏตัวขึ้น ทั้งหมดเป็นสมาชิกระดับสูงของเฟิงหลี
ในบรรดาคนเหล่านั้น มีบางคนที่ฉินเฟิงยังไม่เคยเจอ และนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นฉินเฟิงฆ่าคน อีกทั้งศัตรูยังเป็นผู้ใช้พลังเลเวล C แต่กลับฉินเฟิงเฟิงฆ่าอย่างง่ายดาย
ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ฝูงชนต่างนิ่งงันเป็นเป่าสาก ตะลึงในความแข็งแกร่งของฉินเฟิง มิกล้าเอ่ยคำใด
ฉินเฟิงกวาดสายตาไปรอบๆอย่างรวดเร็ว เหล่าผู้คนที่เกิดความคิดสับสน ทั้งหมดต่างก้มหัวลง
“กลับไปกันก่อน ไว้พรุ่งนี้ผมจะเรียกประชุมทุกคนอีกครั้ง”
กล่าวจบประโยค ฉินเฟิงก็ไม่สนใจซากศพบนพื้น ควงแขนไป๋หลีเดินจากไป
วังเฉินไอเป็นเลือด เร่งวิ่งไปข้างหน้า อยากจะพูดอะไรบางอย่างกับฉินเฟิง
“ลูกพี่–”
“คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ เกิดอะไรขึ้น เอาไว้เราค่อยคุยกันพรุ่งนี้” ฉินเฟิงตบไหล่ของวังเฉิน ถ่ายเทกำลังภายในเข้าไป กำลังภายในอันบริสุทธิ์อย่างหาที่ใดเปรียบ แล่นไปทั่วร่างวังเฉิน ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจนหายดี
วังเฉินตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เอ่ยปากกล่าว “อันที่จริง ในเมื่อลูกพี่กลับมา ฉันก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีกแล้ว”
ฉินเฟิงพยักหน้า ครั้งนี้เขาว่าจะแวะกลับมาอยู่เฟิงหลีสักพัก
นี่คือช่วงเวลากลางดึก แม้เรื่องเจ้านายกลับมาจะน่ายินดี แต่ก็ไม่มีใครคิดรบกวนฉินเฟิง
…
ฉินเฟิงเวลานี้ยืนอยู่บนยอดตึก ณ อาคารสูงที่สุดในเมืองเฟิงหลี เหม่อมองไกลออกไป
ไป๋หลีมายืนข้างกายเขา หันมองตามสายตา เธอไม่รู้ว่าฉินเฟิงกำลังมองหาอะไร หรือคิดอะไรอยู่
“เป็นอะไรไป? ไม่มีความสุขหรอ? หรือเพราะเรื่องเซ่าเซี่ยงกลายเป็นคนทรยศ?” ไป๋หลีถาม
ฉินเฟิงส่ายหัว “ทั้งใช่แล้วก็ไม่ใช่”
“บ๊ะ! มนุษย์อย่างพวกคุณนี่มันซับซ้อนจริงๆ ตอบว่าใช่ก็ใช่สิ ทำไมใช่แล้วต้องไม่ใช่ด้วย!”
ฉินเฟิงยื่นมือไปลูบผมของไป๋หลีอย่างอ่อนโยน กล่าวอย่างไร้หนทาง “บางสิ่งบางอย่าง พูดไปเธอก็ไม่เข้าใจ”
เขาก้มมองเมืองเฟิงหลีที่ขยับขยายใหญ่โตและกล่าว “ด้วยความแข็งแกร่งของฉัน ตอนนี้สามารถสังหารเลเวล B หรือท้าทายเลเวล A ได้แล้ว แต่ฉันมีเฟิงหลีเป็นชนักติดหลัง ทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบ แถมยังไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาเลเวล B เลยสักคน กระทั่งเลเวล C ก็แทบไม่มี จะนั้นหากเกิดสงคราม คงยากจะหยุดควบคุมการสูญเสีย”
“สรุปง่ายๆก็คือ เมืองเฟิงหลีกับกลุ่มเฟิงหลี แม้สามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่มันไล่ตามฝีเท้าของฉันไม่ทัน ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้หลายคนเริ่มเกิดใจโลเล ถูกบงการเอาได้ง่ายๆ ”
“เฟิงหลีตอนนี้ไม่ต่างจากเค้กชิ้นโต ที่ฉันไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง พอไม่มีฉัน หรือคนที่แข็งแกร่งคอยดูแล สมาชิกที่ใจโลเลก็ถูกโน้มน้าว คิดทรยศและอยากเพลิดเพลินไปกับเค้กชิ้นนี้ …”