โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 626 - แผนการของฉินเฟิง
คนเหล่านี้ไม่สามารถเข้าร่วมกลุ่มเฟิงหลีได้ เนื่องจากไม่น่าไว้วางใจมากพอ หากรับมาเกรงว่าอาจทำให้กลุ่มแตกแยกเป็นสองฝ่ายในภายหลัง
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาเลยเกิดความสงสัย ทั้งยังสับสน ไม่เข้าใจความคิดของฉินเฟิง ว่าเรียกพวกตนมาทำไม
ไม่นาน ระหว่างผู้คนคิดไปต่างๆนาๆ ฉินเฟิงก็ปรากฏกาย เดินเข้ามาในห้องประชุม นั่งลงบนเก้าอี้หัวแถว
“ทุกท่านเชิญ!” ฉินเฟิงอนุญาตให้ทุกคนนั่งลง
ทุกคนปฏิบัติตาม ฉินเฟิงตริตรองเรื่องราวในหัวพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยปาก “สถานการณ์ในปัจจุบันของรัฐทะเลเหนือ เปลี่ยนแปลงไปจากปีที่แล้วมาก ครึ่งหนึ่งของทะเลทรายทะเลเหนือได้กลายเป็นโอเอซิสอันอุดมสมบูรณ์ สัตว์ร้ายทะเลทรายเองก็ลดน้อยลง ไม่ก็ถูกขับไล่ออกไป ระดับความปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น แต่นั่นก็หมายความว่าทรัพยากรของพวกเราลดน้อยลงเช่นกัน”
มีหยินย่อมมีหยาง เมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย นี่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในความเป็นจริง เหตุการณ์ประมาณนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้งหลายคราวกับเมืองที่ทรงอิทธิพล หรือเมืองที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือเข้าควบคุมเขตแดนลับ เหมือนหุบเหวตอนเหนือของเมืองเป่ยหัวของซางฮัน ให้ผู้ใช้พลังไปออกล่าในอาณาเขตเฉพาะเจาะจง ดีกว่าปล่อยให้ตัวเมืองถูกสัตว์ร้ายเข้ารุกราน
ด้วยประการฉะนี้ จึงจะส่งผลดีต่อประชากรในเมือง ทั้งยังช่วยให้ผู้คนจะแข็งแกร่งขึ้น , ทางเมืองสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น นำไปพัฒนาเมืองให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ
แต่น่าเสียดาย ที่รัฐทะเลเหนือเป็นดินแดนในระดับล่าง สัมปทานที่กล่าวไปข้างต้นไม่มีอยู่ ดังนั้นไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างแน่นอน
ฉินเฟิงกล่าวต่อ “เนื่องจากทะเลทรายทะเลเหนือได้เปลี่ยนไปแล้ว จากเดิมจัดสร้างกำแพงสี่เมืองล้อมรอบ ปัจจุบันทั้งหมดเป็นเพียงประวัติศาสตร์ ไม่จำเป็นต้องทุ่มงบประมาณในส่วนนั้นอีกต่อไป แต่ตอนนี้ข้อเสียใหม่ได้ปรากฏขึ้นเช่นกัน คือทั้งสี่เมืองตั้งอยู่ในภูมิศาสตร์ที่ค่อนข้างคับแคบแออัด ในขณะที่รัฐทะเลเหนือยังมีพื้นที่รกร้างอีกมากที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ ยังมีอีกเรื่อง ได้ยินมาว่าการบริหารจัดการค่อนข้างวุ่นวายไม่เป็นระบบ ตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณตั้งตนเป็นใหญ่ มีอาณาเขตเป็นของตัวเอง ทำให้ไม่สามารถเรียกเก็บภาษีจากพวกเขาได้”
อันที่จริง ประเด็นที่กล่าวมาไม่ใช่ความผิดของผู้ใช้พลังเหล่านี้ หากให้พูดโดยย่อ มันคือปัญหาที่เกาหยูคังทิ้งไว้ก่อนจากไป
ฝูงชนเบื้องหน้าฉินเฟิงเป็นเจ้าหน้าที่ของพันธมิตรหัวเซี่ย ทว่าเกาหยูคังกลับไม่ใยดีพวกเขา พวกเขาเลยมีสภาพไม่ต่างจากมังกรไร้หัว เหมิงหลินและคนอื่นๆไม่สามารถทำอะไรได้ ต้องยอมปล่อยให้ตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณแทะเนื้อชิ้นโตนี้ไป
พวกตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณมักกระทำการมุ่งเน้นแต่เรื่องที่พวกตนได้รับผลประโยชน์ อย่างเช่นกรณีเกิดกองทัพสัตว์ร้าย พวกเขาจะไม่เสนอหน้าส่งใครไปตาย ตรงกันข้ามหากเป็นเรื่องผลประโยชน์ จะมีเงาหัวของพวกเขาผุดพรายมาเสียทุกที
ไม่เคยคิดมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบปราบปรามกองทัพสัตว์ร้าย คอยจ้องแต่จะเอาผลประโยชน์ตลอดเวลา ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมอิทธิพลของรัฐทะเลเหนือถึงตกต่ำอยู่ในระดับล่าง
แต่แน่นอน ฉินเฟิงจะไม่พูดเรื่องไม่ดีของเกาหยูคัง เพราะอีกฝ่ายคือผู้พลีชีพในสนามรบ ยิ่งไปกว่านั้น เป็นเกาหยูคังส่งมอบตำแหน่งให้แก่ตนเอง ฉินเฟิงซาบซึ้งที่อีกฝ่ายมอบความไว้วางใจแกเขา
ฉินเฟิงเลยตัดสินใจแน่วแน่ ว่าเรื่องที่เกาหยูคังทำไม่ได้ เขาจะเป็นคนทำมันเอง!
ฝูงชนเมื่อได้ยินคำวิเคราะห์ของฉินเฟิง ก็แสดงออกถึงความละอาย บางคนก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
“ท่านผู้การ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากเก็บภาษี แต่อุตสาหกรรมที่ทำกำไรแก่ทางรัฐ ทั้งหมดล้วนถูกควบคุมจัดการโดยลูกศิษย์ชั้นนอกของตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณ พวกเขามีสมาชิกมากมาย ทั้งยังให้ศิษย์ชั้นนอกคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเรา ไม่มีทางทำอะไรได้เลย”
“ใช่แล้ว ท่านผู้การ ที่มันเป็นอย่างทุกวันนี้ ไม่ใช่ความผิดของพวกเรา ที่ผ่านมาอีกฝ่ายมีคนคอยหนุนหลัง แต่พวกเรากลับไม่เคยมีเลย”
“ตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณพวกนั้น มีตัวตนทรงพลังอย่างเลเวล C อยู่!”
ฉินเฟิงกวาดสายตาผ่านฝูงชน คนเหล่านั้นจึงค่อยสงบปากลง
“พูดจบรึยัง? ไม่ว่าก่อนหน้านี้มันจะเป็นอย่างไร แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไป คนของตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณ จะต้องจ่ายภาษีให้ผม แล้วถ้าพวกเขาจ่ายขาดหายไปแม้จะแค่เหรียญเดียว ผมจะไปเคาะประตูคุยกับพวกเขาเอง!”
ตรงคำว่า‘คุย’ ฉินเฟิงเน้นย้ำเป็นพิเศษ เกรงว่าวลี ‘คุย’ อาจไม่ได้หมายถึงการสนทนาเฉยๆ
เหล่าผู้บริหารระดับสูงบังเกิดลางสังหรณ์ ว่าบางทีภายใต้การนำของฉินเฟิง ครั้งนี้ฝ่ายตระกูลวรยุทธโบราณคงหนีไม่พ้น โดนเล่นงานจนย่ำแย่แล้ว
ช่วงแรกๆที่ฉินเฟิงเพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ เขายังไม่มีเวลาลงดาบ ทว่าตอนนี้เจ้าตัวไม่ต่างจากคนที่กำลังกุมปืนในมือ และพร้อมลั่นไกตลอดเวลา
ฉินเฟิงกล่าวต่อ “ผมจะให้เวลาพวกเขาหนึ่งปี ให้พวกเขารู้จักปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ผมหวังว่าพวกเขาจะมีสมอง ตระหนักว่าใครกันแน่คือเจ้าของรัฐทะเลเหนือตัวจริง!”
ประโยคเหล่านี้ แฝงร่องรอยของการคุกคาม แม้ผู้คนในที่นี้ จะไม่ใช่เป้าหมายในการคุกคามของฉินเฟิง แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินเฟิงพูด หัวใจของทั้งหมดกระตุกไหว รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เพราะเรื่องนี้ส่งผลดีต่อพวกเขาเช่นกัน
“ท่านผู้การ พวกเรายินดีให้ความร่วมือ”
“ท่านผู้การพูดได้ถูกต้อง คำพูดของคุณทำให้พวกเราเห็นแสงสว่าง โปรดสั่งการมาได้เลย”
“สิ่งที่ค้างคามานาน ในที่สุดจะได้รับการชำระซักที”
ฉินเฟิงยกมือขึ้นเล็กน้อย บอกให้ทุกคนหยุด และเริ่มกล่าว “ภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดของรัฐทะเลเหนือ พวกสัตว์ร้ายทะเลทรายได้ถูกกำจัดไปแล้ว ในระยะเวลาหนึ่งปีความแข็งแกร่งของผู้ใช้พลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้น ดังนั้นจำเป็นต้องมีการป้องกันไม่ให้ประชากรที่กำลังล้นหลามเหล่านี้ หลุดจากมือไป”
ก่อนหน้านี้ในพื้นที่ทะเลทรายทะเลเหนือ ปราการชาตงนับเป็นสถานที่สูบกลืนผู้คน โดยไม่คิดคายกระดูก (เข้าไปแล้วไม่ได้กลับออกมา) มีผู้ใช้พลังมากมายตกตาย
แต่ปัจจุบัน มันมิได้มีสภาพเฉกเช่นทุ่งสังหารดั่งกาลก่อนอีกต่อไป ผู้ใช้พลังที่มาเยือน ยังสามารถรักษาชีวิตตนเองเอาไว้ได้ เลยเป็นธรรมดาที่ยิ่งนาน ประชากรก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้พลังจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรในการยกระดับ พวกเขาต้องการเงิน , แก่นสัตว์ร้าย , เทคนิครูน , กระบวนท่าลับ ซึ่งหากรัฐทะเลเหนือไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการเหล่านี้ได้ ผู้คนก็จะแห่แหนไปยังรัฐอื่นที่มีทรัพยากรพร้อมยิ่งกว่า
เรื่องนี้ส่งผลโดยตรงต่อความเข้มแข็งของรัฐทะเลเหนือ และมันไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีอำนาจของรัฐต้องการจะเห็น
ช่วงเวลานี้ เหล่าผู้คนในห้องประชุมถึงค่อยเข้าใจ ว่าสิ่งที่ฉินเฟิงคิดจะประกาศคือเรื่องอะไร
“หัวหน้า คุณกำลังคิดที่จะสร้างรัฐทะเลเหนือขึ้นใหม่ หรือยังต้องการอยู่ที่เดิม แล้วจัดการให้มันดีขึ้น?” เหมิงหลินเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง ไม่แน่ใจว่าฉินเฟิงมีความคิดเห็นอย่างไร
แต่สำหรับเรื่องนี้ จำเป็นต้องถามตรงๆ ถ้าจะให้พูดแบบอ้อมค้อมก็คงทำไม่ได้
ในสายตาของทุกคน ฉินเฟิงแข็งแกร่งมาก เขาคือผู้การรัฐทะเลเหนือ ดังนั้นเลยเป็นธรรมดาที่เจ้าตัวต้องตัดสินใจ ว่าจะปัดอาหารรสชาติจืดชืดนี้ทิ้งไป หรือนำเครื่องปรุงมาเติมแต่งรสชาติของมัน
ปัจจุบันฉินเฟิงมีอยู่ทั้งสิ้นสามตัวเลือก หนึ่งคือละทิ้งรัฐทะเลเหนือ ลาออกจากตำแหน่งผู้การรัฐ เข้ารับตำแหน่งนายพลกำลังเสริมเหมือนพวกซื่อฉิง แบบนั้นคาดว่าน่าจะสามารถทำกำไรได้เยอะกว่านี้
สองคือ ขอโยกย้ายตำแหน่งผู้การไปคุมรัฐอื่น รับช่วงต่อจากอีกฝ่ายได้เลย แต่แบบนั้นจะทำให้ผู้คนขุ่นเคือง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตำแหน่งนี้ใช่ว่าแค่ขุดหลุมเดียวก็เจอหัวไชเท้า (หมายถึงไม่ได้ได้มาอย่างง่ายดายขนาดนั้น)
ตัวเลือกสุดท้าย นั่นคือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งโดยรวมแก่รัฐทะเลเหนือ แต่ก็นั่นแหละ ข้อนี้มีค่าใช้จ่ายมากกว่าข้ออื่นๆ ทั้งยังต้องใช้เวลานานในการคืนทุน แต่หากมันสามารถสร้างขึ้นมาได้จริงๆ ผลประโยชน์ที่ตามมาย่อมไร้ที่สิ้นสุด
อย่างภายในภูมิภาคเหนือ หากไม่นับเมืองเป่ยหัวแล้ว ก็ยังมีรัฐฮั่นชวน ที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยผู้ใช้พลังเลเวล A ฮั่นโหมว เป็นรัฐที่มีผู้ใช้พลังมากมายเลือกเดินทางไป เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ถึงเทียบกับเมืองเป่ยหัวแล้วยังสู้ไม่ได้ แต่ผู้คนที่สามารถอาศัยอยู่ในเมือง ยามเดินออกมาล้วนเชิดหน้าชูคอด้วยความภาคภูมิ
ตรงกันข้ามกับผู้คนจากรัฐทะเลเหนือ ยามถูกถามไถ่ว่าภูมิลำเนามาจากที่ใด พวกเขามักก้มหน้าลงสามส่วน สถานการณ์เช่นนี้ มันทำให้ผู้การรัฐอย่างฉินเฟิง รู้สึกเสียหน้าไม่น้อย
ดังนั้น ฉินเฟิงเลยตัดสินใจเลือกข้อสามอย่างไม่ลังเล
ฉินเฟิงตอบคำถามของเหมิงหลิน ยืนยันว่าจะทำตามที่เขากล่าว “ผมเองก็ตั้งใจว่าจะทำแบบนั้น เลยเรียกทุกท่านมาปรึกษา ขอความคิดเห็น”
ฝูงชนพอได้ยินเรื่องนี้ ทั้งหมดเร่งเร้าสมอง พูดในสิ่งที่ตนคิดขึ้นมาได้ทันที บางคนก็มีความคิดสร้างสรรค์ บางคนก็เอ่ยอย่างระมัดระวัง เพราะกังวลเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตัวเอง พวกหลังนี่ทำฉินเฟิงอดฮึดฮัดไม่ได้เลยจริงๆ
“เอาล่ะ ผมจะจดจำข้อเสนอดีๆของพวกคุณเอาไว้ และวางแผนที่จะจัดตั้งเมืองใหม่ต่อจากสี่เมืองทะเลเหนือ จะได้รวบรวมประชากรที่อาศัยอยู่รอบๆไปในตัว ส่วนตำแหน่งที่ตั้ง … ก็เป็นตรงนี้!”
ฉินเฟิงสั่งเปิดหน้าจอโฮโลแกรม และชี้ไปยังจุดหนึ่งบนแผนที่
อย่างไรก็ตาม คนอื่นกลับไม่รู้สึกว้าวเท่าไหร่ ตรงกันข้ามกับประกายแห่งความหวังในแววตาของฉินเฟิง
เพราะที่นี่ ฉินเฟิงล่วงรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมันเป็นอย่างดี ว่าในเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนจากนี้ จะมีโอกาสทองครั้งใหญ่ปรากฏขึ้น
และปัจจุบัน ฉินเฟิงจะต้องกลายเป็นคนแรกที่สามารถยึดครองสถานที่แห่งนั้น
ต้องรู้นะว่า ก่อนกลับมาเกิดใหม่ ในเดือนกุมภาพันธุ์ ปี 219 หลังรอยแยกมิติได้ปรากฏขึ้น ฉินเฟิงยังเป็นแค่ผู้ใช้พลังเลเวล F8 กระทั่งโอกาสในการกระโจนเข้าสู่สถานที่แห่งนั้นยังไม่มี
แต่ในตอนนี้ เขามีพรั่งพร้อมทุกอย่าง และจะกลายเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์สูงสุด!