โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 631 - การตัดสินใจของตระกูลโหว
Ep.631 – การตัดสินใจของตระกูลโหว
โทรลลาวาเดือดค่อยๆรุกคืบ ขยายดินแดนของตนไปเรื่อยๆ
เมื่อต้นไม้เพลิงมีความสูงถึง 100 เมตร ยามแหงนหน้ามอง ให้ความรู้สึกบดบังผืนฟ้า
ในหัวใจของผู้คน บังเกิดลางสังหรณ์ไม่สู้ดี
ตรงกันข้ามกับฉินเฟิง เจ้าตัวกลับผ่อนคลาย แตกต่างจากคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง
นั่นเพราะทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
“ส่งเรือเหาะกลับไป สับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่คุมเรือเป็นอีกกลุ่มนึง” ฉินเฟิงสั่งการ
“รับทราบ” โกวก๋วนมองไปยังลูกน้องที่อดทนต่อแรงกดดันถึงขีดจำกัด หลังจากเข้าสู่สนามรบเป็นเวลากว่าหกชั่วโมง ผู้ใช้พลังระดับต่ำก็ฝืนยืนต่อไปไม่ไหว เลยเป็นธรรมดาที่ต้องพาตัวกลับไป
และเนื่องจากได้รับประสบการณ์ในครั้งแรก คราวนี้ คนที่ขึ้นเรือเหาะรอบสองและทำหน้าที่กัปตันเลยเป็นวังเฉิน และผู้ใช้พลังเลเวล E คนอื่นๆ
นอกเหนือจากนั้นก็เป็นมือปืนเลเวล D กล่าวได้ว่าบุคลากรที่เมืองเฟิงหลีไม่ขาดแคลน ก็คือมือปืน!
ส่วนฉินเฟิงในฐานะประธานมิได้จากไป คอยนำทัพต่อสู้บัญชาการจากเบื้องล่าง
สุดท้ายเวลาล่วงเลยไปกว่า 3 วัน ฉินเฟิงสามารถล่าสังหารโทรลลาวาเดือดได้มากถึง 7,000 ตัว
แต่กระนั้น อาณาเขตของพวกปีศาจโทรล ยังคงขยับขยายอย่างต่อเนื่อง เดิมภูมิประเทศที่ต้นไม้เพลิงเติบใหญ่เป็นพื้นที่ราบ ทว่าตอนนี้ทุกสิ่งรอบตัวมันกลับกลายเป็นว่างเปล่า ไม่ว่าดินหรือหิน ล้วนถูกขุดไปจนสิ้น
จนตรงบริเวณต้นไม้เพลิงดูไม่ต่างจากภูเขาสูง ในขณะที่พื้นที่อื่นๆกลายเป็นเปลือยเปล่า!
ปฏิบัติการของพวกโทรล กินพื้นที่ยาวออกมากว่า 5 กิโลเมตรแล้ว
“ฉินเฟิง นายพักก่อนเถอะ ไม่ต้องโหมสู้ถึงขนาดนั้น ไม่ก็ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆก็ได้ อาศัยแค่กำลังของพวกเรา คงไม่พอที่จะขัดขวางโทรลลาวาเดือดพวกนี้” โจวฮ่าวกล่าวผ่านอุปกรณ์สื่อสารด้วยความวิตกกังวล
แต่พอได้ฟัง ฉินเฟิงดันยิ้มออกมา และกล่าว “ฉันไม่ได้โหมสู้หรือทุ่มเทอะไรขนาดนั้น ก็แค่พยายามควบคุมประชากรพวกมัน ฉันจะเฉลยให้นายเอง ว่าทำไมช่วงหลายวันที่ผ่านมา ที่ไม่โชว์ผลึกที่เกิดจากพวกโทรลลาวา มันเป็นเพราะอะไร”
เห็นได้ชัดว่าโจวฮ่าวไม่เข้าใจ
“ไม่รู้สิ ถึงมันจะเป็นของดี แต่ชีวิตเองก็สำคัญเหมือนกัน ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป นายจะตายเพราะหมดแรงสู้”
ฉินเฟิงเฉลย “ผลึกของโทรลลาวา มีมูลค่าเทียบเท่ากับแก่นอบิลิตี้ธาตุไฟของราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล C1 มูลค่าต่อชิ้นประมาณ 30,000 ล้าน”
“30,000 ล้านแล้วมันยังไ– อ๋า? เดี๋ยวนะ เมื่อกี้นายพูดว่าอะไร? เหมือนฉันจะหูฝาดไป”
ฉินเฟิงยิ้ม และกล่าว “ในปีศาจโทรลลาวาเดือดเลเวล C ทุกตัว พวกมันสามารถผลิตผลึกที่ว่าได้ ส่วนเลเวล B อาจผลิตผลึกที่มีราคามากกว่านี้สิบถึงยี่สิบเท่า หลายวันมานี้นายก็ลองคำนวณดูเถอะ ว่าฉันได้เงินไปเท่าไหร่”
โจวฮ่าวรู้สึกสมองอื้ออึง ตัวเลขมหาศาลกระพริบผ่านในตาเขา ยังไม่พอ เจ้าตัวลองแปลงตัวเลขพวกนั้นเป็นเหรียญพลังงาน เกิดความรู้สึกราวกับว่าตนกำลังแหวกว่ายอยู่ในกองภูเขาเหรียญพลังงานขนาดมหึมา
ต้องรู้นะว่า เขาเองก็มีหุ้นในกลุ่มเฟิงหลี อาศัยเม็ดเงินมหาศาลขนาดนั้น ด้วยความสามารถในเลเวล D ของเขา ถึงไม่สามารถครอบครองได้ทั้งหมด แต่แค่หนึ่งในพันมันก็มากพอที่จะสบายไปทั้งชาติ
“ไม่ได้แล้วๆ ฉันคงต้องขอตัวไปพักก่อน ไม่งั้นคงตาบอดเพราะเงิน” โจวฮ่าวรู้สึกสมองสับสนมึนงง
“ใช่ นายไปพักเหอะ คราวนี้ซูซิงฝูไม่ได้มาด้วย ฉะนั้นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่พวกชาวเมืองใหม่ ทั้งหมดต้องรบกวนนายแล้ว ส่วนฉันคงยุ่งอีกนาน แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป”
“… เออๆ ให้ตายเถอะ ทำไมจู่ๆฉันก็รู้สึกว่าอยากให้นายทำงานหนักยิ่งกว่าเดิมนะ”
“ฮ่า ฮ่า จะไม่ให้ทำงานหนักได้ไง เพราะการลงทุนลงแรงนี้มันคุ้มค่า เป็นกำไรก้อนโต!”
ฉินเฟิงไม่ได้เหน็ดเหนื่อยอะไร เพราะทุกครั้งที่เขาสังหารปีศาจโทรล พลังงานจากศพพวกมันจะเข้ามาเติมเต็มให้แก่ร่างกายเขา นอกจากนี้ การโจมตีส่วนใหญ่ที่ใช้ไปเกิดจากพลังงานดัดแปลงของเกราะศักดิ์สิทธิ์ ส่วนตัวเขาเอง แทบไม่สูญเสียพลังงานเลย
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าก่อนเกิดใหม่ กว่าข้อมูลจะแพร่กระจายออกไปก็ใช้เวลากว่า 10 – 15 วัน
สำหรับตอนนี้ ฉินเฟิงไม่ได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเขา ยังเก็บออมไว้ ปัจจุบันแค่ควบคุมสถานการณ์ไม่ให้ลุกลาม เพื่อเฝ้ารออะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นในภายหลัง
‘หากท่านปฏิเสธว่าผู้คนน่ะไม่มีความเห็นแก่ตัว ท้องฟ้าคงถล่มทลาย’ สิ่งที่ฉินเฟิงคิดทำ อาจผิดจรรยาบรรณไปบ้าง แต่ในแง่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาแล้ว การจะรับมือ สังหารอีกฝ่าย ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
ฉินเฟิงยังคงล่าสังหารพวกมันต่อไปอีกเป็นเวลากว่าสี่วัน อาจกล่าวได้ว่า ฝูงปีศาจโทรลที่ปรากฏกายในตอนแรก ล้วนถูกฉินเฟิงสังหารสิ้น พวกโทรลที่ยังเหลืออยู่ ส่วนใหญ่มีขนาดความสูงแค่สองเมตร ยังไม่ได้เติบโตเท่าไหร่
เนื่องจากการรุกรานจากรอยแยกมิติเกิดขึ้นมาสักพักหนึ่งแล้ว ในที่สุดมันก็เริ่มกระตุ้นความสนใจของผู้อื่น
และคนกลุ่มแรกที่ทราบถึงเรื่องนี้ มิใช่ใครอื่น เป็นตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนจากตระกูลวรยุทธโบราณ ล้วนเป็นงูเจ้าถิ่นของที่นี่ แม้ผู้สืบทอดสายเลือดแท้ของสามตระกูลวรยทุธโบราณ รวมๆกันแล้วมีแค่ไม่กี่ร้อย แต่ลูกศิษย์ชั้นนอกของพวกเขา เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด จึงเข้าสวามิภักดิ์ ส่งผลให้กลายเป็นกลุ่มองค์กรใหญ่ที่มีจำนวนไม่น้อยไปกว่ากลุ่มที่สร้างขึ้นจากผู้ใช้พลังเลเวล C เลย
ฉะนั้น การดำรงอยู่ของคนกลุ่มนี้ที่แฝงตัวไปทุกๆที่ หรือแม้กระทั่งบางคนที่เข้าเมืองใหม่มาเพื่อหาเลี้ยงชีพ ข่าวคราวของวิกฤตที่เกิดขึ้นที่นี้ จะไม่หลุดรอดออกมาได้อย่างไร?
ช่วงเวลานี้ ณ ห้องโถงใหญ่ของตระกูลโหว ผู้คนได้ทำการจัดประชุมขึ้น กระทั่งบรรพชนของตระกูลโหว โหวหมิงที่สามารถก้าวขึ้นสู่เลเวล C ได้เดินทางกลับมายังรัฐทะเลเหนือเพื่อเข้าร่วมประชุม
“ท่านบรรพชน สิ่งที่ผู้น้อยพูดเป็นความจริง หากไม่สมบัติดีๆอยู่ที่นั่น ฉินเฟิงจะทุ่มเทต่อสู้ ถึงขั้นไม่หลับไม่นอนเป็นเวลานานถึง 7 วันได้อย่างไร?”
“เรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ลูกศิษย์ของพวกเราที่ติดอยู่ในเมืองใหม่ ล้วนมีความแข็งแกร่งค่อนข้างต่ำ ดังนั้นเลยไม่สามารถลอบหลบหนีออกมาสืบข่าวได้ แต่ดูจากการเคลื่อนไหวของเรือเหาะ ที่มักจะบินกลับเมืองทุกๆแปดชั่วโมง และบรรทุกกระสุนน้ำแข็งเลเวล D ที่แต่ละลูกมีมูลค่าสูงกว่า 20 ล้านแล้ว หากไม่ได้รับผลประโยชน์มหาศาล ฉินเฟิงจะทุ่มทุนถึงขนาดนี้ได้ยังไง!”
“ถูกต้อง ที่นั่นจะต้องมีทรัพยากรบางอย่างที่มีค่ามหาศาลอยู่แน่นอน”
“พวกเราจะไม่ยอมให้ฉินเฟิงครอบครองทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว จะให้เขาเติบโตไปกว่านี้ เหยียบหัวพวกเราจนโงไม่ขึ้นไม่ได้”
ฝูงชนต่างเห็นพ้องต้องกัน ทั้งหมดที่เข้าร่วม ต่างมีความคับข้อง และไม่พอใจ บางคนก็แสดงออกถึงความอิจฉา
ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลโหวกับฉินเฟิงไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งเมื่อเร็วๆนี้ฉินเฟิงได้ปฏิรูปรัฐทะเลเหนือใหม่ ถึงขนาดบังคับให้ตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณจ่ายภาษี สิ่งนี้ทำให้โหวหมิงไม่พอใจมาก แต่หลังจากโหวหมิงรับทราบถึงความแข็งแกร่งของฉินเฟิง เขาก็เงียบไป เพราะในใจทราบดี ว่าฉินเฟิงมันเป็นแผ่นเหล็กกล้า ไม่สมควรยื่นเท้าเตะอย่างยิ่ง
แค่เรื่องที่ให้ทางตระกูลจ่ายภาษี มันก็เหมือนกับการฉีกเนื้อออกจากร่างของโหวหมิงแล้ว แต่ตอนนี้ ฉินเฟิงเหมือนกำลังได้รับผลประโยชน์บางอย่าง ในฐานะที่ทั้งสองฝ่ายไม่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ดังนั้นตระกูลโหวเลยไม่อยากเห็นฉินเฟิงอยู่ดีมีสุข ด้วยเหตุนี้ เมื่ออีกฝ่ายเจอเค้กก้อนใหญ่ พวกเขาก็อยากเอาช้อนไปตัดชิ้นเล็กๆมาเป็นของตัวเองบ้าง
“ฉันขอไปตรวจสอบเอง บางที อาจจะหารือรายละเอียด ชักชวนพวกตระกูลตี๋ด้วย” โหวหมิงเอ่ยปาก
ดวงตาของคนอื่นๆเปล่งประกายสว่างไสวทันทีคนเหล่านี้ล้วนมีเลเวลไม่เกิน D ดังนั้นข่าวจากแนวหน้า ย่อมไม่เข้าถึงหูของพวกเขา ในมุมมองของพวกเขา ฉินเฟิงเป็นเลเวล C แต่บรรพชนของพวกเขาก็เป็นเลเวล C เช่นกัน ทั้งยังก้าวสู่เลเวล C ก่อนฉินเฟิงหลายปี ฉะนั้นอีกฝ่ายจะเป็นคู่ต่อสู้ของท่านบรรพชนได้อย่างไร?
พวกเขาต้องการมอบบทเรียนให้แก่ฉินเฟิงมานานแล้ว จะเป็นการดีที่สุดหากบรรพชนสามารถสังหารอีกฝ่ายลงได้ ถึงเวลานั้น รัฐทะเลเหนือคงไม่พ้นอยู่ภายใต้พวกเขา
โหวหมิ่งทราบว่าคนเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ไม่อาจเอ่ยปากเฉลยในสิ่งที่ตนรู้ออกมาได้ จากนั้นโหวหมิงสั่งการให้ผู้ใช้พลังเลเวล D อีกเจ็ดคนเตรียมตัวให้พร้อม
ในขณะเดียวกัน ตระกูลตี๋กับตระกูลหยางก็กำลังหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ …