โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 647 - ไอ้พวกขยะ
นอกจากราคาค่าเข้ามิติครั้งละ 1 แสนล้านแล้ว ผู้ใช้พลังเลเวล B ยังสามารถนำผู้ใช้พลังเลเวล C ทั้งสิ้น 10 คนติดตามไปด้วยได้ ตรงส่วนนี้จะไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เมื่ออ่านเงื่อนไขนี้ หลิวฮุ่ยถึงค่อยเข้าใจ ว่าทำไมเฟิงหลีถึงต้องการขายค่าป้อมปราการ
“ที่แท้ก็ต้องการเฉือนเนื้อของพวกเรา!” หลิวฮุ่ยถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด เลเวล B 1 คนไปกับเลเวล C 10 คน หากเลเวล C ต้องการจะไป พวกเขาต้องจ่ายค่าผ่านประตูเข้าเมือง จากนั้นถึงค่อยมีโอกาสพบปะกับเลเวล B
แต่กระนั้น ในบรรดาผู้ใช้พลังเลเวล B คนเหล่านั้นต้องการแชร์ค่าเข้ามิติกับเลเวล C หรือไม่ เรื่องนี้ไม่ต้องบอกใครๆก็สามารถเดาได้!
แต่พวกเลเวล C มีหรือจะยอมแพ้? เพราะอย่างไรเสีย นี่ถือเป็นโอกาสทองครั้งหนึ่งในชีวิต!
อย่างไรก็ตาม หลิวฮุ่ยอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ แม้ตอนนี้หลิวฮุ่ยจะสามารถเข้าปราการ แต่ในอนาคตอันใกล้คงไม่มีหวังอีก เพราะความแข็งแกร่งของเขาติดอยู่แค่ที่เลเวล C4 ถือว่ายังไม่ผ่านเงื่อนไข
ดังนั้นเมื่อได้เข้ามา หลิวฮุ่ยย่อมไม่ยอมออกจากป้อมปราการนี้ไปง่ายๆ เขาตัดสินใจอยู่ที่นี่ แม้ค่าใช้จ่ายจะแพง แต่ในสายตาของเหล่าผู้ใช้พลังแล้ว มันไม่นับว่ามากมายอะไร
จากนั้นเขาก็ส่งข้อมูลออกไป
ปัจจุบัน ไม่ใช่แค่หลิวฮุ่ยคนเดียวที่มา ยังมีคนอื่นๆทยอยตามเขามาอีก และเริ่มเข้าสู่ป้อมปราการ หลังจากข้อมูลดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ก็แทบเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้น
ไอ้เงิน 1 แสนล้านน่ะมันไม่ได้มากมายอะไรก็จริง แต่สำหรับเลเวล B มันก็ไม่ถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยจนควักจ่ายได้โดยไม่คิดอะไรเหมือนกัน
แต่กระนั้น ไม่ว่าใครๆต่างก็มองเห็น ว่าข้างในต่างมิติคือขุมทรัพย์มหาศาล
หากคุณสามารถเข้าใจ เรียนรู้เกี่ยวกับต่างมิติแห่งนี้ได้ เงินทองจะไหลมาเทมา ไม่มีทางขาดแคลนทรัพยากร
ทันใดนั้นเอง ดวงตาของผู้คนกลุ่มหนึ่งก็เริ่มแดงฉาน ในหัวของพวกเขาเริ่มปั่นความคิด
“เราจะปล่อยให้ฉินเฟิงได้รับผลประโยชน์คนเดียวไม่ได้!”
“ใช่แล้ว ทุกคนพวกเราเองก็เคยมีส่วนร่วมในการออกล่าปีศาจโทรลลาวาเดือด แต่ทำไมถึงเป็นเขาเพียงคนเดียวที่ได้ยึดครองพื้นที่และตั้งตัวเป็นใหญ่?”
“ฉันเชื่อว่าผู้การฉินจะยินดีต้อนรับเรา หากเราขอเข้าร่วมกับเขา ช่วยพัฒนาเขตแดนลับแลกกับแบ่งผลประโยชน์ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ว่าสถานที่ดีๆแบบนี้ คงมีคนสอดรู้สอดเห็นอยู่มาก ถ้ามีพวกเราเข้าร่วม อย่างน้อยเขาจะมีอำนาจในการป้องปราม ถือว่าได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย!”
คนเหล่านี้นึกหาข้ออ้างดีๆให้กับตนเอง ไม่นานพวกเขาก็เดินทางร่วมกันไปยังป้อมปราการลาวาเดือด
เมื่อมาถึงทางเข้าประตู หยวนเสี่ยวกวงยังคอยเฝ้าอยู่ พอเห็นเลเวล B หลายคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน ก็เชื้อเชิญเข้าประตูอย่างสุภาพ โดยไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใดๆ
ภายในป้อมปราการ ฉินเฟิงผู้ซึ่งกำลังฝึกฝนอยู่ในห้องลับพลันลืมตาตื่นขึ้น
“มาแล้วหรอ?”
“ใช่ มากัน 8 คน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอดใจไม่ไหวแล้ว” ไป๋หลียกยิ้ม จนริมฝีปากเธอโค้งมน
“ถ้าพวกเขาเชื่อฟัง ทางเราก็ไม่จำเป็นต้องมีปัญหากับพวกเขา”
ฉินเฟิงผุดลุก นำไป๋หลีเดินออกไปภายนอก
ชั่วเวลานี้ ผู้ใช้พลังเลเวล B เหล่านี้ยังไม่มีความตั้งใจที่จะบุกไปยังมิติลาวาเดือดในทันที แต่พวกเขาต้องการพบกับฉินเฟิง คนของเฟิงหลีจัดแจงพาพวกเขาเข้าสู่ห้องประชุม
ไม่ปล่อยให้คนเหล่านี้รอนาน ฉินเฟิงก็มาถึง
“ขอแสดงความยินดีกับผู้การฉิน”
“รัฐทะเลเหนือของผู้การฉินในปัจจุบัน กำลังพัฒนาไปด้วยดี ยิ่งตอนนี้ได้ครอบครองมิติลาวาเดือด ก็ยิ่งสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเก็บกำทุกวัน เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ”
“ถูกต้อง ถูกต้องแล้ว!”
ฝูงชนกล่าวอย่างนอบน้อม ยกย่องเยินยอฉินเฟิง
ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจางบนใบหน้าเขา กวาดมองฝูงชนและกล่าว “วิกฤตย่อมมาพร้อมกับโอกาส การปรากฏตัวของปีศาจโทรลลาวาเดือดเป็นเรื่องที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน แต่โชคยังดีที่สามารถต้านทานพวกมัน ทั้งยังสามารถแกะรอยมิติลาวาเดือดได้ ผมเลยพอทำกำไรจากที่สูญเสียกลับคืนมาบ้าง”
เลเวล B หลายคนหันมามองหน้ากัน หนึ่งในนั้นตัดสินใจเอ่ยถาม “ผู้การฉินพูดเรื่องอะไร? คุณสูญเสียที่ไหนกัน คนที่ทำเงินได้มากที่สุด คือคุณไม่ใช่หรือ”
“นั่นก็จริง แต่กำลังรบของรัฐทะเลเหนือถือว่าอ่อนแอมาก ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ช่องว่างมิติไม่เสถียรขึ้นมา แล้วถูกฉีกเป็นชิ้นๆจนเกิดรอยแยกมิติขึ้น ถึงเวลานั้น เมืองลาวาเดือดคงตกที่นั่งลำบาก!”
“ไหนจะเรื่องพวกกองกำลังมืดอีก ผมเกรงว่าพวกเขาจะไม่ยอมปล่อยสิ่งยั่วยวนใจนี้ไป”
ฉินเฟิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ แต่มุมปากลอบยิ้มหยัน แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรต่ออีก ตรงกันข้าม เป็นไป๋หลีที่อยู่ข้างกายฉินเฟิง จู่ๆก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ในน้ำเสียงของเธอเจือปนความสงสัย “คนจากกองกำลังมืด? เฮอะ! ไม่ใช่ว่าคนพวกนั้นถูกฆ่า เอาไปเลี้ยงบำรุงต้นไม้เพลิงหมดแล้วหรอ? ถ้าพวกเขายังกล้ามาก้าวร้าวต่อหน้าพวกเราอีก คงไม่ต่างจากคนบ้าไร้สมอง เป็นพวกไม่รักชีวิต!”
คำพูดของไป๋หลีช่างร้ายกาจ และเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งผยอง
และถึงแม้ผู้พูดดูเหมือนไม่มีเจตนาอะไรแอบแฝง แต่ผู้ฟังกลับได้ยินชัดถนัดหู ริเริ่มจินตนาการตาม –กลุ่มเลเวล B จากกองกำลังมืดพวกนั้น แท้จริงแล้วมีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับพวกเขา อย่างไรก็ตาม ในวันที่เกิดการต่อสู้ระหว่างกองกำลังมืดกับฉินเฟิง พวกเขากลับไม่มีใครกล้าเสนอหน้าปรากฏตัว ผลลัพธ์เลยกลายเป็นฉินเฟิงต้องรับมือกับศัตรูทั้งหมดเพียงลำพัง แต่ผลสุดท้ายก็สามารถคว้าชัยมาได้สำเร็จ
หากคำนวณตามเหตุการณ์นี้ ก็นับว่าคำพูดของไป๋หลีสมเหตุสมผลอยู่เหมือนกัน
แต่ความสมเหตุสมผลที่ว่า มันเท่ากับเป็นการดูถูกความแข็งแกร่งของพวกตนเช่นกัน ดังนั้นพอได้ฟัง เหล่าผู้ใช้พลังเลเวล B ที่มาเยือน สีหน้าเริ่มมืดมนลงเล็กน้อย
“ฮี่ ฮี่” ผู้ใช้พลังคนหนึ่งหัวเราะแห้ง ก่อนหันเหหัวเรื่อง “ยังไงก็เถอะ ผู้การฉินน่ะอายุยังน้อย อีกทั้งยังไม่สามารถประจำการที่เมืองลาวาเดือดได้ตลอดเวลา ยังคงจำเป็นต้องมีพันธมิตรบางส่วน และพวกเราถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากหลายวันก่อน ก็เป็นพวกเราที่ร่วมด้วยช่วยกันปราบปรามปีศาจโทรล ดังนั้นคราวนี้เลยเป็นหน้าที่ของพวกเราเช่นกันที่จะแบ่งเบาความกดดันของน้องชาย!”
ฉินเฟิงทราบวัตถุประสงค์ของพวกเขา แม้คนเหล่านี้จะยกอ้างเหตุผลที่ฟังยังไงก็ดูไร้ยางอายขึ้นมา แต่ฉินเฟิงกลับไม่แปลกใจเลย
“เรื่องนั้นไม่น่าจะเกี่ยวกันนะครับ จริงอยู่ที่ผมอาจไม่สามารถประจำอยู่ที่นี่ได้ตลอดเวลา แต่เมืองลอยฟ้าสามารถทำได้อย่างแน่นอน เมืองลอยฟ้าแห่งนี้ ในอดีตเคยสังหารใคร พวกคุณก็น่าจะจำได้ ผมคิดว่า … เมื่ออยู่ต่อหน้ามัน คงไม่มีใครโง่หน้าด้านมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา!”
ฉินเฟิงกล่าวเช่นนี้ ถือเป็นการปฏิเสธคำขอของคนเหล่านี้อย่างไม่ปิดบัง
สักพักหนึ่ง บรรยากาศเริ่มกลายเป็นน่าอึดอัด
ใบหน้าของคนเหล่านี้เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดยิ่ง กระทั่งกลิ่นอายก็เริ่มปลดปล่อยออกมาอย่างไม่เก็บรั้ง ก่อให้เกิดแรงกดดันบีบคั้นอันน่าหวาดกลัว
ปัจจุบัน พวกเขาทั้งหมดมุ่งเป้ามาที่ฉินเฟิงเป็นจุดเดียว
หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเลเวล C ธรรมดาๆคนอื่นๆ เกรงว่าคนๆนั้นคงต้องคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัวแล้ว
“ฉินเฟิง มีมิติสมบัติแบบนี้ มีโอกาสดีๆแบบนี้ปรากฏขึ้น แต่คุณคิดจะฮุบมันได้เพียงคนเดียวหรือ? ฉันเกรงว่าทำแบบนั้นมันคงไม่ดี!”
ฉินเฟิงมองไปทางอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเย็นชา กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน “ผมไม่ได้ผูดขาดทรัพยากรแต่เพียงผู้เดียว ผมเปิดรับทุกคนโดยคิดค่าบริการเป็นราคา 1 แสนล้าน สิ่งที่ผมต้องการไม่ได้มากมายอะไรเลย แต่ถ้าคุณไม่สามารถจ่ายได้ งั้นคุณจะมาที่นี่ทำไม?”
“รอยแยกมิตินั่น ไม่ใช่คุณคนเดียวที่พบมัน!”
ฉินเฟิงหัวเราะเยาะและตอกกลับอีกฝ่าย “รัฐทะเลเหนือเป็นของผม เมืองลาวาเดือดที่อยู่ถัดออกไปก็เป็นของผม ต่อให้ไม่มีพวกคุณ ผมก็สามารถจัดการวิกฤตก่อนหน้านี้ด้วยตัวเองได้ แล้วทำไมคุณถึงยังกล้าพูดว่าผมไม่ใช่คนเดียวที่ค้นพบมัน?”
“คุณไม่สามารถพัฒนาพื้นที่โดยลำพัง! พันธมิตรมนุษย์ต้องสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมมือกันปราบปรามสัตว์ร้าย แต่คุณมันเห็นแก่ตัว!”
“ฮะ ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า!” หัวเฟิงอยากหัวเราะจนฟันร่วง “ให้พวกขยะมาช่วยพัฒนา แบบนั้นมันจะมีประโยชน์อะไร? ในฐานะที่พวกเรามีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่พันธมิตรมนุษย์เหมือนกัน ถึงเวลาผมแบ่งปันซุปให้คุณ จะจืดชืด หรือจะน้อยคุณก็แค่กินมันเข้าไป แต่ตอนนี้ พวกคุณกลับโลภมาก ปรารถนาจะกินเนื้อในซุป!”
ตูม!
เลเวล B คนหนึ่งฟาดฝ่ามือ โต๊ะเบื้องหน้าเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ฉินเฟิง! แกเรียกใครว่าขยะ!”
ฉินเฟิงหัวเราะเย็นชา จ้องเขม็งมาทางฝ่ายตรงข้าม “ผมขอโทษที่ไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าใครเป็นขยะ”
จากนั้น เขาก็กวาดมองออกไปรอบๆอีกครั้ง ปากอ้าขยับ เปล่งเสียงเน้นย้ำออกมาทีละคำ
“ผมกำลังจะบอกว่า ทุกคนที่กำลังเสนอหน้าในห้องนี้ ทั้งหมดเป็นขยะ!”
“มึง!”
“ฉินเฟิง! จะมากเกินไปแล้ว!”
“คิดจริงๆหรือว่าพวกเราจะไม่กล้าลงมือ!!”
กลุ่มเลเวล B ทั้ง 8 คน ทุกคนผุดลุกขึ้น ทำท่าทีเตรียมปะทะต่อสู้
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงกลับยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างสงบ เฝ้ามองพวกเขาด้วยความเย็นชา
“พวกคุณแน่ใจหรือว่าต้องการเป็นศัตรูกับผม? จงตระหนักไว้ให้ดี ว่าที่นี่ยังอยู่ในอาณาเขตของผม!”
ว่าจบ ฉินเฟิงชี้ไปทางหน้าต่าง ทะลุบานหน้าต่างออกไป สามารถเห็นเมืองลอยฟ้าที่บินอยู่ไม่ไกล กำลังสะท้อนแสงเย็นเยียบของปลายประบอกปืน!