โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 651 - เข้ามาพร้อมๆกันนั่นแหละ
ผู้คนต่างเพ่งสมาธิเฝ้ามองจินห่าว คาดหวังว่าเขาจะอดทนยืนหยัดได้ต่อไป
“ไปเลย!”
พลังสมาธิของจินห่าวขับเคลื่อนอีกครั้ง ทันใดนั้นระเบิดมือที่ห้อยอยู่ก็หลุดจากเอว ร่วงตกลงกับพื้น รังสีแสงสีดำสะท้อนจากมัน แยงสายตาของผู้คน
เป็นรูนมืด!
ภายในรูนมืด จินห่าวตระเตรียมใช้ออกด้วยอาวุธสังหารของเขา ซึ่งแสงสีดำนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อบดบังวิสัยทัศน์ของฉินเฟิงเท่านั้น แต่มันยังมีไว้เพื่อซ่อนไพ่ตายของเขาอีกด้วย
แต่ในจังหวะนั้นเอง จินห่าวต้องผงะตกใจ เพราะภายใต้พลังสมาธิของเขา ฉินเฟิงกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!
“นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน?”
จิวห่าวอ้าปากตาค้าง แต่แล้ววินาทีต่อมา พลันสัมผัสได้ถึงเจตนาสังหารอันน่าขนลุก ผลุบขึ้นมาจากเบื้องหลังเขา
ฟุ่บบ!
จินห่าวกดสวิตช์อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นโล่พลังงานขนาดเล็กคลี่กางขึ้นเบื้องหลังเขา
แต๊ง!
ฉินเฟิงเพียงดีดออกด้วยหนึ่งนิ้ว โล่พลังงานแตกสลายไปทันที กำลังภายในจากปลายนิ้ว กวาดผ่านมาถึงตัวจินห่าว
จินห่าวย่ำสองเท้าดีดตัวออกอย่างไม่ลังเล จักรกลที่ถูกติดตั้งไว้ใต้รองเท้าช่วยให้เขาทะยานไปไกล ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับมา วาดปืนในมือยิงสวนกลับหลัง
ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง!
50 กระบวนท่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว!
กระสุนพลาสม่าอันน่าหวาดกลัว สาดเข้าหา ปกคลุมฉินเฟิง
ช่วงเวลานี้ ฉินเฟิงอาบไปด้วยสายฟ้า สภาพดูไปดูมาไม่ต่างจากเทพเจ้า
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ทว่าโล่ปราณกำลังภายในสาดประกายริบหรี่ ทั้งยังถึงขั้นส่งกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นมา แต่ยังไม่ถึงขั้นถูกทำลาย
อานุภาพของสายฟ้าส่งผลให้รูนมืดกระจัดกระจายออกไป ฉินเฟิงกับจินห่าวเผยโฉมอีกครั้ง ทั้งสองปะทะกันอีกครา
จินห่าวฉีกหลบเลี่ยงอย่างรวดเร็ว เขาไม่แน่ใจว่าฉินเฟิงแข็งแกร่งระดับไหน แต่เขาปฏิบัติต่อฉินเฟิงอย่างเท่าเทียม เป็นผู้ใช้พลังเลเวล B เช่นเดียวกับตนเอง และในฐานะมือปืน เขาจะไม่ยอมปล่อยให้คู่ต่อสู้เข้าถึงตัว มิฉะนั้นอาวุธปืนจะไร้ประโยชน์
วู้มมม!
รังสีพลังงานเปล่งประกายตรงปากกระบอกปืน กวาดยิงอย่างบ้าคลั่ง
อย่างไรก็ตาม กระทั่งสิ่งเหล่านี้ ยังไม่สามารถทำร้ายฉินเฟิงได้
ในระหว่างที่การต่อสู้ดำเนินไปอย่างเข้มข้น จู่ๆฝีเท้าของจินห่าวกลับหยุดกึกลงอย่างกะทันหัน
เขาเผยรอยยิ้มขมขื่น เก็บปืนในมือกลับเข้าซอง
ฝูงชนโดยรอบบังเกิดความงงงวยสับสน
“ครบ 100 กระบวนท่าแล้ว”
จินห่าวกล่าวอย่างหมดหนทาง เขาใช้ออกครบทั้ง 100 กระบวนท่า แต่ฉินเฟิงกลับยังไม่ทันได้ใช้กระบวนท่ารุนแรงอะไรออกมาด้วยซ้ำ เรียกง่ายๆว่าอีกฝ่ายยังไม่เอาจริง แต่จินห่าวกลับไม่สามารถอาศัยโอกาสนั้นกุมจังหวะได้เปรียบแม้แต่น้อย
ยังไม่พอ ในการต่อสู้นี้ จินห่าวยิ่งสู้ยิ่งขาดทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นเพราะสองปืนของเขา กระสุนแต่ละนัดสั่งผลิตด้วยเม็ดเงินมหาศาล แค่สู้บนเวทีนี้เขาอาจเสียไปหลายพันล้านถึงหมื่นล้าน!
นี่แหละหนอข้อเสียของมือปืน
หลังจากได้ยินคำพูดของจินห่าว ฝูงชนโดยรอบถึงค่อยฉุกคิด ฉากต่อสู้ตระการตาในช่วงเวลาสั้นๆ จินห่าวก็สามารถระเบิดการโจมตีไปแล้วครบ 100 กระบวนท่า
“อา! แบบนี้ก็หมายความว่าเขาชนะใช่รึเปล่า? ยอดไปเลย!”
บางคนอุทานออกมา หลายคนรอบๆเขาเริ่มตอบสนอง ทุกคนส่งเสียงเชียร์ดังสนั่น กระทั่งผู้ใช้พลังเลเวล C ก็ปรบมือด้วยความตื่นเต้น
แต่ไม่นาน บางคนก็คล้ายตระหนักถึงบางอย่าง เอ่ยออกมาด้วยความสงสัย
“หือ? เดี๋ยวก่อน แบบนั้นไม่ถูกต้อง การประลองครั้งนี้ เงื่อนไขไม่ใช่ ‘รับมือฉินเฟิงให้ครบ 100 กระบวนท่า’ แต่เป็น ‘โค่นฉินเฟิงให้ได้ใน 100 กระบวนท่า’ ไม่ใช่หรอ”
“เอ๋? เอ้าจริงด้วย เขาแพ้นะเฮ้ย พวกนายจะยังโห่ร้องทำบ้าอะไร?”
“ก็การประลองนี้มันเข้มข้นดุเดือดซะขนาดนี้ พวกเรามัวแต่ดูจนลืมเงื่อนไขไปสนิทเลย ผู้การฉินคนนี้ เป็นปีศาจอย่างแท้จริง”
และเนื่องจากความสามารถที่แสดงออกมา ทำให้ผู้คนยิ่งรู้สึกว่าฉินเฟิงยากจะหยั่งถึง ดังนั้นกฏเกณฑ์ของการประลองจึงถูกลืมเลือนไปชั่วขณะ
เพราะหากจะให้พูดกันโดยทั่วไปแล้ว ปกติคนที่แข็งแกร่งมักจะเอ่ยในทำนองว่า ‘ถ้าเจ้าแน่จริง จงทานรับการโจมตีของข้าให้ได้สัก 100 กระบวนท่า!’ นี่เองจึงนำไปสู่ความคิดที่ว่า หากจินห่าวยืนหยัดครบ 100 กระบวนท่าได้ ก็ถือว่าผ่านเงื่อนไข
แต่ในความเป็นจริง สถานการณ์มันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
พลังสมาธิของจินห่าว ย่อมสามารถได้ยินถึงเสียงของผู้คนโดยรอบ แม้จะมีคนเอ่ยชม แต่ก็มีคนเอ่ยด่าเช่นกัน เจ้าตัวรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ยังยอมรับความพ่ายแพ้โดยดี เขาหันไปพยักหน้าให้ฉินเฟิง และกำลังเดินลงจากเวทีประลอง
แต่ในตอนนั้นเอง เสียงของฉินเฟิงได้ส่งผ่านพลังสมาธิไปหาเขา
“มิสเตอร์จิน ไม่ทราบว่าคุณสนใจเข้าร่วมกลุ่มเฟิงหลีของผมไหม? กลุ่มของเราส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นมือปืน และทางเรายินดีต้อนรับคนมีความสามารถเช่นคุณ”
จินห่าวฝีเท้าชะงักไปเล็กน้อย เขาคาดไม่ถึงว่าฉินเฟิงเอ่ยเรื่องนี้ออกมา
จินห่าวยอมรับว่าฉินเฟิงแข็งแกร่งมากก็จริง แต่ฉินเฟิงมิได้แข็งแกร่งถึงขั้นเดียวกับเลเวล A และปัจจุบันอีกฝ่ายยังไม่สามารถก้าวขึ้นสู่เลเวล B ได้ด้วยซ้ำ แต่กลับเอ่ยปากชักชวน ต้องการดึงตัวเขาเข้าร่วม?
แบบนี้มันจะไม่มั่นใจในตัวเองมากเกินไปหน่อยหรือ?
ฉินเฟิงย่อมเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย แต่เพราะเรื่องของต่างมิติ ทำให้เหอเล่อหมิงถูกฉินเฟิงผูกมัดเอาไว้ได้สำเร็จ ดังนั้นฉินเฟิงย่อมไม่รังเกียจ หากผูกมัดเพิ่มอีกคนหนึ่ง
“ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ งั้นเอาไว้หลังจากการประลองจบลง ผมอนุญาตให้คุณมีส่วนร่วมในการช่วยผมพัฒนาต่างมิติในครั้งนี้ และผมจะให้หุ้นแก่คุณ1%เป็นการตอบแทน แบบนี้เป็นอย่างไร?”
“ส่วนหลังจากนั้น ในอนาคตคุณต้องการจะเข้าร่วมกับเฟิงหลีหรือไม่ เอาไว้ค่อยตัดสินใจภายหลังก็ได้”
เงื่อนไขนี้ของฉินเฟิง ถือว่าล่อลวงใจได้มากเกินพอ!
เพราะจินห่าวมาที่นี่ เดิมทีก็เพื่อเข้าร่วมสำรวจช่องว่างมิติที่เกิดขึ้น ดังนั้นคำเชิญของฉินเฟิง เขาย่อมไม่มีทางปฏิเสธ
“ฉันจะลองเก็บไปคิดดู”
แม้จินห่าวจะรู้สึกสนใจในเงื่อนไขนี้ แต่หากคิดเข้าร่วมเขาเองก็มีราคาที่ต้องจ่ายไปเช่นกัน ดังนั้นขอคิดดูให้ดีก่อน
ทั้งสองสื่อสารผ่านพลังสมาธิอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่กี่วินาที ก็แลกเปลี่ยนหมายเลขสื่อสารกัน
ในขณะที่เลเวล B คนอื่นๆ เมื่อเห็นฉากนี้ ในหัวใจเริ่มสั่นไหว
‘เด็กฉินเฟิงคนนี้ ถึงปากจะบอกว่าคนที่โค่นเขาได้จะได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์จากต่างมิติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือการทดสอบคัดเลือกของเขา แค่สามารถยืนหยัดรับมือเขาได้ครบ 100 กระบวนท่าก็พอ ถ้าเป็นแบบนั้นฉันเองก็น่าจะมีโอกาสเหมือนกัน!’
‘ในเมื่อเป็นแบบนี้ นั่นหมายความว่ายิ่งลงไปบนเวทีเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เรายังจะรอให้คนอื่นไปก่อนอีกหรือ?’
‘ชิ้นเค้กน่ากินแบบนี้ มัวแต่รอจนคนอื่นเข้ามาแก่งแย่งมันไปคงน่าเสียดาย!’
ทุกคนต่างบังเกิดความคิดขึ้นในใจของตัวเอง
ดังนั้นหลังจากที่จินห่าวจากไป หลายคนพลันกระโจนดั่งสายฟ้าฟาด พริบตาเดียว บนเวทีประลองปรากฏกว่า 5 คนขึ้นอย่างกะทันหัน
ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดาทั้ง 5 คนนี้ มี 4 คนที่เคยมาประชุมในป้อมลาวาเดือดครั้งก่อน
ดวงตาของฉินเฟิง สาดประกายคมชัดรุนแรง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พวกนายถอยไปเลย เห็นอยู่ชัดๆว่าเท้าฉันแตะพื้นเวทีเป็นคนแรก!”
หนึ่งในนั้นหัวเราะเสียงดัง
“ไม่ใช่ ฉันไวกว่านายเสี้ยววิหนึ่ง!”
“ต่างกันแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง มาวัดกันอีกสักรอบไหม?”
เลเวล B คนอื่นๆเมื่อเห็นฉากนี้ ทั้งหมดถึงกับพูดไม่ออก
คนเหล่านี้ ตกลงว่ามาเพื่อมีส่วนร่วมในต่างมิติ หรือว่ามากัดกันเองกันแน่?
ในขณะที่เลเวล B คนอื่นๆกำลังพิจารณาว่าจะลงไปต่อคิวด้วยดีหรือไม่ บนจัตุรัส เสียงของฉินเฟิงได้ดังก้องขึ้น
“ไม่ต้องลำบากหรอก พวกคุณทั้งห้าคน เข้ามาพร้อมๆกันนั่นแหละ!”
จากเดิมทีทั้งห้ากำลังกัดกันแย่งชิงว่าใครจะได้สู้เป็นคนแรก พอได้ยินคำพูดของฉินเฟิง พวกเขาพลันรู้สึกว่าหูฝาดไป
เมื่อกี้มันว่าอะไรนะ?
“ฉินเฟิง คุณบอกว่าให้พวกเราสู้พร้อมกันเลยงั้นหรอ?”
ฉินเฟิงพยักหน้า “เมื่อสามวันก่อน ผมก็บอกพวกคุณไปแล้วนี่ว่า …”
ทั้งห้าผงะตกใจ เฝ้ารอคำพูดต่อไปของฉินเฟิง แต่ในหัวใจกลับบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี ว่าประโยคต่อมาต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
มุมปากของฉินเฟิงยกยิ้ม ประดับไว้ด้วยร่องรอยประชดประชัน
“ว่าพวกคุณมันแค่ขยะ! เข้ามาพร้อมกันทั้งหมดทีเดียวนั่นแหละ!”
เมื่อได้ยิน ความโกรธของทั้งห้าลุกโชนขึ้นทันใด
“ฉินเฟิง แส่หาที่ตาย!”
ความเกลียดชังทั้งเก่าใหม่ปะทุเดือด ความโกรธที่แต่เดิมเคยถูกระงับ บัดนี้ลุกไหม้ออกมาเต็มที่
“กระบวนท่าวรยุทธ : ดาบไฟคลั่ง!”
อีกฝ่ายชักอาวุธประจำกายตนออกมา ง้างฟาดเข้าใส่ฉินเฟิง รังสีแสงสีแดงลุกไหม้สะท้อนกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว
ตรงกันข้ามกับใบหน้าของฉินเฟิง มันเยียบเย็นปานน้ำแข็ง กำลังภายในจากกายเขาปะทุโหม กวาดม้วนรอบทิศทางดั่งพายุเฮอริเคน ปากอ้าขยับอย่างไร้สรรพเสียง–
–ทักษะลับกลืนดารา!