โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 69
Ch.69 – กองทัพซากศพ
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.69 – กองทัพซากศพ
เห็นได้ชัดว่าภาพวิดีโอนี้ถูกถ่ายโดยอากาศยานไร้คนขับ(โดรน) มันเป็นภูเขาขนาดใหญ่หลายแห่ง ซึ่งเดิมที ในช่วงปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ร่วง มันสมควรมีพืชพรรณหนาแน่น อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางของภูเขาเหล่านั้น สภาพแวดล้อมในปัจจุบันกลับกลายเป็นมืดมน ผืนดินแห้งแล้งสีดำสนิท ต้นไม้เหี่ยวเฉา ต้นหญ้ากลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม
นอกจากนี้ ทัศนียภาพบนภูเขาดังกล่าว ยังน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง!
-มันเต็มไปด้วยซากศพเน่าเปื่อย
ไม่เพียงแค่นั้น แต่ดูเหมือนว่าซากศพเน่าเปื่อยเหล่านี้ยังคงสามารถเคลื่อนไหวได้ และกำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างขมักเขม้น ก่อร้างสร้างเมืองขึ้นอย่างกระทันหัน!
เมื่อโดรนเข้าไปใกล้ใจกลางของภูเขา ในวิดีโอของมัน ก็ปรากฏร่างของอัศวินดำบนหลังม้าโครงกระดูกยืนอยู่บนยอดเขา กะโหลกของมันยกเสยขึ้น เผยให้เห็นถึงเพลิงวิญญาณที่ลุกโชนอยู่ในแววตา
จังหวะต่อมา หอกในมือของมันก็ถูกเหวี่ยงออก ปลายแหลมพุ่งทะลวงใส่กล้องวิดีโอ แทงเข้ามาประชิดสายตาของทุกผู้คนที่กำลังรับชม
และแล้ว ภาพวิดีโอทั้งหมดก็กลายเป็นสีดำ
“กรี๊ด!”
บางคนที่มีจิตใจไม่มั่นคง เผลอกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ และจำต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเลย ถึงจะตระหนักได้ว่าหอกเมื่อครู่มิใช่จ้วงใส่ตนเอง หากแต่ทิ่มแทงเข้าใส่โดรน!
นักเรียนใหม่ในหอประชุมต่างถอนหายใจโล่งอก รู้สึกว่าตนได้รับชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง
เบื้องหน้าพวกเขาเมื่อครู่นี้ คือการดำรงอยู่ชนิดใดกันหนอ? เหตุใดถึงได้ดูแข็งแกร่งมากมายถึงเพียงนี้
ระหว่างที่หลายคนกำลังตกใจ สีหน้าของฉินเฟิงกลับหม่นทะมึนลง
นั่นเพราะเขาพบว่า ภูเขาที่เต็มไปด้วยซากศพเคลื่อนไหวในภาพ มันคือสถานที่ซึ่งศิลานรกเคยร่วงตกลงมา!
ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมเด็กๆในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าถึงติดเชื้อจากรูนมืดเมื่อเร็วๆนี้
ถึงแม้ว่าจะไม่มีศิลานรกอยู่แล้ว แต่สถานที่ชุมชนก็ยังคงถูกภัยพิบัติคุกคามเช่นเดียวกับในชีวิตก่อนหน้า แต่คราวนี้มันมิใช่ซากสัตว์ร้ายเน่าเปื่อย หากแต่เป็นกองทัพซากศพที่ดูมีระเบียบและทำงานกันเป็นระบบอย่างสมบูรณ์!
‘อัศวินโครงกระดูกในภาพ แน่นอนว่ามันมีความแข็งแกร่งในเลเวล F แถมยังมีความแข็งแกร่งถึงระดับราชันย์สัตว์ร้าย!’
ฉินเฟิงคิดในจิตใจของเขา
เสียงของเติ้งเหนียนดังขึ้นอีกครั้ง “ตอนนี้ทางสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือของเราต้องการกองกำลังทั้งหมดเพื่อร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรูในภาพนี้ นักเรียนทุกคนในชั้นปีที่สองและสามที่ได้รับการรับรองว่าเป็นผู้ใช้พลังในเลเวล G หรือสูงกว่า ทั้งหมดจะต้องร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ .. ”
“เอาล่ะ หมดเรื่องแล้ว การประชุมประจำปีของสถาบันระดับสูงที่หกสิบเก้าก็จบลงเพียงเท่านี้ เลิกประชุมได้!”
นักเรียนทุกคนที่แต่เดิมตื่นเต้น ใบหน้าฟุ้งไปด้วยรอยยิ้มของความสุขในวันแรกที่ได้เริ่มเรียน ในเวลานี้ สีหน้าของทุกคนกลับมืดหม่นและเห็นถึงร่องรอยของความหวาดกลัว
เฉิงเฉาส่ายหัวอย่างหมดหนทาง “ดูเหมือนว่าพวกเขาทุกคนกำลังหวาดกลัว ว่าแต่ทำไมผู้อำนวยการถึงไม่ฉายสารคดีเหมือนปีที่แล้วกันนะ?”
ถึงแม้สารคดีจะน่ากลัว แต่ไม่ก็น่าสยองขวัญเท่ากับภาพวิดีโอจากโดรนในครั้งนี้
นี่มันคือการบ่งบอกกลายๆว่า : อย่าคิดเชียวล่ะ ว่าต่อให้พวกเธอเข้าสู่สถาบันระดับสูง แล้วพวกเธอจะยังสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขในสถานที่ชุมชนได้ เพราะนั่นไม่แตกต่างไปจากคนมีความสามารถ แต่กลับหัวหด หมกตัวไม่กล้าออกไปไหนตลอดชีวิต
ตรงกันข้าม สถาบันระดับสูงยิ่งสนับสนุนให้มีการต่อสู้ ชนิดที่เรียกได้เลยว่าอาจถึงขั้นล้างสมองนักเรียน!
มิฉะนั้นแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่หลี่เหยาเหยากับคนอื่นๆจะร่วมทีมกัน และออกไปสู้ในทุ่งล่า?
ระหว่างกำลังขบคิด รู้สึกตัวอีกที เฉิงเฉาก็พบว่าฉินเฟิงได้มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว
“อาจารย์เฉิง ผมต้องการเข้าร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วยครับ!” ฉินเฟิงกล่าว
เฉิงเฉาชะงักไป เขาคิดว่าตัวเองหูฝาด
“ฉินเฟิง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะหุนหันพลันแล่นนะ เธอต้องตั้งใจเรียนอย่างหนัก ถึงจะสามารถเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ได้ในภายหลัง นอกจากนี้ เธอเองก็ไม่ใช่หน่วยแพทย์ ดังนั้นไม่มีทางเข้าร่วมได้หรอก!”
ฉินเฟิงคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “แต่ฟังจากที่ผู้อำนวยการพูด ขอแค่มีโลโกผู้ใช้พลังเลเวล G ก็น่าจะเพียงพอแล้วใช่ไหมครับ?”
เฉิงเฉาที่ถูกถามนิ่งงันไปทันที
“ในทางทฤษฏีก็ใช่ แต่ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเธอ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องยาก!”
ฉินเฟิงไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมอีก เขาถอยหลังกลับไป เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆของเขา มองฉินเฟิงราวกับเป็นคนโง่
จู่ๆก็จะเข้าร่วมปฏิบัติการปราบปรามกองทัพซากศพอย่างกระทันหัน? อาศัยเพียงความแข็งแกร่งของเขาเนี่ยนะ? ช่างเป็นคนที่ดื่มด่ำ เพ้อฝันอยู่แต่กับจินตนาการซะจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ฉินเฟิงไม่ใส่ใจสายตารอบข้าง เขาก้มหน้าลง และเปิดอุปกรณ์สื่อสารโทรหาโจวฮ่าว
“นายอยากจะเข้าร่วมปฏิบัตการบุกโจมตีกองทัพซากศพรึเปล่า?”
“เพ้ย! แน่นอนอยู่แล้วว่าฉันต้องการ!” เมื่อถูกถาม โจวฮ่าวก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นกลัวเลย เขาตอบกลับทันที นั่นเพราะวัตถุประสงค์ของการฝึกหนักคืออะไร? มันคือการออกไปต่อสู้จริงๆไม่ใช่หรอกหรือ?
ฉินเฟิงเองก็ต้องการที่จะเข้าร่วม แต่ในเวลานี้ มันมีอุปสรรคมากเกินไป ทว่าในตอนนั้นเอง เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“หือ? นายมีความคิดดีๆแล้วงั้นหรอ?”
“ใช่ ฟังนะ ฉันขอไปเตรียมตัวก่อน แล้วเดี๋ยววันพรุ่งนี้ตอนเย็นค่อยว่ากัน!”
“ตกลง”
โจวฮ่าวตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
หลังจากสิ้นสุดการประชุม วันแรกของการศึกษาก็จบลงด้วยเช่นกัน ฉินเฟิงกลับไปที่บ้าน รีบกินข้าวเย็น แล้วกระโจนลงทิ้งตัวบนที่นอน ผล็อยหลับไป
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉินเฟิงจำเป็นต้องพักผ่อน เนื่องจากในค่ำคืนนี้ ยังมีการต่อสู้ที่ยากลำบากรอคอยเขาอยู่
…
เมื่อถึงเวลา 4 ทุ่มตรง ฉินเฟิงก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในคลับอินทรี ไม่เพียงแค่นั้น แต่คราวนี้ไป๋หลีก็ยังตามมาด้วยในรูปลักษณ์ของมนุษย์
ไม่ว่าไป๋หลีจะไปที่ใด สรรพเสียงรอบข้างจะกลายเป็นเงียบงัน ทุกผู้คนต่างจ้องมองใบหน้าของเธอด้วยความตกตะลึงจนสูญสิ้นน้ำเสียง
ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขอ “ใส่แว่นกันแดดเถอะ!”
“นี่มันกลางคืนนะ ไม่ใช่ว่าแว่นกันแดด มีไว้กันแสงหรอกหรอ?” ไป๋หลีกล่าวด้วยความงุนงง
ฉินเฟิงเงียบไป นี่เขาต้องการจะบอกมันว่าเขาไม่ชอบให้คนอื่นมองมาที่มันอย่างงั้นหรอ?
“เชื่อฉันเถอะน่า!”
ฉินเฟิงแตะหัวของไป๋หลี ไป๋หลีจือปากเล็กน้อย สุดท้ายยอมทำตามเขา สวมแว่นกันแดดแต่โดยดี
ทว่าในเวลานั้นเอง ทั้งสองไม่ทราบเลย ว่าได้มีใครคนหนึ่งเฝ้ามองดูพวกเขาอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
บุคคลที่ว่าไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเจียงเส้าหยาง ที่นั่งอยู่ในห้องผู้จัดการทั่วไป
ในตอนแรกที่ฉินเฟิงเข้ามายังคลับอินทรี ใครบางคนได้แจ้งต่อเจียงเส้าหยาง และในตึกของคลับอินทรีก็เต็มไปด้วยกล้องวงจรปิด เพียงแค่สั่งการ ก็สามารถมองเห็นได้ทุกตำแหน่ง พริบตาที่เห็นใบหน้าของไป๋หลี ทั้งคนทั้งร่างของเจียงเส้าหยางก็สั่นสะท้าน ตะลึงงันจนสติแทบจะหลุดลอยไป!
แต่ความตกตะลึงก็ถูกความริษยาและโกรธแค้นเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงสัมผัสมือลงบนหัวของไป๋หลี ในหัวใจคล้ายกับรู้สึกราวกับว่าทรัพย์สินของตนกำลังถูกรุกราน
ท่านอ่านไม่ผิด ถูกต้องแล้ว ในเวลานี้ เจียงเส้าหยางได้เห็นว่าไป๋หลีกลายเป็นผู้หญิงของเขาไปเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากในวันนี้ อย่างไรฉินเฟิงก็ต้องตาย!
“เตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้วรึยัง?” เสียงของเจียงเส้าหยางที่เปล่งออกมาราวกับปีศาจร้าย เพียงขยับปากก็คล้ายเห็นถึงคมเขี้ยว
“ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ตราบใดที่จิ้งจอกคลั่งขึ้นไปบนเวที เขาจะไม่มีทางรอดชีวิตลงมาได้อีกต่อไป!”
ชายอีกคนกล่าวย้ำด้วยความั่นใจ
ณ เวลา 5 ทุ่มตรง ในที่สุดฉินเฟิงก็ได้ก้าวขึ้นสู่เวทีประลอง
คลับอินทรีมักจะจัดการประลองขึ้นหลายครั้งในค่ำคืนเดียว ดังนั้นเลยเป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงจะไม่ได้ขึ้นเวทีในทันที
หลายคนที่นี่ยังคงเป็นผู้ชมของเมื่อวาน เกือบทั้งหมดเลือกที่จะมาในวันนี้ เพราะฉินเฟิงสัญญาว่าจะกลับมา ดังนั้นหลายคนเลยไม่ยินยอมที่จะพลาดรับชมการต่อสู้ของเขา
สามารถคว้าชัยชนะติดต่อกันได้ถึงห้าครั้ง มันเป็นอะไรที่ยากมาก และหลายคนก็เลือกที่จะยอมแพ้กันในรอบที่หก
ทว่าฉินเฟิงกลับโค่นจอมหักกระดูกที่สามารถคว้าชัยชนะมากว่าเจ็ดครั้งลงได้ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ต้องน่าตื่นเต้นอย่างแน่นอน
ไม่นานนัก เสียงของพิธีกรก็ดังขึ้น
【บุคคลต่อไปที่จะปรากฏกายเป็นหน้าใหม่ของพวกเรา แต่บางท่านน่าจะคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี มิใช่ใครอื่น!! เขาคนนั้นคือจิ้งจอกคลั่ง ผู้ที่สามารถชนะติดต่อไปถึงห้ารอบ!! และในวันนี้ เขาจะสามารถคว้าชัยชนะนัดที่หกติดต่อกันได้อีกหรือไม่? พวกเรามาดูไปพร้อมกันเถอะ!】
คู่ต่อสู้คราวนี้ของฉินเฟิง คือผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล G7
อัตราเดิมพันระหว่างทั้งสองอยู่ที่ครึ่งต่อครึ่ง มันไม่ได้สูงมากนัก แต่ในความเป็นจริง ภายใต้การกระตุ้นของพิธีกร จึงมีคนจำนวนมากเดิมพันว่าผู้ท้าชิงจะสามารถคว้าชัยชนะ และคลับอินทรีก็สามารถทำเงินจากมันได้อีกครั้ง
ส่วนฉินเฟิงก็สามารถโค่นฝ่ายตรงข้ามลงได้อย่างง่ายดาย
หลังจากนั้นศัตรูก็เป็นเลเวล G8 และG9 อีกสองคน
แม้จะคว้าชัยชนะมาได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยิ่งนาน คิ้วของฉินเฟิงยิ่งบังเกิดรอยยับย่น
‘นี่มันง่ายเกินไป!’
ความรู้สึกว่าจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล ฟุ้งไปทั่วจิตใจของฉินเฟิง