โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 72
Ch.72 – ออกสู่ทุ่งล่า
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.72 – ออกสู่ทุ่งล่า
ด้วยพลังเทเลพอร์ตของไป๋หลี ทำให้ฉินเฟิงสามารถกลับมาถึงบ้านของเขาในสวนชิงหู ได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที
เมื่อก้าวเข้ามาในบ้าน ฉินเฟิงทิ้งตัว นั่งขาขวาทับซ้าย มุ่งเน้นสมาธิเข้าสู่ตันเถียนทันที
ในความเป็นจริงแล้ว สถานการณ์ของวันนี้ดีกว่ามากหากเทียบกับเมื่อวาน แม้ว่ากำลังภายในเหล่านี้ ส่วนหนึ่งจะยุ่งเหยิง แต่ฉินเฟิงเองก็มี 62 เส้นไหมกำลังภายในที่หนาแน่น แข็งแกร่ง และทรงประสิทธิภาพอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นกำลังภายในใหม่ที่ยุ่งเหยิงเหล่านี้ จึงไม่สามารถข่มกำลังภายในดั้งเดิมได้
อย่างไรก็ตาม ปริมาณกำลังภายในที่ตันเถียนรองรับได้ ในตอนนี้มันมีมากเกินไป ฉินเฟิงจึงรู้สึกราวกับว่าตันเถียนกำลังจะระเบิดออก
“จงดูดกลืน!”
ฉินเฟิงเร่งเคลื่อนย้ายสินสงครามที่เก็บเกี่ยวมาได้ในวันนี้
ศัตรูทั้งห้าคนบนเวทีประลอง มอบกำลังภายในให้แก่ฉินเฟิงทั้งสิ้น 51 เส้นไหม บางคนเขาไม่ได้ฆ่าก็จริง แต่จากนี้ไปคงมิแคล้วต้องกลายเป็นคนพิการ
แต่สิ่งที่น่าผวายิ่งกว่านั้นก็คือ กำลังภายในของเจียงเส้าอย่าง ซึ่งมีมากถึง 63 !
หลังจากปลดปล่อยพลังพิเศษดูดกลืน กำลังภายในเหล่านั้นก็ค่อยๆถูกย่อย ไหลผ่านเส้นลมปราณ เสริมสร้างความแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ต่อมา กำลังภายในที่ถูกควบรวมก็กลายเป็นบริสุทธิ์ ถูกส่งกลับมายังตันเถียน
เส้นไหมกำลังภายในดั้งเดิมที่มากถึง 62 ของฉินเฟิง เริ่มไต่จำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
73 … 86 … 99 …
เส้นไหมที่หนาและทรงพลังแพร่กระจาย แทบจะปกคลุมไปทั่วทั้งตันเถียน พวกมันอัดแน่นจนเกือบจะขยับไปไหนไม่ได้
แม้จะน่าเสียดาย ที่ยังมีกำลังภายในบางส่วนยังถูกส่งกลับมาไม่ครบ แต่ตันเถียนไม่อาจทานรับไหวอีกต่อไปแล้ว
“ทักษะลับกลืนดารา!”
ฉินเฟิงมุ่งเน้นสมาธิ ตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยทักษะลับกลืนดารา
ตูม!
ภายในตันเถียน เกิดเสียงอึงอลราวกับมีการระเบิดขึ้น
พื้นที่ในตันเถียน พลันขยายตัวจนถึงขีดสุด สามารถรองรับกำลังภายในได้มากกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน เส้นไหมกำลังภายในทั้งหมดก็แตกสลายลง!
ต่อมา กำลังภายในก็เริ่มควบรวมกันเป็นหมอก!
ฉินเฟิงหลับตาลง บนหน้าผากเขามีควันผุดออกมา ลอยขึ้นไปในแนวตั้ง แรงกดดันพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างกระทันหัน
หากผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล G มีรูปแบบกำลังภายในเป็นเส้นไหม
ในส่วนของผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F ก็จะมีกำลังภายในในรูปแบบหมอก!
ช่วงเวลานี้เอง ฉินเฟิงได้รับการเลื่อนขั้นจากเลเวล G กลายเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล F แล้ว!
“ฟิ้ว … ”
ฉินเฟิงพ่นลมหายใจคำหนึ่ง
เขาลืมตาขึ้น ในคู่ดวงตาสาดประกายสุกใส
ณ จุดนี้ เขาดื่มด่ำไปกับความรู้สึกที่ว่าตนแข็งแกร่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกนี้ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะท้ายที่สุดแล้ว ก่อนจะเกิดใหม่ ฉินเฟิงเคยไปถึงเลเวล A มาก่อน อะไรที่เคยได้ครอบครองมาครั้งหนึ่ง ความน่าสนใจย่อมน้อยลงเป็นธรรมดา
สภาวะจิตใจของฉินเฟิงค่อยๆสงบลง ยังไงก็ตาม เมื่อเริ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น สักพักเขาก็ต้องขมวดคิ้ว
หากกล่าวว่าการที่ฉินเฟิงสังหารยามของคลับอินทรีทั้งห้าคนเมื่อวานนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต งั้นวันนี้คงตรงกันข้าม มันจะต้องมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอน!
เพราะเมื่อคนของคลับค้นพบว่าเจียงเส้าหยางหายตัวไป ในไม่ช้า พวกเขาคงจะสาวมาถึงฉินเฟิง ถึงตอนนั้นน่ากลัวว่าฉินเฟิงคงมิแคล้วถูกเพ่งเล็งเป็นเป้าสังหาร
เพียงลองคาดเดาถึงผลลัพธ์ที่ตามมา มองยังไงก็เป็นปัญหา!
ฉินเฟิงครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะยกมือขึ้นเปิดอุปกรณ์สื่อสาร โทรหาคนๆหนึ่ง
…
ซูซิงฝูสะดุ้งตื่น ดวงตาของเขางัวเงีย ถูกปลุกด้วยเสียงของอุปกรณ์สื่อสาร หากเป็นปกติเขาคงกดปิดไปแล้ว ทว่าเสียงเรียกเข้าที่โทรมา มันดันเป็นเสียงที่แตกต่างจากคนอื่น ที่เขาตั้งไว้เป็นพิเศษเนี่ยสิ
เชาเงยหน้าขึ้นไปมองดูเวลา และพบว่าจริงๆแล้วมันคือตีสอง
“สามี ใครโทรมาหรอ?”
“ไม่มีอะไรหรอก คุณนอนต่อเถอะ”
ซูซิงฝูไม่ทีทางเลือกนอกจากรับโทรศัพท์ เขาก้มลงจูบภรรยา และลุกออกจากห้องนอนไป
“น้องชาย นี่มันดึกแล้วนา มีเรื่องอะไรงั้นหรอ?”
ไม่ว่าจะเป็นตอนกลางคืนหรือตอนเช้า เจ้าหนูฉินเฟิงนี่เปี่ยมไปด้วยพลังงานเสมอเลยจริงๆ
“ขอโทษครับ แต่ผมมีข่าวบางอย่างจะขายให้กับคุณ!” ฉินเฟิงกล่าว “และมันสมควรที่จะเป็นข่าวดีซะด้วย”
ซูซิงฝูสลัดความงัวเงียไปสิ้น เมื่อย้อนคิดไปว่า ข่าวครั้งก่อนของฉินเฟิง คือการตายของเหอหลี
แล้วคราวนี้ ผู้โชคร้ายคนต่อมาจะเป็นใครกันหนอ?
แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ซูซิงฝูก็ยังตื่นเต้น
“รอก่อนนะ ฉันจะออกไปหาเธอเดี๋ยวนี้ล่ะ! ถึงที่นั่นแล้วค่อยคุยกันต่อ”
เป็นธรรมดาที่บางอย่างไม่สมควรจะเอ่ยผ่านอุปกรณ์สื่อสาร ซูซิงฝูวางสาย สวมเสื้อผ้าสบายๆ แล้วมุ่งหน้าไปยังสวนชิงหู
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูซิงฝูนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านเก่าเขา รับฟังข่าวของฉินเฟิง พอได้ยินเขาก็รู้สึกว่าหูตัวเองคงฝาดไป
“ไหนเธอลองพูดอีกครั้งซิ เธอเพิ่งพูดว่าใครนะ? เจียงเส้าหยาง? เธอฆ่าเจียงเส้าหยางไปแล้วงั้นหรอ?”
“ใช่แล้ว แต่พวกเขาไม่น่าจะยังรู้ว่าเจียงเส้าหยางตาย และไม่มีหลักฐานใดๆที่พิสูจน์ว่าผมเป็นคนฆ่า แต่พวกเขาอาจจะตระหนักได้แล้วว่าผมสามารถสร้างปัญหาให้แก่พวกเขาได้”
ฉินเฟิงหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ เผยท่าทีปลอดโปร่ง ไม่เหมือนกับว่ากำลังพูดเรื่องน่าหวาดกลัวเช่นนี้อยู่เลย
ซูซิงฝูเห็นว่าฉินเฟิงเหมือจะไม่ได้ล้อเล่น แต่คราวนี้เขาไม่สามารถนั่งนิ่งๆได้จริงๆ
“ฉันเชื่อนะที่เธอบอกว่าตัวเองสามารถฆ่าเหอหลีได้ แต่ถ้าเธอบอกว่าตัวเองฆ่าเจียงเส้าหยาง ฉันคงทำใจเชื่อไม่ได้จริงๆ เพราะถึงแม้ว่าเจียงเส้าหยางจะเป็นขยะ แต่เขาก็ยังเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F7 !”
ฉินเฟิงเห็นว่าอีกฝ่ายดูท่ายังไม่ก็ไม่ยอมเชื่อแน่ๆ ดังนั้นตนจึงหยิบเอาลูกประคำสีเงินออกมา
“คืออุปกรณ์รูนมิติของเจียงเส้าหยาง ผมไม่ได้ยุ่งอะไรกับมันเลย คุณสามารถตรวจสอบดูได้!”
พื้นที่มิติของเจียงเส้าหยางนั้นเล็กกว่าของเหอหลี มันมีพื้นที่เพียงหนึ่งตารางเมตรเท่านั้น ทว่าภายในกลับเก็บสิ่งของเอาไว้มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นอาวุธปืน , อุปกรณ์รูนสีฟ้าและม่วง , ยาพิษจำนวนมาก และบัตรสีดำหนึ่งใบที่ไม่ระบุเครื่องหมาย
ภายในบัตรดำ มีเงินประมาณ 50 ล้านเหรียญบรรจุอยู่ เงินนี่เดิมทีคือเงินรางวัลจากการต่อสู้บนเวทีประลองใต้ดินของฉินเฟิง ที่เขาเลือกจะทิ้งมันไปแล้วตอนหลบหนีออกจากคลับ ไม่คิดเลยว่าเจียงเส้าหยางจะพกมันมาด้วย
สำหรับส่วนที่เหลือ ฉินเฟิงไม่สนใจ เห็นได้ชัดว่าเจียงเส้าหยางไม่ได้เก่งกาจในด้านการต่อสู้ อุปกรณ์รูนที่เขาครอบครองจึงล้วนเป็นแบบมาตรฐาน มิใช่สั่งทำเป็นพิเศษ ชัดเจนว่าเขาไม่มีความสนใจใดๆกับเรื่องนี้ ดังนั้นฉินเฟิงมอบมันต่อให้แก่ซูซิงฝูทั้งหมด
ซูซิงฝูดูอุปกรณ์รูนมิติ เมื่อต้องต่อสู้กับคนของรองผู้ว่าการมาหลายปี ดังนั้นเขาย่อมคุ้นเคยกับผู้ใช้พลังของรองผู้ว่าการเป็นอย่างดี แล้วเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนี้คือของใคร?
ซูซิงฝูสั่นสะท้าน เลือดลมของเขาพลุ่งพล่านขึ้นสมอง จับจ้องมาทางฉินเฟิงด้วยความตื่นเต้น
“ไอ้เด็กมหัศจรรย์! เธอดันไปทำเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว!” ซูซิงฝูอุทาน เขาผุดลุกขึ้นเดินวนไปวนมา ขบคิดถึงเรื่องราวต่างๆในจิตใจ และในไม่ช้า เขาก็ตระหนักได้ถึงประเด็นสำคัญที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้
“สำหรับหลินเซิง เธอไม่ต้องกลัวเขา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นรองผู้ว่าการ แต่อิทธิพลในมือก็เทียบไม่ได้กับผู้ว่าการเจิ้ง แถมปัจจุบันเขาก็ยังไม่อยู่ในเมือง แต่ถูกส่งไปปราบปรามกองทัพซากศพ!”
ฉินเฟิงขมวดคิ้ว “เขาเองก็ถูกส่งเข้าสู่ทุ่งล่าอย่างงั้นหรือครับ?”
“ฉันไม่แน่ใจว่าเธอรู้เรื่องนี้รึเปล่า ว่านอกเมืองเฉิงหยางน่ะจู่ๆก็ปรากฏกองทัพซากศพจำนวนมากขึ้นอย่างกระทันหัน แถมตัวหัวหน้ามันยังเป็นการดำรงอยู่ของสัตว์ร้ายระดับราชันย์ในเลเวล F ดังนั้น ตอนนี้ทั้งสี่หัวเมือง และเมืองเฉิงหยางเลยจัดการส่งผู้ใช้พลังในเลเวล E ออกไปปราบปราม!”
“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ผมรู้” ฉินเฟิงพยักหน้า
การดำรงอยู่ของสัตว์ร้ายระดับราชันย์ หากเทียบเปรียบกับมนุษย์ในระดับเดียวกัน มันจำเป็นต้องใช้ผู้คนจำนวนมากรุมปิดล้อม จึงจะกวาดล้างและคว้าชัยชนะมาได้ แต่ก็ต้องเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นนับไม่ถ้วน
ดังนั้น เพื่อให้บรรลุซึ่งชัยชนะ โดยเกิดการสูญเสียน้อยที่สุด มนุษย์จึงต้องปล่อยให้ผู้ที่แข็งแกร่งออกไปลงมือ
ผู้ใช้พลังในเลเวล E ต่อกรกับราชันย์สัตว์ร้ายในเลเวล F -ผลลัพธ์สุดที่จะคาดเดาจริงๆ
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมไป๋หลีถึงสามารถสังหารเจียงเส้าหยางได้อย่างง่ายดายในวันนี้
อย่างไรก็ตาม หากหลินเซิงเข้าไปในทุ่งล่าแล้ว ขณะเดียวกันฉินเฟิงก็กำลังจะไปที่นั่นเช่นกัน หลังจากทั้งหมดนี้ มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับหลินเซิงหรอกหรือ?
แต่เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉินเฟิงก็ละความสนใจจากมันในทันที
เพราะตราบใดที่คนของรองผู้ว่าการยังไม่มั่นใจว่าเจียงเส้าหยางถูกตนเองฆ่า หลินเซิงย่อมไม่เพ่งเล็งมาทางฉินเฟิง
อีกอย่าง ผู้ใช้วรยุทธโบราณที่เพิ่งตื่นขึ้นเพียงหนึ่งเดือน สำหรับหลินเซิงแล้ว มันก็เหมือนกับทารกที่เพิ่งหัดคลานเท่านั้น
ในเวลานี้ ตราบใดที่ฉินเฟิงไม่ทำตัวเตะตาหลินเซิงมากจนเกินไป หลินเซิงก็จะไม่เข้ามาวุ่นวายใดๆกับเขาในทุ่งล่าอย่างแน่นอน