โรมโบราณ: จากนายทาสสู่มหาจักรพรรดิ์ - ตอนที่ 142
ตอนที่ 142 – ลั่นระฆังงานศพของสุละ
*ก่อนจะอ่านนิยาย โปรดตรวจสอบว่าท่านได้อยู่ในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอ หรือถ้าท่านอ่านในความมืดก็อย่าลืมเปิด Night Mode หรือจอส้ม เพื่อป้องกันการปวดหัวและสายตาสั้นด้วยนะครับ*
“เวรเอ้ย…”
“พวกมันเข้าเมืองไปแล้ว!!”
ขณะที่รุ่งอรุณใกล้มาถึง ทหารของตระกูลสุละก็ยังคงไล่ตามพวกฟิลิปกับชาวเมืองไปแต่พวกเขาก็ได้หนีเข้าโรมไปอย่างหวุดหวิด. นายน้อยทั้งสองแห่งสุละก็เริ่มตกที่นั่งลําบาก
“พวกมันไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาๆแน่ มันต้องมีนักรบที่แข็งแกร่งซ่อนอยู่ด้วยแน่นอน!”
“เหมือนว่าพวกเรากําลังอยู่ในกระดานหมากเลย. ต้องมีใครซักคนวางกับดักไว้แน่ แล้วเราก็ดันซวยไปติดกับซะนี่!”
นายน้อยทั้งสองแห่งสุละสิ้นหวังสุดขีดขณะที่คิดว่าเรื่องนี้คงบานปลายไปแน่ๆ
คงจะถึงเวลาที่ต้องขอความช่วยเหลือจากตระกูลพวกเขาแล้ว
“ฮ่าฮ่า…สมน้ําหน้าไอ้พวกสละเวร! พวกเรากลับมาได้แล้ว เรากลับมาถึงโรมแล้ว พวกเจ้ากล้าฆ่าเรากลางเมืองโรมมั้ยล่ะ!”
“เข้ามาดิ เจ้าสละเวร, ฮ่าฮ่า….พวกเจ้าไล่เรามาตลอดทาง, พยายามปล้นเหมืองของเราโดยฆ่าชาวเมืองไปหลายคน นี่น่ะหรอสิ่งที่คนชั้นสูงเขาทํากัน? ถ้าอย่างงั้นพวกเจ้าก็ไปสู้กับพันธมิตรอิตาลีด้วยตัวเองสิ ข้าอยากให้ลูกชายข้ากลับมาจากสนามรบแล้ว…”
“ใช่…พวกเราชาวเมืองนี่แหละที่เป็นคนสู้กับศัตรูอย่างห้าวหาญ ขณะที่พวกเจ้าพยายามปล้นของของเราและฆ่าล้างบางเรา ถ้าชนชั้นสูงแห่งโรมเป็นเช่นนี้หมดล่ะก็ ข้าก็คิดว่าเราก็ไม่จําเป็นต้องทําเพื่อโรมอีกแล้ว!!”
…
หลังจากกลับมาที่เมือง พวกชาวบ้านที่รอดตายมาได้ก็ตะโกนออกมาสุดเสียง ปลดปล่อยความคับแค้นในใจออกมาทั้งความเศร้าโศรกและความกลัว
พวกเขาเป็นกลุ่มที่แพร่ข่าวลือเก่งอยู่แล้ว ดังนั้นจึงหาวิธีพูดได้ดีโดยไม่ต้องให้เย่ เทียนช่วยคิดคําให้เลย. คดีร้ายแรงต่างๆกําลังจะตกไปอยู่ที่บ่าของตระกูลสุละ
พวกเขาวิ่งมาทั้งคืนจนเหนื่อยและหิวมากๆ แต่พอกลับมาที่โรมได้แล้วมันเหมือนกับว่าพวกเขาได้เรี่ยวแรงกลับมาอีกครั้งจึงตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง
เกือบจะทุกคนมีบาดแผลจากดาบและแผลอื่นๆบนตัว แม้ไม่ลึกมากแต่พวกเขาก็โกรธจริงจัง
ในตอนนั้นเองขณะที่พระอาทิตย์กําลังลอยขึ้นมา ท้องฟ้าเริ่มสว่างไสว ชาวบ้านหลายๆคนก็เริ่มตื่นมาทํางานกัน. แต่พอได้ยินเสียงตะโกนจากด้านนอกก็อดสงสัยออกมาบ้านมาดูไม่ได้
เป็นไปตามคาด ผู้คนเริ่มหลั่งไหลมาดูเรื่อยๆ
พวกเขาไม่พอใจกับพวกชนชั้นสูงอยู่แล้วด้วยดังนั้น พายุลูกใหญ่ก็กําลังจะก่อตัว
“บาดั๊ค ข้าอยากพบเจ้านายของเจ้า, วันใหม่มาถึงแล้วพาข้ากลับไปหานายเจ้าซะ!”
ฟิลิปเหนื่อยมากๆตอนนี้แล้วก็ทําอะไรมากไม่ได้ เขารู้สึกว่าพายุที่น่ากลัวกําลังจะมา ไม่สิน่าจะเป็นพายุสลาตันระหว่างเหล่าตระกูลชั้นสูงใหญ่ๆกําลังจะมาแล้ว.
แต่ว่าในพายุนั้นเขาเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆหรือจะพูดให้ถูกก็คือเป็นเหยื่อของเรื่องทั้งหมดนี้
ดังนั้นเขาจึงอยากพบเย่เทียนทันทีดงน
ชาวเมือง ทาสนักรบต่างๆ! ความบาดหมาง! เหล่าทาสก่อจลาจล!
เขารู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นหมากของเย่เทียน มันน่ากลัวมาก น่ากลัวจริงๆ!
“ได้”
บาดั๊คตื่นเต้นมากๆ เขารู้สึกว่าเจ้านายของเขากําลังจะประสบความสําเร็จครั้งยิ่งใหญ่ ที่น่าเกรงขามมากๆ
เมื่อตอนที่ฟิลิปมาถึงบ้านเย่เทียนแล้ว ท้องฟ้าก็สว่างจ้าพอดีและเย่เทียนก็เพิ่งตื่นนอน.
ราวกับว่าเขาหยั่งรู้อนาคตได้ว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่กําลังจะเริ่มขึ้น เขาเลยตื่นเช้ากว่าปกติ
“ฟิลิปเพื่อนยาก, ทําไมกลับมาเร็วนักเล่า? งานมันไม่ราบรื่นงั้นรึ?”
พอเย่เทียนมาพบฟิลิป เขาก็รู้ได้ทันทีว่าแผนของเขาน่าจะสําเร็จไปได้ครึ่งนึงแล้วจึงยิ้มอย่างมีความสุข.
“ที่รักคะ…”
“ท่านพ่อ…”
ไดอาน่าพาคาเนียกับซาร่ามาพบฟิลิปต่อหน้า. พอเห็นหน้าที่กังวลของฟิลิปพวกเขาจึงอดห่วง และอุทานออกมาไม่ได้
“คาเนียที่รัก, ซาร่าลูกพ่อ…”
หน้าของฟิลิปเปลี่ยนไปทันที เขารีบพุ่งไปกอดทั้งสอง
“นายท่านซาตาน, ข้าอยากรู้ว่าทําไมภรรยาข้ากับลูกสาวข้ามาอยู่นี่กับท่าน?”
เสียงของฟิลิปดูไม่เป็นมิตรนัก
“อย่าคิดมากสิ จริงๆแล้วพวกนางเป็นแขกของข้า, ก็ยังดีกว่าไปเป็นแขกของตระกูลสุละนะ, อย่างน้อยพวกนางอยู่นี่ก็ไม่มีใครกล้ามาทําร้าย…”
เย่เทียนยิ้ม. เขาไม่ถือโทษฟิลิปที่เข้าใจผิดหรอก เขาชื่นชมในความกล้ามากๆ
“ที่รัก ท่านเข้าใจลอร์ดซาตานผิดนะ…”
คาเนียรีบอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้สามีเธอฟัง
“ข้าขออภัย ข้าเข้าใจท่านผิดแล้วท่านลอร์ด…”
พอได้ยินคําอธิบายของเย่เทียนกับภรรยาของเขา ฟิลิปก็น่าจะเข้าใจว่าเย่เทียนช่วยปกป้องครอบครัวของเขา เขารู้สึกทราบซึ้งขึ้นมาทันทีและอายหน่อยๆในใจ.
“ไม่เป็นไร, ข้าก็แค่ทําสิ่งที่ควรทํา เพราะถึงยังไงข้าก็เผลอพาเจ้าเข้ามาพัวพันกับพายุลูกนี้!”
เย่เทียนพูดอย่างจริงจัง
“ท่านลอร์ดของข้า, ท่านคาดไว้แล้วว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น?”
พอได้ยินคําพูดของเย่เทียน เสียงของฟิลิปก็เริ่มสั่นขณะที่ถาม หนุ่มชั้นสูงผู้นี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
“ทุกๆอย่างอยู่ในความคาดหมายของข้า, พวกเราได้ทําสิ่งที่ควรต้องทําแล้วและขั้นต่อไปก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตระกูลใหญ่ซะ!”
เย่เทียนตอบขณะยิ้มอย่างเยือกเย็น.
ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนเรียบร้อยแล้ว, เขาไม่จําเป็นต้องเคลื่อนไหวใดๆอีก, เขาก็แค่ต้องซ่อนตัวอยู่หลังฉากเท่านั้น
“นายท่านครับ….พวกทาสที่เหมืองได้ต่อต้านและก่อจลาจลแล้วและซาบัคก็กําลังแฝงตัวอยู่ในกลุ่มทาสนั้น…”
พาซัสลุกขึ้นแล้วอธิบายสถารการณ์ให้เย่เทียนฟัง
“ทาสก่อจลาจลรี? ฮ่าฮ่า….สุละ ขอดูหน่อยซิว่าเจ้าจะเอาตัวรอดไปได้ยังไงรอบนี้!! เยี่ยมมาก, ทําได้ดีมาก!”
พอเย่เทียนได้ฟังคําพูดนั้น เขาก็หัวเราะออกมา การจลาจลของทาสนี้พัวพันกับตระกูลสุละอย่างจังและทางเดียวที่จะล้างมลทินได้คือพวกเขาต้องตาย.
พอเย่เทียนมาคิดเรื่องสถานการณ์ดูดีๆแล้ว ตระกูลสุละพยายามจะปล้นทรัพย์ของชาวบ้าน, ฆ่าชาวเมืองแห่งโรมและก่อให้เกิดการจลาจลของทาส.
ข้อหาพวกนี้ก็เพียงพอที่จะทําให้ชื่อเสียงของสุละย่อยยับแบบหมดสิ้นเลย และบางทีพวกตระกูลใหญ่อาจจะตัดหางปล่อยวัดเขาและครอบครัวเลยก็ได้
“ฟิลิป อยู่ที่นี่กับครอบครัวของเจ้าเถอะนะแล้วข้าจะอธิบายสถานการณ์ให้ฟังเมื่อข้ากลับมา ข้าจะไปพบตระกูลใหญ่ซักหน่อย. ได้เวลาลั่นระฆังงานศพของตระกูลสุละแล้ว!”
เย่เทียนยิ้มอย่างเยือกเย็นขณะลุกขึ้นแล้วบอกให้ไดอาน่าเตรียมม้าให้
เขาอยากจะปั่นเรื่องนี้ให้มากที่สุดก่อนที่สุละจะหาทางรับมือกัน
จงอย่าได้ดูถูกความโกรธเกรี้ยวของชาวบ้านตาดําๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนจํานวนมากขนาดนั้นพวกชั้นสูงทําอะไรไม่ได้หรอก. ถ้าจะทําให้ชาวเมืองคลายความโกรธแล้วทางสภาจะต้องทําให้สละและตระกูลของเขาชดใช้แน่ๆ
แน่นอนว่านี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะส่งทหารไปปราบพวกทาสจลาจลแล้วก็ได้หน้าไป.
พวกทาสจลาจลนั่นจะต้องถูกปราบเร็วๆนี้แน่ ไม่งั้นแล้วถ้าพวกนั้นได้ทําอะไรตามใจชอบคงไม่เป็นการดีต่อโรมหรือตัวเขาอย่างแน่นอน