ไหปีศาจ - บทที่ 1029 ผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้
บทที่ 1029
ผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้
ลั่วอู๋ไม่คิดว่าจะได้พบกับเอ๋าเฉียนจุนในที่แบบนี้
อันที่จริงเขาก็ไม่ได้เห็นเอ๋าเฉียนจุนมานานแล้ว
ในตอนแรก เขาล้มเหลวในการไต่เจดีย์เก้าชั้นไปถึงชั้นที่เอ๋าเฉียนจุนอยู่เป็นเพราะเขามีบางอย่างที่ทำให้เขาต้องออกมาก่อน
ว่ากันว่าหลังจากเอ๋าเฉียนจุนพิชิตเจดีย์เก้าชั้นได้แล้วเขาก็ออกจากสำนักเฉียนหลง เขาบอกว่าเขาจะเดินทางไปทั่วโลกเพื่อฝึกฝนตัวเอง แต่ก็ไม่มีข่าวใด ๆ ออกมาอีก แม้แต่ตอนนรกมนตราบุกเขาก็ไม่ปรากฏตัว
ปรากฏว่าเขาอยู่นอกเมือง
แต่ลั่วอู๋ก็ยังคงเดาไม่ถึงว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับภูติไห
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เอ๋าเฉียนจุนแน่วแน่และเต็มไปด้วยแรงกดดันเช่นเคย ด้วยผมสีดำหนาและดวงตาที่สว่างราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นจุดสนใจของคนทั้งโลก
พลังสายลมและสายฟ้าไม่มีที่สิ้นสุด
แม้แต่ดวงดาวที่กลายเป็นซากปรักหักพังก็ยังสั่นสะท้าน
เขาได้ก้าวมาสู่ระดับเพชรแล้ว
มิติวิญญาณนั้นสูงกว่าลั่วอู๋ แต่ก็ไม่มากนัก
ใบหน้าของลั่วอู๋เคร่งเครียด “เอ๋าเฉียนจุน เจ้าอยากสู้กับข้างั้นหรือ?”
“เจ้าคือหินลับมีดที่ข้าเก็บไว้ให้ลับคมตัวเอง” ดวงตาของเอ๋าเฉียนจุนเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “แม้ว่าเจ้าไม่ได้ช่วยอะไรข้าตอนที่ข้าก้าวข้ามระดับ แต่ข้าเพิ่งเข้าใจแก่นแท้แห่งสายลมและสายฟ้า ถึงเวลาที่จะมีการต่อสู้ดี ๆ เพื่อทดสอบแล้ว และเจ้าก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
คำพูดนี้ถือว่าลั่วอู๋เป็น “สิ่งของ”
มันทำให้เขาโกรธ
แต่เขาก็ยังกลัว
แก่นแท้แห่งสายลมและสายฟ้า? มันเหลือเชื่อจริง ๆ
ถ้ามีเขตแดนด้วย ก็เกรงว่าแม้แต่ระดับเพชรสูงสุดธรรมดาก็รับมือเขาไม่ได้
“ถ้าเจ้าอยากสู้กับข้า ก็ย่อมได้ แต่เจ้าต้องรอจนกว่าข้าจะกำจัดภูติไหเสียก่อน” ลั่วอู๋พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
เอ๋าเฉียนจุนไม่แยแส “เกรงว่าข้าจะรอไม่ได้”
“เจ้าต้องการที่จะปกป้องภูติไหรึ?” ลั่วอู๋โมโห “รู้ไหมว่าภูติไหทำอะไรลงไป ข้าไม่สนหรอกว่าเขาให้อะไรเจ้า แต่เจ้าควรจำไว้ว่าเจ้าเป็นมนุษย์ และการกระทำของเจ้าอาจจะนำไปสู่การล่มสลายของมนุษย์”
“แน่นอนข้ารู้” เอ๋าเฉียนจุนไม่สั่นคลอนต่อสิ่งที่ลั่วอู๋กล่าว “เมื่อยี่สิบปีที่แล้วภูติไหบอกข้าทุกอย่าง”
หัวใจของลั่วอู๋สั่นสะท้าน
ยี่สิบปีที่แล้ว?
ตอนนั้นเอ๋าเฉียนจุนอายุเท่าไหร่?
เก้าหรือสิบขวบเองไม่ใช่รึ
พวกเขาได้พบกันตั้งแต่ตอนนั้นเลย?
“เขามอบกุญแจสู่ความแข็งแกร่งให้ข้า และวันหนึ่งข้าจะเติมเต็มความทะเยอทะยานของเขา มันเป็นข้อตกลง ข้อตกลงที่ยุติธรรม” เอ๋าเฉียนจุนกล่าวช้าๆ
ลั่วอู๋อดไม่ได้ที่จะตะโกนว่า “เจ้าบ้าไปแล้วรึ?”
“ข้าบ้างั้นรึ?” สีหน้าของเอ๋าเฉียนจุนเย็นชาเล็กน้อย “โลกนี้ต่างหากที่บ้าไปแล้ว หากไม่มีพลัง ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีอำนาจ แม้แต่จะตัดสินใจในสิ่งที่ต้องการก็ยังทำไม่ได้”
“ถ้าข้าต้องการควบคุมโชคชะตาของตัวเอง ข้าทำได้แค่ต้องมีพลังเท่านั้น”
“สำหรับโลกที่หน้าซื่อใจคดนี้ ถ้ามันจะถูกทำลาย ก็ให้มันถูกทำลายไป จะมีอะไรดีให้หวนคิดถึงกัน?”
ในประโยคนี้ ไม่มีความผูกพันกับสิ่งใดเลย
การอยู่ในตระกูลใหญ่เป็นทั้งโชคดีและโชคร้าย
โชคดีที่สามารถได้สิ่งต่าง ๆ ได้มากกว่าคนทั่วไป แต่ก็โชคร้ายที่หลายครั้งก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เมื่อไม่มีคุณสมบัติครบถ้วน ก็จะสูญเสียทุกอย่าง สูญเสียความสนใจจากผู้อื่น สูญเสียทรัพยากรจากตระกูล และแม้แต่พ่อแม่ของตนก็จะไม่แม้แต่ชายตามอง
แม้ว่าจะไม่อยากต่อสู้ แต่ความเป็นจริงจะบังคับให้ต้องต่อสู้ไปทีละนิด
เอ๋าเฉียนจุนไม่ใช่เด็กที่มีพรสวรรค์
สามารถเห็นได้จากความจริงที่ว่าสัตว์วิญญาณตัวแรกของเขาเป็นเพียงตั๊กแตนลมที่ธรรมดามาก ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเอ๋าจะเตรียมสัตว์วิญญาณที่ดีที่สุดสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์
แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรนัก
ถ้าเขาไม่สามารถเป็นอัจฉริยะได้ เขาก็ขอเป็นผู้ฝึกพลังวิญญาณธรรมดา ๆ ดีกว่า
แต่การแข่งขันในตระกูลที่โหดร้าย แรงกดดันจากภายนอกค่อย ๆ กัดกินเขา
หากไม่มีพลัง จะฝึกฝนอย่างหนักก็ยังหาว่าผิดเลย
เดิมทีเขาไม่ได้กระหายพลัง แต่เพื่อควบคุมชะตากรรมของเขาเอง เขาทำได้เพียงเดินบนเส้นทางที่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
ถนนสายนี้ไม่ง่าย
ขณะที่หัวใจของเขาค่อย ๆ บิดเบี้ยว เขาก็ได้พบกับภูติไห
ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ
ลั่วอู๋ได้ยินแบบนี้ ก็คาดเดาสิ่งที่อีกฝ่ายต้องผ่านมาได้คร่าว ๆ
เฉพาะผู้ที่ผ่านความโชคร้ายและไม่พอใจในโลกมากพอเท่านั้นที่จะพบภูติไห
มันชัดเจน
อย่างปรมาจารย์ปีศาจแห่งหว่านเซียง
เขาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
20 ปีที่แล้ว เขาได้พบกับภูติไหซึ่งแสดงให้เห็นว่า เอ๋าเฉียนจุนไม่ได้มีชีวิตที่ดี ดังนั้นเขาจึงต้องการจะได้พลังสูงสุดมา
คนแบบนี้ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้กลับใจได้
ก่อนที่ราชาหมอกซานเหรินจะได้พบกับคู่ชะตาของเขา เขาก็เป็นบ้าการเชือดเหมือนเป็นฆาตกร
ลั่วอู๋ไม่คิดว่าเขาจะเกลี้ยกล่อมเขาได้
“ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้” ลั่วอู๋ชักดาบเทพพิทักษ์ออกมาช้า ๆ และหัวเราะเยาะตัวเอง “ข้าคิดมาตลอดว่าอยากมากเราก็เป็นแค่คู่ปรับ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเราเป็นศัตรูกันจริง ๆ แล้ว”
แม้ว่าลั่วอู๋จะเกลียดเอ๋าเฉียนจุนมาโดยตลอด แต่เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะเป็นคนที่มีบาปใหญ่โตและควรถูกสาปแช่ง
แต่ตอนนี้ เขาพบว่าตัวเองคิดผิด
ดวงตาของลั่วอู๋เต็มไปด้วยจิตสังหาร และเสียงดาบเทพพิทักษ์ก็เฉียบคมมาก “ข้าจะไม่ยอมให้มีปรมาจารย์ปีศาจแห่งหว่านเซียงอีกคนในโลกนี้”
หากปล่อยให้อีกฝ่ายเติบโตกว่านี้มันจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
“ดาบแห่งการทำลายล้าง!” ลั่วอู๋คำราม
ดาบออกมา
ลมปราณแห่งการทำลายล้างแผ่ขยายกว้างใหญ่
ดังนั้น รอยร้าวนับไม่ถ้วนจึงปรากฏบนดวงดาวใต้เท้าของเรา ซึ่งดูเหมือนว่าจะพังทลาย
พลังปราณของดาบตกลงมาเหมือนฟ้าถล่ม
เอ๋าเฉียนจุนไม่เกรงกลัว เขาซัดหมัดตรงออกไป สายลมและสายฟ้าผสมกัน ระเบิดออกเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยสายฟ้า สว่างเจิดจ้าหาที่เปรียบมิได้ และเกิดพายุสายฟ้าออกมาทันที
ตู้ม!
ตู้ม!
ตู้ม!
สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน
“ร่างสายลมและสายฟ้า!” ร่างกายของเอ๋าเฉียนจุนเริ่มเต็มไปด้วยพลังงานที่น่าสะพรึงกลัวและมีสายฟ้าไหลออกมา ร่างกายของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกว่ายากที่ต้านทาน
“ไม่จำเป็นต้องพูดให้ตัวเองดูสูงส่งเลย” เอ๋าเฉียนจุนไม่แยแสและกล่าวว่า “เจ้ากับข้าเป็นคนประเภทเดียวกัน แต่เจ้าแค่ขี้ขลาดมากกว่า”
ร่างกายของลั่วอู๋เปล่งประกายด้วยสีทองเข้ม
ร่างอมตะทองคำเริ่มใช้งาน
แสงอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระโพธิสัตว์มาบรรจบกันและสะท้อนภาพเสมือนของพระโพธิสัตว์
“ไร้สาระ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะใช้แผนห่วย ๆ อย่างการพูดโจมตีจิตใจหรอกนะ” ลั่วอู๋ยิ้มเยาะ
ดวงตาของเอ๋าเฉียนจุนนั้นลึกราวกับสร้างสวรรค์และโลก “เจ้ามาจากตระกูลใหญ่และเจ้ายังได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมนับไม่ถ้วน แต่เจ้าเลือกที่จะยอมรับและอดทน ส่วนข้าเลือกที่จะต่อสู้”
ดาบในมือของลั่วอู๋สั่นเล็กน้อย
ประโยคนี้แทงทะลุหัวใจของเขาเหมือนดาบ
“โอ้” แต่ในไม่ช้าลั่วอู๋ก็ฟื้นสติกลับมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “อะไรคือการต่อสู้ของเจ้า เจ้าก็แค่บ่น การมองโลกอย่างเย็นชานี้หรือคือสิ่งที่เรียกว่าการต่อสู้ของเจ้า?”
“ข้าแค่ทำตามกฎของโลก พลังคือทุกสิ่ง” เสียงของ เอ๋าเฉียนจุนทื่อ เต็มไปด้วยเสียงสายฟ้า “ไม่มีใครสามารถควบคุมชะตากรรมของตนเองได้ มีแต่โลกต้องถูกทำลายเท่านั้น”
เห็นได้ชัดว่ามุมมองความถูกผิดของเอ๋าเฉียนจุนนั้นเป็นปัญหาใหญ่
หากข้าไม่ได้ออกผจญภัย
ข้าจะเป็นแบบนี้ไหม
ลั่วอู๋ถามตัวเอง
เขาไม่พอใจที่จะถูกไล่ออกจากตระกูลลั่วและถูกปฏิเสธจากทั้งโลกเพราะความไร้ความสามารถและไร้ฐานะของเขา
แต่ในขณะนั้น หลี่หยินและต้าหวงแวบเข้ามาในความคิดของลั่วอู๋
เขาก็หัวเราะออกมา
ใช่ ต่อให้ไม่มีการผจญภัยใด ๆ เขาก็จะไม่เป็นเหมือน เอ๋าเฉียนจุน
เพราะเขามีสิ่งที่จะปกป้อง หวงแหน และไม่ยอมปล่อยให้ถูกทำลาย
“งั้นก็เข้ามาเลย” ลั่วอู๋ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างช้า ๆ แสงของพระโพธิสัตว์กำลังส่องลงมา ศักดิ์สิทธิ์และขัดขืนไม่ได้ และดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร “ให้ข้าผู้ขี้ขลาดได้เห็นพลังของผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้หน่อย”