ไหปีศาจ - บทที่ 165 เฉินหยวน
บทที่ 165
เฉินหยวน
เฉินหยวนคือศาลาศูนย์กลางของจักรวรรดิ
และที่เฉินหยวนแห่งนี้นั้นมีสวนลานกว้างรายล้อมอยู่
ต้นไม้อันเขียวชอุ่มผลิบานตามฤดูใบไม้ผลิ กิ่งก้านของมันเต็มไปด้วยฝูงนกวิญญาณ ที่คอยส่งเสียงร้องอันไพเราะ และมีกลิ่นของชาหอมลอยทั่วใต้หลังคา
ชานั้นคือชาหลิงหยุน ใช้เฉพาะเพื่อสร้างความเพลิดเพลินให้กับแขกพิเศษระดับชั้นมังกรจากศาลาไป่หยู่เท่านั้นที่จะใช้ชาชั้นยอดนี้ได้
แต่ที่เฉินหยวน กลับใช้เพียงชาธรรมดาเท่านั้น
เหตุผลนั้นง่ายมาก คนธรรมดาไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้ามาในเฉินหยวน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นองค์หญิงผู้เลอโฉมหรือองค์ชายก็ตาม พวกเขาก็ต้องออกไปทันทีหากไม่ได้รับอนุญาตผู้ดูแล
เนื่องจากผู้ดูแลของเฉินหยวนนั้นคือเฉินซังเทียน ซึ่งเป็นผู้ปรับแต่งระดับสูงของจีนแผ่นดินใหญ่
เฉินซังเทียนนั้นเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในทวีป เขาเป็นถึงผู้ช่วยจักรพรรดิผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชร
แม้แต่หวังเฮาเอง ที่เป็นผู้สนับสนุนของราชวงศ์มังกรเร้นกาย ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเฉินเช่นเดียวกัน เคยได้ยินมาว่า เขาเคยไปที่เฉินหยวนเพื่อดื่มชาหลายต่อหลายครั้ง
ภายในศาลานั้น มีการตกแต่งอย่างเรียบง่ายและหรูหรา ทำให้ผู้คนที่เข้ามารู้สึกสบายตา
“เฒ่าเฉินทำไมถึงเรียกพวกเราทุกคนมาที่นี่กัน?” หญิงชราพูดอย่างไม่พอใจ
ภายในศาลามีคนอยู่ประมาณ 20 คน
มีทั้งชายที่พกดาบมา 20 คน, ชายชราในชุดคลุมสีขาว, สัตว์วิญญาณลึกลับแห่งความมืด และแม้แต่หญิงสาวที่มีหางเป็นงู
คนเหล่านั้นมีลมหายใจที่รุนแรงและดูน่ากลัว
ใบหน้าของเฉินซังเทียนเบิกกว้าง “ไม่นานมานี้ ข้าได้พาหลานสาวของข้าไปพื้นที่ป่าหวงชา จุดประสงค์หลักคือเพื่อพัฒนาเฉินหมิงหยู่ขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม หลานสาวของข้าได้พัฒนาทางด้านอารมณ์ของนาง และได้ยกระดับความก้าวหน้าของนางขึ้นไปอีกขั้น ”
“พอได้แล้ว!”
“จะแสดงความเหนือชั้นกว่างั้นเหรอ!”
“ถ้าพูดให้ดีไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูด”
“ก็เป็นหลานสาวที่สุดยอดดีนี่”
“ออกไป ออกไป!”
ผู้คนเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ถึงรู้ว่าหลานสาวของท่านยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ท่านจะเรียกคนอื่นมาฟังเพื่อเน้นย้ำงั้นหรือ? ตาเฒ่า
“ไม่ไม่ไม่ ไม่ใช่” เฉินซังเทียนปลอบผู้คนอย่างรวดเร็ว “ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะบอกกับพวกท่าน ข้าแค่จะโอ้อวดเฉินหมิงหยู่ก่อนเท่านั้น เพื่อให้เข้าใจกันเป็นการเกริ่นนำ อย่างไรก็ตาม เฉินหมิงหยู่ก็พัฒนาขึ้นอย่างมากและพลังวิญญาณของนางก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน”
“ให้ตายเถอะ เจ้าพูดมันอีกแล้ว!”
“ออกไปซะ ออกไป”
ผู้คนโมโหอย่างมาก
เราทุกคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญของราชวงศ์มังกรเร้นกาย แต่ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขาที่จะตัดสินว่าคนรุ่นใหม่นั้นจะเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมหรือไม่?
ตามปกติคนรุ่นใหม่ก็มีบุคคลคนที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน แต่พวกที่เข้าตาผู้หลักผู้ใหญ่นั้น มีน้อยเกินไป
หลานสาวของเฉินซังเทียนนั้นก็เหมือนกับไข่มุกอันบริสุทธิ์ นางสามารถบีบบังคับให้ผู้หลักผู้ใหญ่นั้นอ้าปากค้าง
ทุกคนต่างอิจฉานาง
ในที่สุดเฉินซังเทียนก็ซื้อเวลาด้วยชาหลิงหยุน 3 แก้วต่อคน เพื่อให้ทุกคนนั้นสงบสติอารมณ์ลงและนั่งลงกับที่
“สัตว์วิญญาณร้ายได้หลุดออกไปแล้ว” คำพูดของเฉินซังเทียนทำให้ใบหน้าของผู้คนเบิกกว้าง
“แล้วเทพผู้พิทักษ์รู้เรื่องนี้ไหม?” ชายคนหนึ่งถาม
เฉินซังเทียนหัวเราะเบา ๆ “เทพผู้พิทักษ์ เทพเจ้ามังกรเร้นกายนั้นไม่มีใครรู้ที่อยู่ของเขาได้ แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่สามารถแจ้งให้เขาทราบได้เช่นกัน”
ผู้คนรู้สึกปวดหัว
การหลุดรอดไปของสัตว์วิญญาณร้ายเป็นการบ่งบอกว่า เหล่าปีศาจทั้งเก้าบนโลกนี้นั้นได้เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งแล้ว ซึ่งมีเพียงเทพผู้พิทักษ์เท่านั้น ที่สามารถปราบปีศาจทั้งเก้าในตำนานได้
“ไม่ต้องกังวลเกินไป มันก็แค่สัตว์วิญญาณร้ายหลุดออกมาแค่บางส่วน มันไม่ได้หมายความว่าปีศาจทั้งเก้าจะกลับมาเยือนโลกสักหน่อย” เฉินซังเทียนกล่าว “เราแค่ต้องเฝ้าระวังไว้ แม้ว่าเทพผู้พิทักษ์จะไม่อยู่ แต่พวกเราก็น่าจะยังสามารถผนึกพวกมันได้ด้วยพลังของพวกเราเอง”
ทุกคนพยักหน้า
หลังจากที่ได้พูดคุยกันเป็นเวลานาน ทุกคนได้ทำข้อตกลงและแยกย้ายกันออกไป
แต่เฉินซังเทียนได้หยุดชายชราในชุดขาวเอาไว้
ชายชราในชุดขาวนั่นคือลั่วไป่เหา เขามีอายุมากว่าหลายร้อยปี เขาเป็นชายที่มีจิตใจดี เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับแต่งที่มีชื่อเสียง และเขานั้นเป็นที่น่าเคารพนับถือของทุกคน
ที่สำคัญที่สุดคือเขานั้นเป็นบรรพบุรุษของตระกูลลั่ว
เขาเป็นผู้พัฒนา และสืบทอดวิชาลับของตระกูลลั่วเพื่อปรับแต่งสัตว์วิญญาณปีศาจกับลิงเผือก และสร้างสายพันธุ์ใหม่ ๆ ขึ้นมา
“ผู้เฒ่าลั่วท่านจะไม่ดื่มชาสักหน่อยหรือ?” เฉินซังเทียนยิ้มพร้อมกับยื่นชาหลิงหยุนให้
ลั่วไป่เหาตกใจ “เฒ่าเฉิน เจ้าไม่มีเหตุผลเอาซะเลย มาให้ข้าเอาป่านนี้เนี่ยนะ ทำไมถึงยั้งข้าไว้ล่ะ?”
“มันมีไว้สำหรับพวกเขาที่ทำตัวไม่ค่อยมีมารยาท ลืม ๆ มันไปเถอะ อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลลั่ว ท่านซ่อนตัวเขาได้อย่างดีทีเดียวเลยนะ หรือเพราะท่านกลัวว่าผู้คนจะรู้จักเขากัน ใช่ไหม? ข้าเข้าใจดี ท่านส่งเขาไปฝึกฝนในที่ห่างไกล แม้ว่าป่าหวงชานั้นจะสวยงาม แต่ความลำบากที่นั่นก็เสี่ยงที่จะฆ่าเขาได้นะ ” ใบหน้าของเฉินซังเทียนแสดงสีหน้าปลาบปลื้มอย่างน่าเหลือเชื่อ
ลั่วไป่เหารู้สึกสับสน
เฒ่าเฉินกำลังพูดถึงอะไร?
“ข้าได้พบทุกอย่างที่ท่านซ่อนไว้แล้ว” เฉินซังเทียนพูดอ้ำอึ้ง
ในใจของเขามีแต่ความขมขื่น
ว่าตระกูลลั่วผลิตลูกหลานที่แข็งแกร่งเยี่ยงปีศาจเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?
ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ทำไมคนอื่น ๆ ถึงไม่พอใจเรื่องที่เขาโอ้อวดในตัวเฉินหมิงหยู่
ลั่วไป่เหาลูบเคราของเขา “ข้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เจ้าพูด เฒ่าเฉิน แม้ว่าตระกูลลั่ว ของเรานั้นจะมีลูกหลานที่สุดยอดหลายคน แต่ก็ยังคงต่างชั้นกับเฉินหมิงหยู่ของตระกูลท่านอยู่ดี”
พวกเขานั้นเป็นตระกูลของผู้ปรับแต่ง
ข้อสำคัญในการเปรียบเทียบไม่ใช่ที่ระดับของมิติของแต่ละคน
แต่เป็นระดับของการปรับแต่ง
เฉินซังเทียนมองไปที่ลั่วไป่เหาด้วยความสงสัย เขาไม่เข้าใจว่าลั่วไป่เหาไม่รู้เรื่องลั่วอู๋อย่างงั้นหรือ?
ลั่วไป่เหาเหมือนจะรู้ความหมายของคำพูดของเฉินซังเทียนผ่านทางสีหน้าที่แปลกไปของเขา “เฒ่าเฉิน มีอัจฉริยะจากตระกูลลั่วคนไหนที่สมควรได้รับการยอมรับจากท่านงั้นรึ?”
“อะไรนะ? อัจฉริยะอะไรกัน” เฉินซังเทียนรู้สึกสับสน “ข้าแค่อยากรู้จากท่าน เนื่องจากความสามารถของตระกูลลั่วของท่านเริ่มเหี่ยวเฉาลงทุกที ข้าอยากจะโล่งใจเฉย ๆ นี่ชาของท่านรับไป มันเป็นเรื่องที่ดีที่จะสงบใจของท่านลง”
หลังจากนั้นเฉินซังเทียนก็เดินจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ
เขาไม่รู้เลยสินะ?
นี่มันเป็นเรื่องที่ดีมาก
หากเขาช่วยเหลือบอกใบ้ไป อีกฝ่ายคงได้มาโอ้อวดคนรุ่นใหม่ของตัวเองเป็นแน่
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ตรงไปตรงมา แต่เขาไม่ต้องการรับลั่วอู๋มาฝึกสอนงั้นหรือ?
หรือว่าจะให้เฉินหมิงหยู่ต่อสู้กับลั่วอู๋ด้วยพรสวรรค์ของตัวเองต่อไปแบบนี้?
แต่ถ้าเขากลายเป็นหลานเขยของข้า ลั่วอู๋ก็จะไม่กลายเป็นข้อได้เปรียบของผู้อื่น
แต่ความสัมพันธ์ในฐานะผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับสูงระหว่างพวกเขานั้นค่อนข้างเป็นปัญหาเล็กน้อยนี้สิ
ลั่วไป่เหาตกตะลึงในสถานการณ์นั้นและครุ่นคิดเป็นเวลานาน
มีบางอย่างผิดปกติ
เฒ่าเฉินวันนี้ไม่ได้ออกคำสั่งใด ๆ ออกมา
มันต้องมีบางอย่างผิดปกติกับตระกูลลั่วของข้าแน่นอน มีคนที่แข็งแกร่งกว่าเฉินหมิงหยู่อย่างงั้นหรือ? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาจากพวกเขามาก่อนเลย?
ลั่วไป่เหารู้สึกตื่นเต้น
“ให้ลูกหลานของตระกูลลั่วทุกคนที่ออกไปฝึกฝนกลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
วันนั้น
ลั่วไป่เหาผู้เป็นดั่งกระดูกสันหลังที่แท้จริงของตระกูลลั่ว และเป็นบรรพบุรุษของตระกูลลั่ว ได้ปรากฏตัวขึ้นและออกคำสั่งออกไป
ตระกูลลั่วได้ปะทุขึ้น
ท่านพร้อมที่จะรับลูกศิษย์สำหรับตนเองแล้วใช่หรือไม่?
นี่มันเรื่องใหญ่มาก!
เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด
ลูกหลานของตระกูลลั่วทุกคนที่ได้รับการฝึกฝนจากในต่างแดน ต่างรีบกลับมายังตระกูลลั่วด้วยความรวดเร็ว แน่นอนว่าเหล่าเด็กที่ถูกทอดทิ้งและถูกขับไล่จากตระกูลลั่วนั้นไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ด้วย