ไหปีศาจ - บทที่ 206 รอบที่สองของการทดสอบคัดเลือกเฉียนหลง
บทที่ 206
รอบที่สองของการทดสอบคัดเลือกเฉียนหลง
ณ พื้นที่ล่าสัตว์ขนาดใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเซิงฟู
เดิมพื้นนี้เป็นพื้นที่ล่าสัตว์ที่ทางราชวงศ์มังกรเร้นกายได้จัดตั้งขึ้น ต่อมามันก็ถูกทิ้งร้างเพราะการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในพื้นที่
ที่นี่มีสัตว์วิญญาณหลากหลายประเภทจากทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากไม่มีใครมาคอยดูแลพวกมัน สัตว์วิญญาณเหล่านี้จึงเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้นเหมือนหญ้าป่า กลายเป็นพื้นที่อันตรายทำให้ผู้คนธรรมดาไม่กล้าเดินเข้าไป
ในวันนี้เหล่าเยาวชนผู้เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นจาก 12 มณฑลใกล้เคียงได้มารวมตัวกันที่นี่ เพื่อเข้าร่วมการสอบคัดเลือกเฉียนหลงในรอบที่สอง ซึ่งกำลังจะจัดขึ้นที่นี่ โดยจะตัดสินเลือกเพียงแค่ 50 อันดับแรกเพื่อเป็นตัวแทนในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของจักรวรรดิ
มีผู้มีความสามารถมากมายจากทั่วทุกมณฑลทั้งสิบสองได้ถูกรวบรวมเข้าด้วยกัน ส่วนคนที่ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ก็ดูเหมือนจะเป็นตัวตนที่ไร้ค่าไปเลย
ชายสวมหน้ากากมังกรดำ หรือทูตเฉียนหลงได้ออกมาพูด “พวกเจ้าแต่ละคนจะได้รับแผ่นหยกไปคนละอัน โดยพวกเจ้าสามารถเอาชนะผู้เข้าทดสอบคนอื่นแล้วชิงแผ่นหยกของพวกเขามาเป็นของเจ้าได้”
“สิบวันหลังจากนี้ พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องมารวมตัวกันที่ชานเมืองทางตะวันออกของพื้นที่ล่าสัตว์นี้ และผู้ที่ไม่มีแผ่นหยกจะถูกตัดสินให้ตกรอบและต้องถอนตัวออกไป”
“แน่นอนว่ายิ่งมีแผ่นหยกมากเท่าไหร่ เจ้าก็จะได้อันดับที่สูงขึ้นตามจำนวนนั้น”
“ยังไงก็ตามการทดสอบรอบนี้ถือเป็นการต่อสู้ เอาชีวิตรอดระหว่างความเป็นและความตาย”
ทูตเฉียนหลงส่งเสียงแหบลงมาเล็กน้อย ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นชาไปทั่วทั้งร่าง
“เกณฑ์การทดสอบคัดเลือกรอบนี้ดูจะไม่เป็นธรรมกับเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุและผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณที่ต้องต่อสู้เพื่อชิงแผ่นหยกเท่าไหร่เลยนะขอรับ” ชายหนุ่มที่มีกลิ่นยาทั้งตัวถามขึ้นมา
“ตรงไหนกันที่ไม่ยุติธรรม?” ทูตเฉียนหลงถามอย่างเย็นชา
ชายหนุ่มกล่าวต่อไป “ก็นักเล่นแร่แปรธาตุนั้นไม่มีทางทรงพลังเท่ากับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับยอดฝีมือไม่ใช่เหรอขอรับ จะให้ไปสู้กันได้ยังไง?”
“แล้วอะไรทำให้พวกเจ้าสู้พวกเขาไม่ได้ล่ะ !” “ ในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุเจ้ากลั่นยาพิษออกมาไม่ได้หรือยังไง?”
ชายหนุ่มคนนั้นตกตะลึง
เขาไม่ได้นึกถึงมันด้วยซ้ำ
“แล้วผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณล่ะเจ้าคะ … ” หญิงสาวที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งถามด้วยเสียงต่ำ
ทูตเฉียนหลงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดูผิดหวัง “พวกเจ้านี่กล้าเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะได้ยังไง ? ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกันเลย ยังกับดอกไม้ในเรือนกระจก มีสัตว์วิญญาณตั้งมากมายในพื้นที่ล่าสัตว์ ในฐานะผู้ปรับแต่ง ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าจะยืมพลังของพวกมันมาได้อย่างไร หรือสัตว์วิญญาณในรูปแบบใด ๆ นำมาใช้ประโยชน์ในการต่อสู้ได้ ข้าก็ไม่ต้องการที่จะรับพวกเจ้าเข้ามาสอนหรอก”
หญิงสาวรู้สึกตื่นตระหนกเกินกว่าจะพูดเถียงได้
ทูตเฉียนหลงทำมองตรวจดูเหล่าผู้เข้าร่วมทดสอบทุกคน “การแข่งขันนี้นั้นยุติธรรมแล้ว และข้าจะไม่ยอมรับผู้ที่ไม่รู้จักวิธีใช้จุดแข็งของตนให้เป็นประโยชน์ เข้าใจแล้วใช่ไหม?”
ทุกคนได้แต่พยักหน้ายอมรับ
จากนั้นทูตของเฉียนหลงก็ดีดนิ้วของเขา แสงสีม่วงกะพริบขึ้นมาที่แหวนสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขา จากนั้นมันก็กลายเป็นสัตว์วิญญาณสีม่วงตัวเล็กรูปร่างเหมือนนาก
หลายคนประหลาดใจที่ได้เห็นสัตว์วิญญาณสีม่วงตัวนั้น
สัตว์วิญญาณระดับเงิน – สัตว์ร้ายแห่งวังวน
สัตว์วิญญาณประเภทนี้นั้นมีค่ามาก แม้ว่าประสิทธิภาพการต่อสู้จะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่มันมีความสามารถในการเดินทางผ่านช่องมิติได้ด้วยการคำราม
“กรรร”
สัตว์ร้ายแห่งวังวนส่งเสียงคำรามจากนั้นประตูมิติก็เปิดออกอย่างช้า ๆ
“เพื่อให้การทดสอบเป็นไปอย่างยุติธรรม พวกเจ้าจะถูกทำให้กระจัดกระจายกันไปยังที่ต่าง ๆ ของพื้นที่ล่าสัตว์เป็นกลุ่ม ๆ ” ทูตเฉียนหลงกล่าวอย่างแผ่วเบา
จากนั้นทูตของเฉียนหลงก็เริ่มแยกกลุ่มคนออก
คนจากเขตเจียงซีเข้าไปที่ประตูมิติวิญญาณนี้
ส่วนเขตเพ็งเจงไปทางนั้น
……
“อืม ทำไมกลุ่มของเมืองหมิงหนานมีคนหายไปสามคนกันนะ” ทูตเฉียนหลงรู้สึกไม่พอใจมาก
ผู้คนจากเมืองหมิงหนานมองหน้ากัน
ตอนนี้ในกลุ่มของพวกเขามีคนหายไปสามคนจริง ๆ
ทันใดนั้นเมื่อมู่เฉิงรู้ว่าสามคนที่หายไปคือลั่วอู๋และพรรคพวก เขาก็พูดออกมาว่า “ท่านทูตเฉียนหลง ข้าว่าพวกเขาอาจจะคิดว่าตัวเองไม่น่าจะผ่านการทดสอบคัดเลือกเลยยอมแพ้กลับไป”
“เป็นอย่างนั้นหรอกเหรอ ?” ทูตเฉียนหลงครุ่นคิดเล็กน้อย
ขณะเดียวกันหนานกงหยิงเอ๋อ ก็กล่าวขึ้นมาว่า “ข้าหวังว่าท่านทูตเฉียนหลงน่าจะรออีกสักหน่อย ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะต้องมาอย่างแน่นอน”
ผู้คนต่างประหลาดใจ
ไม่มีใครคาดคิดว่าหนานกงหยิงเอ๋อจะพูดออกหน้าแทนพวกเขา
บรรยากาศของนางในตอนนี้ดูเย็นชาและมีเกียรติมากขึ้น ยิ่งด้วยที่ว่าตอนนี้นางมีนกกระเรียนแห่งการจุติใหม่ยืนอยู่ข้าง ๆ นาง นางจึงดูมีความภาคภูมิใจ สวยงามละเอียดอ่อนเป็นพิเศษ ราวกับได้อาบแสงศักดิ์สิทธิ์
นกกระเรียนแห่งการจุติใหม่
มันเป็นรางวัลที่นางได้รับจากทางพระราชวังหยู่หวัง โดยราชาขนนกนั้นได้ยกนกกระเรียนแห่งการจุติใหม่ตัวนี้ให้กับนาง ความแข็งแกร่งของนางจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
นางถือเป็นตัวเต็งที่น่าจะได้อยู่ในบรรดาผู้ผ่านการทดสอบ 50 อันดับแรก
“ จะทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน รอแบบนี้มันจะเป็นการเสียเวลาของคนอื่นซะเปล่า ๆ ” มู่เฉิงพยายามสรรหาคำพูดที่เหมาะสมมา
หนานกงหยิงเอ๋อเริ่มถูกคนอื่น ๆ ทักท้วง “ใช่แล้ว ทำไมเราต้องรอคนมาช้าด้วย นี่มันเสียเวลาคนอื่นซะเปล่า ๆ ”
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้น
ทันใดนั้นฝุ่นควันฟุ้งก็ปรากฏให้เห็นจากในระยะไกลและสุนัขขนสีเงินตัวใหญ่ก็วิ่งมาพร้อมกับคนสามคนบนหลัง
มันคือบุคคลที่หายไปทั้งสามคน ลั๋วอู๋และพรรคพวกนั่นเอง
อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนมีอาการมึนหัวเล็กน้อย อีกทั้งยังมีอาการเหนื่อยล้าบนใบหน้า
หลังจากช่วยฉูจงฉวนแล้วพวกเขาก็รีบวิ่งมาที่นี่โดยไม่มีการหยุดพัก พวกเขาไม่มีเวลานอนพักผ่อนด้วยซ้ำ โชคดีที่พวกเขามาเข้ารับการทดสอบได้ทัน
“ข้าขอโทษที่มาช้าไปหน่อย” ลั่วอู๋ขอโทษด้วยความจริงใจ
มู่เฉิงพึมพำและถอยออกห่างหนีหายไปในกลุ่มคน
ทูตของเฉียนหลงเหลือบมองไปที่ลั่วอู๋และกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่ ก็ถือว่าเตรียมตัวพร้อมแล้ว ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยว่า หลังจากนี้มันจะไม่มีเวลาว่างให้เจ้าได้พักผ่อนแน่”
“ ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ” ลั่วอู๋พยักหน้า
ทูตเฉียนหลงไม่ให้ความสนใจเขาอีกต่อไป เขากลับไปคัดแยกผู้คนออกและส่งพวกเขาเข้าไปในประตูมิติเป็นกลุ่ม ๆ
ลั่วอู๋มองไปที่หนานกงหยิงเอ๋อ “ขอบใจเจ้ามาก ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะออกตัวรับหน้าพูดแทนข้า”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”หนานกง หยิงเอ๋อจ้องมองไปที่ลั่วอู๋ “การที่ข้าออกหน้ารับให้เจ้านั้น ก็เพราะว่าข้าต้องการจะเอาชนะเจ้าด้วยมือของข้าเอง มันคงเป็นความอัปยศ ถ้าเจ้าตกรอบเพราะมาสายไปเสียก่อน”
นกกระเรียนแห่งการจุติใหม่รู้สึกถึงความเป็นปรปักษ์ของเจ้านาย มันจึงกางปีกขนาดใหญ่ของมันพร้อมกระพือราวกับว่ามันกำลังยั่วยุและประกาศตั้งตนเป็นศัตรู
แม้ลั่วอู๋นั้นจะเป็นศัตรูที่ค่อนข้างยุ่งยากในการรับมือ
แต่ความแข็งแกร่งของหนานกงหยิงเอ๋อในตอนนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอ อีกทั้งนางได้ทำพันธสัญญากับ สัตว์วิญญาณตัวที่สาม จึงเป็นเรื่องยากที่นางจะพ่ายแพ้ต่อเขา
“เจ้าบอกว่าสำนักเฉียนหลง ไม่ได้แบ่งประเภทของผู้เข้าร่วมการทดสอบสินะ การที่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงและผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทั่ว ๆ ไป ถูกจัดอยู่ด้วยกันแบบนี้ พวกเราผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทั่ว ๆ ไปถือว่าเสียเปรียบอย่างมากเลยทีเดียว” ลั่วอู๋บ่น
ฉูจงฉวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ” ถ้าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทั่ว ๆ ไปผ่านมาได้ถึงรอบนี้ พวกเขาก็คงมีดีอะไรสักอย่างแหละ ไม่งั้นคงผ่านมาถึงรอบนี้ไม่ได้หรอก แต่ถ้าหากเจ้าต้องเจอศัตรูที่แข็งแกร่งจริง ๆ ข้าเกรงว่ามันน่าจะยุ่งยากไปหน่อยสำหรับข้า”
ลั่วอู๋จ้องมองฉูจงฉวนด้วยความโกรธ
ข้าช่วยปรับแต่งสัตว์วิญญาณให้เจ้า แถมยังช่วยชีวิตเจ้าไว้ด้วย แต่เจ้ากล้าพูดประชดประชันกับข้าเนี่ยนะ
ระหว่างทางลั่วอู๋ช่วยการแก้ไขคุณสมบัติให้ภูตทะเลทรายของฉูจงฉวน จากนั้นก็พัฒนายกระดับทักษะทั้งหกของมันจนสมบูรณ์แบบ
นั่นทำให้ฉูจงฉวนยิ้มปากไม่หุบ
ความแข็งแกร่งของฉูจงฉวนเพิ่มขึ้นมามากอีกรอบ แม้ว่าเขาจะยังไม่มีสัตว์วิญญาณตัวที่สาม แต่เขาก็มั่นใจว่าตนเองจะผ่านการทดสอบรอบที่สองไปได้
“อย่ามองข้าแบบนั้นสิ” ฉูจงฉวนหัวเราะ “ข้าจะเก็บแผ่นหยกไว้เผื่อในส่วนของเจ้า เพื่อช่วยให้เจ้าผ่านการทดสอบ เจ้าอย่าตายไปก่อนจะพบกับข้าก็พอ”
“อย่ากังวลไปเลยน่า” ลั่วอู๋กลอกตาของเขา
ในไม่ช้าการพูดคุยระหว่างผู้เข้ารับการทดสอบก็หยุดลง และพวกเขาต่างก็เข้าสู่ประตูมิติไปเป็นกลุ่ม ๆ ลั่วอู๋ ได้บอกทิ้งท้ายให้หลี่หยินระวังตัวและพยายามคิดถึงหนีเป็นหลัก
ความแข็งแกร่งของหลี่หยินน่าจะต่ำที่สุดในบรรดาผู้เข้าร่วมการทดสอบทุกคน แต่ด้วยทักษะของ เสี่ยวไป่ที่มีความสามารถในการหลบหนีอันยอดเยี่ยม เขาจึงไม่ต้องกังวลมากเท่าไหร่
สิ่งที่ลั่วอู๋ไม่ได้สังเกตเห็นก็คือมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่เขาโดยไม่คิดจะละสายตา
หยีเทียนเฉินนั่นเอง
หยีเทียนเฉินนั้นได้จับตามองไปที่ลั่วอู๋ตั้งแต่วินาทีที่เขาปรากฏตัว
มันมีคลื่นแห่งความสงสัยลูกใหญ่ในใจของเขา
นี่ก็ผ่านมาสองเดือนแล้วที่เขาไม่รู้สึกถึงแมลงกินวิญญาณที่ส่งไปให้เกาะที่ตัวของลั่วอู๋ และคำสั่งทั้งหมดจากแมลงกินวิญญาณระดับนางพญาก็ส่งไปไม่ถึงมันเลยด้วย
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าลั่วอู๋ได้หายเข้าไปในพื้นที่ลึกลับ
แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้เห็นลั่วอู๋ด้วยตาของเขาเอง
เขาก็เริ่มมั่นใจ
ว่าชายคนนี้มีวิธีในการขับไล่แมลงกินวิญญาณของเขาออกไป
เขาไม่สามารถปล่อยให้ชายคนนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างแน่นอน
จิตสังหารหมายจะฆ่าของหยีเทียนเฉินพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจของเขา