ไหปีศาจ - บทที่ 240 หมายถึงข้างั้นเหรอ ?
บทที่ 240
หมายถึงข้างั้นเหรอ ?
“ท่านพี่ มีคนกล้าดูถูกท่านพี่เจ้าค่ะ” หนิงหลิงหลิงกล่าว อย่างไม่พอใจ
ด้านหน้าของนางคือหญิงสาวที่สวมชุดผ้าไหมสีฟ้า มีรูปร่างลักษณะงดงาม นางดูมีความภาคภูมิใจในตัวเองสูง ระหว่างคิ้วให้อารมณ์ของความชัดเจน
นางเป็นหญิงสาวผู้สวยงามเปรียบเสมือนดั่งพระจันทร์ยามค่ำคืน
หญิงสาวผู้นี้มีสาวสวยหลายคนอยู่รอบ ๆ เหมือนกับหมู่ดาว พวกนางเหล่านี้เองก็เป็นอัจฉริยะที่เปรียบได้กับอัญมณีของตระกูลใหญ่ สถานะของพวกนางทุกคนนั้นสูงส่ง
“เจ้าพูดเรื่องจริงสินะ”
“ในสำนักชั้นในแบบนี้เนี่ยนะ ? ใครมันจะกล้าพูดแบบนั้นออกมา?”
“โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้ปรับแต่งรุ่นเดียวกัน เขาก็ควรจะมาขอรับการสั่งสอนจากท่านพี่สาวด้วยซ้ำ ทำตัวเช่นนี้สามหาวนัก ไปสั่งสอนบทเรียนให้เขากันเถอะ”
เด็กสาวกลุ่มหนึ่งพูดคุยกัน
เดิมทีเด็กผู้หญิงเหล่านี้ล้วนเป็นเด็กสาวผู้มีชื่อเสียงอันโด่งดังในเมืองหลวงของจักรวรรดิ แต่ก็ได้ถูกเฉินหมิงหยู่เพียงคนเดียวปราบ จนมารวมกันเป็นทีมเล็ก ๆ
เฉินหมิงหยู่ขยับคิ้วเรียวของนางและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “มีคนบอกว่าเขาสามารถช่วยให้ม้าผีของเจ้าเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ได้งั้นเหรอ?”
“เจ้าค่ะ ท่านพี่” หนิงหลิงหลิงพยักหน้าอย่างรีบร้อน“นอกจากนี้ชายคนนั้นยังอวดอ้างว่าเขาสามารถช่วยให้ม้าผีเรียนรู้ทักษะที่เหมาะสมกับมันได้อีกด้วย”
“หืม ?” การแสดงออกของเฉินหมิงหยู่เปลี่ยนไป
ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะของตระกูลเฉิน และเป็นหนึ่งในผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณที่มีความสามารถน่าทึ่งที่สุดในจักรวรรดิ เฉินหมิงหยู่ย่อมเย่อหยิ่งและหุนหันพลันแล่นเป็นธรรมดา
ด้วยความสามารถในการปรับแต่งพลังวิญญาณอันยอดเยี่ยมของนาง นางจึงได้โน้มน้าวเด็กสาวที่มีพรสวรรค์เหล่านี้มาก่อตั้งกลุ่มราวกับเผด็จการ
พวกสาว ๆ ที่ได้ยินชื่อเสียงของนางต่างก็ต้องหันหลังวิ่งหนี
พรสวรรค์ที่พวกเขาเหล่านั้นมียังถือว่าห่างไกลจากนางนัก
เรียกได้ว่านางเป็นที่หนึ่งในเมืองหลวงของจักรวรรดิก็ว่าได้
ต่อมาปู่ของนางเฉินซังเทียน ได้ตระหนักถึงความเย่อหยิ่งของหลานสาวของเขา และพยายามทุกวิถีทางที่จะดัดนิสัยนาง ซึ่งทำให้นางสงบและเจียมเนื้อเจียมตัวลงบ้างเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามเฉินหมิงหยู่ผู้ซึ่งได้รับเชิญจากสำนัก เฉียนหลง ได้เหตุผลผละออกจากการควบคุมของเขา ในไม่ช้าก็กำเริบและเรียกเหล่าน้องสาวของนางออกมารวมกันอีกครั้งและหาคนเพิ่ม ราวกับว่านางมีแผนที่จะครอบครองสำนักเฉียนหลง
“มันเป็นความจริงเจ้าค่ะ” หนิงหลิงหลิงกล่าวอย่างจริงจัง “เขายังกล้าพูดว่าสิ่งที่พี่สาวทำไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ด้วยเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างโกรธแค้นขึ้นมาในทันที
นั่นมันหยิ่งเกินไป หยิ่งยโสเกินไปแล้ว
เฉินหมิงหยู่มองด้วยดวงตาสีซีดจากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างงดงาม “มันช่างเป็นคนที่เย่อหยิ่งจริง ๆ เอาล่ะ เหล่าน้องสาวพวกเราไปกันเถอะ ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้กลับไปที่เมืองหลวงนานเกินไปจนหลายคนลืมข้าไปแล้ว สั่งสอนมันให้เป็นตัวอย่างจะได้ไม่มีใครกล้าพูดพล่อย ๆ อีก นี่เป็นก้าวแรกเพื่อการครอบครองสำนักเฉียนหลง”
เฉินหมิงหยู่นั้นไม่ได้สูงนัก แต่ทั้งความสวยงามและความโดดเด่นนั้นทรงพลังมาก
เหล่าสาว ๆ ต่างตื่นเต้นกันใหญ่
นางคนนี้คือท่านพี่ที่ พวกนางเต็มใจติดตาม
……
……
“อย่าลืมแจ้งให้ข้ารู้ล่ะ ถ้าหากมีของใหม่เข้ามาเพิ่ม”
ลั่วอู๋เรียกร้องให้เจ้าของร้านค้าของคฤหาสน์หวู่หยู่เก็บไว้วัตถุดิบเอาไว้ให้ตัวเขาเอง ทันทีที่ร้านมีหยุนเสี่ยวหัวและไป่ทูยี่มาเพิ่ม
“ข้ารู้ ข้ารู้แล้วน่า ไม่ต้องย้ำ” เจ้าของร้านโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์
จากนั้นลั่วอู๋ก็เดินออกจากคฤหาสน์หวู่หยู่ไป
หลังจากซื้อหยุนเสี่ยวหัว 3 ต้นและไป่ทูยี่ 5 ชิ้น ลั่วอู๋ก็เหลือคะแนนเพียงไม่ถึง 10,000 แต้ม
หมื่นคะแนนนั้นถือว่าค่อนข้างมาก เขาสามารถเอามันไปซื้อยาและสมุนไพรวิญญาณได้มากมาย แต่ลั่วอู๋ไม่ได้ซื้อมาเพิ่ม เพราะเขานั้นยังมีของเหล่านั้นอยู่เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้
ยิ่งไปกว่านั้นเขาต้องสะสมคะแนนให้ได้มากที่สุด และจะไม่มีการหยุดจนกว่าเขาจะได้ซื้อสมุนไพรเก้าวิญญาณ
ลั่วอู๋กลับเข้ามาในมิติไห
และในไม่ช้าลั่วอู๋ก็สังเคราะห์หญ้าพระธาตุมาเพิ่มอีกสามชิ้น
ลั่วอู๋ได้ตรวจดูอาณาจักรของต้าหวงและผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะ พวกมันได้รับการยกระดับขึ้นเป็นระดับเงิน มิติ 9 และระดับเงิน มิติ 5 ตามลำดับ หลังจากที่พวกมันใช้เวลาฝึกตัวอยู่ในไหปีศาจ
ลั่วอู๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโดยใช้ความสามารถของไหปีศาจ จ่ายแต้มเซียนไป 1,000 แต้ม เพื่อยกระดับมิติวิญญาณของ ต้าหวงเป็นระดับเงิน มิติ 10
ไม่ใช่ว่าลั่วอู๋ยอมแพ้ในการยกระดับของมันไปเป็นระดับทอง แต่การจะใช้ไหปีศาจเพื่อยกระดับมิติวิญญาณที่ต่างกันนั้นมันยังเสี่ยงเกินไป หากขาดความเข้าใจและรากฐานยังไม่มั่นคงเพียงพอ ก็อาจจะทำให้เกินผลเสีย
เพื่อที่จะให้สัตว์วิญญาณของเขาพัฒนาไปได้อย่างราบรื่น ลั่วอู๋จึงไม่อยากจะใช้ไหปีศาจในการยกระดับมิติวิญญาณของพวกมัน
ก่อนหน้านี้ต้าหวงมีระดับมิติวิญญาณอยู่ที่ระดับเงินมิติ 9 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับทองมาก อย่างไรก็ตามช่องว่างความแข็งแกร่งระหว่างมิติวิญญาณระดับเงินและทองนั้นใหญ่มากเกินไป
ดังนั้น ลั่วอู๋จึงต้องการเร่งให้ต้าหวงพัฒนาไปสู่ระดับทอง
เพื่อทดแทนในส่วนของความเข้าใจมิติวิญญาณที่ขาดไป ลั่วอู๋นั้นได้หยิบหญ้าพระธาตุออกมาและมอบมันให้กับต้าหวง “สิ่งนี้มีค่ามาก มันจะต้องช่วยเจ้าได้แน่”
ต้าหวงกลืนหญ้าพระธาตุลงไปในอึกเดียว และเลียลิ้นราวกับว่ามันกำลังกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย
จากนั้นต้าหวงก็กระดิกหางและหันไปรอบ ๆ อย่างประจบสอพลอ ดวงตาของมันดูสดใสและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ไม่ ๆ เจ้าไม่สามารถกินมันเพิ่มได้อีกแล้ว กินมากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก” ลั่วอู๋ลูบหัวต้าหวงอย่างช่วยไม่ได้
แน่นอนว่าลั่วอู๋สามารถช่วยให้ต้าหวงก้าวข้ามไปสู่มิติวิญญาณระดับทองได้
แต่เขาจะต้องระวังเป็นพิเศษ
ทุกการพัฒนานั้นย่อมมีความเสี่ยง
ความเสี่ยงที่จะล้มเหลว
สุนัขธรรมดาอย่างต้าหวงจำเป็นต้องมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เพื่อชดเชยช่องว่างดั้งเดิมระหว่างตัวมันเองกับสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังอื่น ๆ การใช้ไหปีศาจเพื่อก้าวข้ามระดับมิติวิญญาณ อาจทำให้มันพลาดโอกาสนี้
จากนั้นลั่วอู๋ก็มองไปที่ผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะ
ผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะบินมาเกาะบนไหล่ของลั่วอู๋ แต่เนื่องจากตัวของมันเติบโตใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ไหล่ของลั่วอู๋มีพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับมันอีกแล้ว
……
“ก็นะ” ลั่วอู๋สัมผัสปีกของผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะ “ข้าก็อยากช่วยให้เจ้าปรับปรุงมิติวิญญาณของเจ้าเหมือนกัน แต่ตอนนี้เจ้ายังมีศักยภาพที่แข็งแกร่งไม่พอ เจ้าต้องพยายามด้วยตัวเองก่อน หากเจ้ารีบปรับปรุงมิติวิญญาณของเจ้า เจ้าอาจจะพลาดได้ การประเมินและพัฒนาด้วยตนเองจึงสำคัญมาก ”
ผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะนั้นได้ดูดซับพลังวิญญาณมามากจนเกินไปตั้งแต่แรกเกิด
ทั้งพลังวิญญาณอันชั่วร้ายในส่วนลึกของป่าหวงชา
พลังโลหิตของราชาผีเสื้อปีกมายา
เลือดนกอมตะของวิหคกระจกเงาอมตะ
เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วความสามารถในทุกด้านจะดีขึ้นมาก
อย่างไรก็ตามลั่วอู๋ยังคิดวิธีที่จะช่วยให้ผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะไปถึงศักยภาพที่เหมาะกับปัจจัยเหล่านั้นได้ ดังนั้นมันจึงต้องพึ่งพาความพยายามของตัวมันเองเท่านั้น
“เอาละ เจ้าคนหยิ่งผยอง เดินออกมาซะ”
เสียงของหนิงหลิงหลิงดังขึ้นจากด้านนอกที่พัก
นางรู้ที่อยู่ของลั่วอู๋จากเจ้าของร้านคฤหาสน์หวู่หยู่ นางจึงมาที่นี่พร้อมกับกลุ่มพี่สาวน้องสาว
“ทำไมถึงยังไม่ออกมา นี่ก็ตั้งนานแล้วแท้ ๆ” ใครบางคนพึมพำ
หนิงหลิงหลิงกระทืบเท้าของนางอย่างไม่พอใจ “คงจะกลัวมากล่ะสิ ที่ซ่อนถูกเปิดเผยแล้วแบบนี้ น่าเสียดายที่ตามกฏของสำนักเฉียนหลงห้ามบุกรุกเข้าไปในที่พักของคนอื่น ไม่อย่างนั้นข้าพุ่งเข้าไปแล้ว ”
“ไม่เป็นไร” ปากของเฉินหมิงหยู่ยกขึ้นเล็กน้อย “อยากจะซ่อนตัวก็ทำไปคิดว่าข้าจะไม่มีวิธีจัดการงั้นสิ ? คิดว่าข้าจะปล่อยเขาไปรึไง ? จนกว่าเขาจะออกมารินน้ำชาแล้วขอขมาข้า ”
สาว ๆ ตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินคำพูดของนาง
ท่านพี่จะเตรียมไว้หลายวิธีสำหรับการลงโทษผู้คน
“ว่าแต่ เด็กหนุ่มคนนั้นมีชื่อว่าอะไร” เฉินหมิงหยู่ถาม
หนิงหลิงหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าไม่รู้ว่าเขามีชื่อว่าอะไร แต่ข้ารู้ว่านามสกุลของเขาคือลั่ว เขามาจากตระกูลลั่ว โดยโควตาพิเศษจากเมืองหลวงของจักรวรรดิ”
เหล่าสาว ๆ ไม่ได้สนใจเท่าไหร่
แม้ว่าภูมิหลังของตระกูลลั่วจะสูงมีฐานะ แต่ก็ไม่ได้มีอิทธิพลมากขนาดที่ต้องกลัว
ทว่าทันใดนั้นใบหน้าของเฉินหมิงหยู่ ก็แข็งทื่อและการแสดงออกที่ทรงพลังของนางก็หายไปในทันที
นามสกุลลั่ว?!
ไม่น่าจะใช่หรอกมั้ง?
มันไม่น่าจะบังเอิญได้ขนาดนี้
นางได้เห็นกลุ่มคนที่ได้รับการเชิญเข้ามาแล้ว ซึ่งก็เป็นที่ชัดเจนว่าไม่มีเขาคนนั้น
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เฉินหมิงหยู่ปลอบตัวเอง
ดูเหมือนว่าคนอื่น ๆ จะรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของท่านพี่ เหล่าสาว ๆ จึงเริ่มสงสัยอยากรู้อยากเห็น
“ท่านพี่ มีปัญหาอะไรรึเปล่าเจ้าค่ะ?” หนิงหลิงหลิงถามอย่างสงสัย
เฉินหมิงหยู่ ส่ายหัว “ไม่เป็นไร ๆ ข้าแค่นึกถึงชายที่น่ารำคาญคนหนึ่งน่ะ”
ขณะเดียวกันก็มีเสียงเย้ยหยันดังขึ้นอย่างสบาย ๆ
“ข้าจะใช่คนน่ารำคาญคนนั้น รึเปล่านะ ?” ลั่วอู๋เดินออกมาจากที่พักของเขาพร้อมรอยยิ้มที่ริมฝีปาก