ไหปีศาจ - บทที่ 263 ก้าวออกมา
บทที่ 263 ก้าวออกมา
ข่าวเริ่มแพร่กระจายไปทั่วห้องโถงหวันฝา
ลั่วอู๋ นักเรียนในรุ่นปัจจุบัน ผู้เข้ามาสู่สำนักเฉียนหลงมีทักษะในการปรับแต่งพลังวิญญาณในระดับสูงมาก และได้รับเชิญให้เข้าร่วมสำนักย่อยการปรับแต่ง หลังจากเข้ามายังสำนักชั้นในได้เพียงไม่กี่วัน
เขาชอบดูสัตว์วิญญาณของผู้อื่นเป็นพิเศษ ยิ่งหายากเขาก็ยิ่งชอบ เมื่อเขาได้ตรวจสอบมันจนพอใจแล้ว เขาก็จะช่วยปรับแต่งสัตว์วิญญาณตัวนั้นให้แข็งแกร่งขึ้นและรับค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในทางตรงกันข้ามหากสัตว์วิญญาณนั้นไม่ได้หายากเพียงพอ หรือลั่วอู๋เคยเห็นมาก่อนแล้ว ก็จะไม่สามารถขอให้ลั่วอู๋ช่วยทำการปรับแต่งให้ได้ แม้ว่าจะเสนอจ่ายค่าตอบแทนให้มากเท่าไรก็ตาม
และที่สำคัญที่สุด
ลั่วอู๋นั้นดูเหมือนจะเกลียดการถูกรบกวนในเวลากลางคืนมาก
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา
ณ มิติไห
หลังจากฝึกฝนมาทั้งวันลั่วอู๋ก็ปล่อยลมปราณวิญญาณอันรุนแรงออกมาได้สำเร็จ
เขาได้ฝึกฝนมาเกือบ 20 วันแล้ว ทำให้ตอนนี้พละกำลังและความสามารถของลั่วอู๋พัฒนาขึ้นอย่างมาก
การฝึกของหนิงปิงหลันนั้นโหดร้ายสุด ๆ นางทำให้ลั่วอู๋รู้สึกถึงเสี้ยววินาทีแห่งความตายหลายต่อหลายครั้ง อย่างไรก็ตามนั่นทำให้ตอนนี้ลั่วอู๋สามารถสงบสติอารมณ์ได้อย่างแน่นอน เมื่อเขาต้องเผชิญกับภัยคุกคามถึงความตาย
ตอนนี้ลมปราณของเขาไปถึงจุดสูงสุดของมิติวิญญาณระดับเงินแล้ว ห่างจากการเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงเพียงก้าวเดียว
เมื่อเขาก้าวข้ามขีดจำกัดนี้ไปได้แล้ว เขาก็จะสามารถทัดเทียมกับเหล่าผู้มีพรสวรรค์เหล่านั้นได้จริง ๆ เสียที ช่องว่างมิติวิญญาณระหว่างมิติวิญญาณในระดับชั้นย่อยนั้นไม่ใหญ่เท่ากับระดับชั้นหลัก
เมื่อลั่วอู๋เตรียมพร้อมที่จะก้าวข้ามกำแพงขีดจำกัด จู่ ๆ ฉูจงฉวนก็เดินมาหาเขา
“หลี่หยิน บริการชาให้ที”
ฉูจงฉวนนั้นไม่สุภาพเลยสักนิด เขาเดินเข้ามาแล้วขอให้หลี่หยินรินชาให้กับเขา
เขายังคงมีนิสัยรักอิสระไม่ยอมก้มหัวให้ใครเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน แต่คราวนี้มือของเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผลหนา
หลี่หยินนำชาร้อนมาให้ลั่วอู๋ด้วยรอยยิ้ม
ลั่วอู๋รินน้ำชาขณะนั่งอย่างสบาย ๆ และดื่มมัน
ฉูจงฉวนกลอกตาขาว “เฮ้ ถ้าพวกเจ้าจะขี้เหนียวขนาดนี้นะ ข้าก็มาในฐานะแขกเจ้าจะไม่ให้ชาข้าหน่อยเรอะ”
“ก็ไปชงชาเองสิ” ลั่วอู๋กล่าว
“หึ ก็ได้”
ฉูจงฉวนนั้นไม่ใช่คนที่มีความสุภาพ เขาวิ่งไปที่ตู้ชาและเลือกหยิบใบชาหลิงหยุนที่แพงที่สุดมา มันเป็นชาหลิงหยุนชั้นดีที่ลั่วอู๋นำมาจากสำนักโล่พิทักษ์
ลั่วอู๋สังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่าง “ทำไมเจ้าถึงพันแผลที่มือ? คนระดับเจ้าบาดเจ็บได้อย่างไรกัน?”
“ไม่มีอะไรหรอก” ฉูจงฉวนกล่าวอย่างสบาย ๆ “ข้าก็แค่ถูกไฟเผานิดหน่อยตอนฝึกซ้อม เดี๋ยวมันก็คงจะหายดีในอีกสองวันแหละ”
“มือโดนเผาในการฝึกเนี่ยนะ?” “เจ้าหายไปที่ไหนมากันแน่เนี่ย?” ลั่วอู๋ถาม
ฉูจงฉวนดูสั่นคลอน จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถามมาได้ ข้าก็กำลังค้นหา สัตว์วิญญาณตัวที่สามที่เหมาะสมกับข้าน่ะสิ มิฉะนั้นข้าก็จะถูกเหล่าผู้มีพรสวรรค์คนอื่น ๆ ทิ้งห่าง”
นักเรียนหลายคนที่นี่ได้รับสัตว์วิญญาณตัวที่สามกันแล้ว
หากเขามีสัตว์วิญญาณน้อยกว่า เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานมากในการต่อสู้เป็นแน่
ด้วยความสามารถของฉูจงฉวนและภูมิหลังที่ดี มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะหาสัตว์วิญญาณระดับทองชั้นสูงดี ๆ ได้ แต่เขานั้นเรื่องมากจนเกินไป
“โอ้ เจ้าได้สัตว์วิญญาณแบบไหนมาล่ะ” ลั่วอู๋ถาม
ฉูจงฉวนจิบชาและคร่ำครวญ: “ข้าได้ไปตรวจสอบเกี่ยวกับข้อมูลของสัตว์วิญญาณต่าง ๆ ในคฤหาสน์สุตราของสำนักเฉียนหลง และในที่สุดข้าก็ตัดสินใจได้ ที่นั่นมีข้อมูลของสัตว์วิญญาณหลายตัวเลยที่เหมาะกับข้า มันช่างน่าเสียดายจริง ๆ … ”
“น่าเสียดายอะไร?”
“พวกมันตามหาได้ยากเกินไป เทพธิดาแห่งวายุ นางมีความเร็วที่น่ากลัวและทักษะในการยิงธนูอันยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีศักยภาพอยู่ในระดับทอง พวกมันสวยงามมากและมีรูปลักษณ์ของมนุษย์ ติดอยู่ที่ว่าหากจะตามหาต้องไปที่อาณาจักรโบราณหมื่นอมตะ”
“เงือกแห่งห้วงลึกได้รับการกล่าวขานว่ามีใบหน้าที่สวยงามและหางปลาอันลึกลับ มันสามารถเปล่งเสียงเพลงอันไพเราะออกมาได้และมีความสามารถในการควบคุมคลื่นยักษ์”
“ปีศาจ แค่ก แค่ก ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับความสามารถของมันเท่าไหร่ แต่ข้าได้ยินมาว่าสามารถหามันได้ในพื้นที่นรกมนตราเท่านั้น” ฉูจงฉวนพูดด้วยความรู้สึกผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
ฉูจงฉวนกล่าวว่า “สัตว์วิญญาณเหล่านั้นมันเหมาะสำหรับข้ามาก น่าเสียดายที่มันหาได้ยากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรโบราณหมื่นอมตะ ทะเลเหนือสุดขอบและนรกมนตรา ล้วนเป็นสถานที่ที่คนธรรมดาไม่สามารถเข้าไปได้ บางทีสำนักเฉียนหลง อาจจะมีวิธีที่จะพาข้าเข้าไปในสถานที่เหล่านั้นได้ แต่ข้าก็ยังไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับมันเลย”
ในพื้นที่ของจักรวรรดิ สัตว์วิญญาณส่วนมากก็ยังคงเป็นสัตว์วิญญาณที่มีรูปแบบเป็นสัตว์ น่าเสียดายที่ในแถบนี้นั้นแทบจะไม่มีสัตว์วิญญาณที่มีรูปร่างมนุษย์อยู่เลย
ลั่วอู๋มองเขาอย่างทำอะไรไม่ถูก
ลั่วอู๋ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น เพราะเขารู้นิสัยและความทะเยอทะยานของฉูจงฉวนดี
“เจ้าจะรีบร้อนทำไมกัน ? ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทอง มิติ 2 เองนะ เจ้าจะรีบร้อนไปทำไม?” ลั่วอู๋กล่าว
ฉูจงฉวนพยักหน้า “อย่างที่เจ้าพูดนั่นแหละ ชายผู้มีความฝันมักจะไม่ได้โชคดีเท่าไหร่นัก แต่ข้าก็ยังคงเชื่อว่าเทพเจ้าจะอวยพรให้กับข้า”
ลั่วอู๋ “….”
“จะว่าไปแล้ว นี่ก็ใกล้จะถึงวันที่เจ้าท้าทายสองพี่น้องตระกูลเอ๋าเอาไว้แล้ว เจ้าเตรียมตัวไว้อย่างไรบ้างล่ะ?” ฉูจงฉวนถาม
ในที่สุดก็ถึงเวลาคุยเรื่องสำคัญแล้ว
ลั่วอู๋บอกฉูจงฉวนเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เขาเจอมาทั้งหมดในช่วงนี้
“ก็นะ ตระกูลหนิงเป็นตระกูลของผู้ใช้พลังวิญญาณ และหนิงปิงหลันก็เป็นผู้หญิงแปลก ๆ ที่บ้าพลัง ความแข็งแกร่งของนางนั้นอยู่ในระดับที่สูงมาก” ฉูจงฉวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ลั่วอู๋พยักหน้า “หากข้าก้าวข้ามกำแพงมิติวิญญาณได้ ข้าจะมีโอกาสชนะเพิ่มอีก 20%”
“อย่างไรก็ตามข้าได้ยินมาว่าการรับมือกับสองพี่น้องตระกูลเอ๋านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาผ่านการต่อสู้มาหลายต่อหลายครั้ง และแทบจะไม่เคยแพ้ใครมาก่อนเลย พวกเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิและ … ” ฉูจงฉวนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ ” และข้าได้ยินมาว่าผู้ที่ท้าทายประลองกับสองพี่น้องตระกูลเอ๋าไม่เคยมีจุดจบที่ดี ”
แม้ว่าที่นี่จะไม่อนุญาตให้มีการฆ่าในการประลองก็ตาม
แต่มันก็ยังมีอีกหลายวิธีที่จะทำลายคนคนหนึ่งให้หมดอนาคต
“ไม่ต้องกังวลไป ข้ามีแผนที่เอาไว้รับมือพวกเขาอยู่ในใจแล้ว” ลั่วอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาคุยกันได้สักพัก จากนั้นฉูจงฉวนก็เดินจากไป
หลังจากออกจากที่พักของลั่วอู๋ ร่องรอยแห่งความกังวลก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา แม้ว่าความแข็งแกร่งของลั่วอู๋จะพัฒนาขึ้นมาก แต่มันก็ยังมีระยะห่างจากผู้มีความสามารถระดับสูงเช่นนี้อยู่ดี
ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับการฝึกฝนจากหนิงปิงหลันมานานกว่า 20 วันก็ตาม
เห็นได้ชัดว่าฉูจงฉวนยังไม่รู้ว่าลั่วอู๋มีไพ่ตายสำรองไว้กี่อย่าง
“ออกมาเถอะ” ฉูจงฉวนดีดนิ้วของเขา
เปลวไฟสีเขียวเข้มปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ มันคือภูตไฟ พลังวิญญาณสีแดงลึกลับภายในค่อย ๆ พุ่งขึ้นอย่างช้า ๆ และเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง
มันเปลี่ยนแปลงรูปร่างของมัน
เป็นการเปลี่ยนแปลงตามความต้องการในจิตใจของ ฉูจงฉวน
ภูตไฟค่อย ๆ ควบแน่นร่างกายเป็นรูปร่างของมนุษย์ มันกลายร่างเป็นผู้หญิงในชุดสีเขียว สวมเครื่องประดับที่ผมและต่างหู
นางเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ มีใบหน้าที่บอบบาง ท่าทางที่สง่างามดูใจกว้างงดงามน่าหลงใหล
รูปลักษณ์ของนางเหมือนกับนางสนมหยูในสุสานของราชาวิญญาณ
เห็นได้ชัดว่าในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงพัฒนายกระดับมิติวิญญาณนางสนมหยูได้ทิ้งความประทับใจอันลึกซึ้งไว้กับมัน ดังนั้นมันจึงเลือกภาพลักษณ์ของนางสนมหยู
ฉูจงฉวนไม่รู้ว่าเขาควรจะมีความสุขกับสิ่งนี้หรือไม่
ถ้าไม่ใช่เพราะมันมีรูปลักษณ์เหมือนนางสนมหยู เขาก็คงจะรู้สึกดีกว่านี้ ฉูจงฉวนให้ความเคารพชื่นชมผู้หญิงคนนั้นมากกว่าที่จะคิดอะไรอื่นได้
นางสนมหยูนั้นสวยมากก็จริง แต่นางเหมือนกับพี่สาวที่เขาสนิทด้วยมากกว่าคู่หูคู่ชีวิต
เมื่อมองไปที่ใบหน้านี้ ฉูจงฉวนก็รู้สึกความกดดันอย่างบอกไม่ถูก
“อา” ฉูจงฉวนถอนหายใจและเก็บความคิดที่สับสนไว้ข้างหลังเขา เขาถามอย่างจริงจัง “เจ้าเชี่ยวชาญทักษะอัญเชิญเทพเพลิงรึยัง?”
ภูตไฟพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ภูตไฟนั้นสามารถพูดภาษาของมนุษย์ได้หลังจากการแปลงร่าง
“ดีมาก”
ดวงตาของฉูจงฉวนกำลังลุกโชนขณะมองไปในระยะไกล
การชักชวนของเขาทำให้ลั่วอู๋ตัดสินใจเข้าร่วมสำนักเฉียนหลง
เขาไม่สามารถเฝ้าดูและปล่อยให้ลั่วอู๋ตายได้
สองพี่น้องตระกูลเอ๋าจะไม่ยอมให้ลั่วอู๋รอดชีวิตออกไปจากเวทีการประลองแน่ มันไม่ต่างอะไรไปจากการที่ลั่วอู๋กำลังเดินไปหาเงื้อมมือแห่งความตาย
เขาไม่สามารถนั่งเฉยมองดูสิ่งนี้เกิดขึ้นได้
เขาไม่ได้คิดจะรออยู่เฉย ๆ นอกเหนือจากการค้นหาข้อมูลของสัตว์วิญญาณตัวที่สามแล้ว เขายังเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ โดยฝึกฝนเพื่อที่จะให้ภูตไฟเชี่ยวชาญทักษะ “อัญเชิญเทพเพลิง” ได้อย่างรวดเร็ว
เขาได้เข้าไปในพระราชวังทั้งแปดของสถาบันเฉียนหลง เพื่อดูดซับเปลวเพลิงวิญญาณที่ลึกลับที่สุดสำหรับของนักเล่นแร่แปรธาตุในอดีตมา
ฉูจงฉวนค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลที่พันอยู่ที่มือออกเผยให้เห็นผิวหนังของเขาที่ไหม้เกรียมและมีเนื้อติดเชื้อจากพิษไฟเป็นหนองอย่างรุนแรง
เขาจ่ายราคาของความแข็งแกร่งด้วยร่างกาย
แต่นี่ก็เพื่อความแข็งแกร่งของตัวเขาเองด้วย ตอนนี้มือของเขาเต็มไปด้วยพลังวิญญาณธาตุไฟอันรุนแรง ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเขาได้มาถึงจุดสูงที่สุดในชีวิตของเขา
“ข้าจะช่วยท่านสู้เองพี่ชาย!”
รอยยิ้มอันเป็นธรรมชาติและอิสระของฉูจงฉวนปรากฏขึ้นบนใบหน้า พลังวิญญาณของเขาพลุ่งพล่านดวงตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงและความรู้สึกอันแข็งแกร่ง ที่พร้อมจะทำสงครามก้าวไปยังที่พักของสองพี่น้องตระกูลเอ๋า