ไหปีศาจ - บทที่ 266 การปะทะกันครั้งแรก
บทที่ 266 การปะทะกันครั้งแรก
ไม่อนุญาตให้มีการฆ่าเกิดขึ้นในการประลองนี่คือกฎเหล็กของสำนักเฉียนหลง
หากมีความขัดแย้งที่เข้ากันไม่ได้ถึงขั้นที่ต้องต่อสู้เอาชีวิตกัน ก็จะต้องไปประลองกันที่สังเวียนแห่งชีวิตและความตายแทน
อย่างไรก็ตามมันย่อมมีข้อยกเว้นสำหรับทุกสิ่ง แม้ว่าที่นี่จะมีอาจารย์พิเศษคอยควบคุมเวทีประลองและรับผิดชอบในการควบคุมสถานการณ์คอยเฝ้ามองอยู่ แต่มันก็มีข้อยกเว้นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการฆ่า “โดยบังเอิญ” บนเวที
มักจะมีเหตุการณ์ที่อาจารย์เข้าไปหยุดได้สายเกินกว่าที่จะช่วยผู้แพ้ได้ทันเวลา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาลูกหลานของตระกูลลั่วหลายคนเองก็ได้เสียชีวิตบนเวทีการประลองด้วยเหตุนี้
แม้ว่าผู้ลงมือฆ่าจะถูกลงโทษ แต่มันก็เป็นเพียงแค่การลงโทษเท่านั้น
“เอ๋าเฉา เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ” อาจารย์ตะโกนลั่นพร้อมยิงพลังวิญญาณเข้าไปหวังสกัด
แต่มันก็สายเกินไป
การโจมตีของเอ๋าเฉาเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด ทุกคนต่างเห็นได้ชัดว่าการต่อสู้นั้นสิ้นสุดลงแล้ว
ฉูจงฉวนนั้นอยู่ในสภาพที่หมดแรง เขาพยายามที่จะหลบเลี่ยง แต่ร่างกายกลับไม่ตอบสนอง
“ไม่จริงน่า นี่ข้าจะต้องมาตายแบบนี้เหรอเนี่ย?” ฉูจงฉวนยกเปลือกตาขึ้นอย่างเหนื่อยล้า “ข้ายังไม่ทันทำตามที่หวังได้สำเร็จเลย”
จากในระยะไกลเสียงอันคุ้นเคยได้ดังขึ้นมา
ไม่มีใครสังเกตเห็นตัวตนของต้นเสียง เนื่องจากระยะทางนั้นไกลเกินไป
เจ้าของเสียงดูเหมือนจะตะโกนจนสุดเสียง “ตวนซี ใช้ทักษะทะลวงมิติ!”
แสงสีขาวสว่างวาบ
ทันใดนั้นลั่วอู๋ก็ปรากฏตัวขึ้น โดยมีกระต่ายแห่งแดนสาบสูญตัวใหญ่อยู่ข้าง ๆ เขา อย่างไรก็ตามดวงตาของมันไม่ได้เป็นสีแดงอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับเป็นสีฟ้าเหมือนกับท้องฟ้า
นี่ไม่ใช่เสี่ยวไป่ของหลี่หยิน
แต่เป็นร่างเลียนแบบเสี่ยวไป่ของตวนซี
“ไปได้” ลั่วอู๋คว้าแขนของฉูจงฉวนแล้วใช้ทักษะทะลวงมิติหายไปอีกครั้ง
รังสีแห่งความตายยิงลงไปที่พื้นแทน มันฉีกพื้นออกเป็นเหมือนร่องน้ำ ถ้าฉูจงฉวนยังอยู่ในวิถีของมันละก็เขาคงจะถูกตัดครึ่งเป็นสองส่วน
“ฉูจงฉวน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” ลั่วอู๋พาฉูจงฉวนไปที่อีกมุมหนึ่งของเวทีการประลอง
ฉูจงฉวนกล่าวอย่างเหนื่อยล้า “ขอข้าชี้แจงก่อน ว่าข้าไม่ได้แพ้เขา แต่เขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้งข้าถึงแพ้”
“ใช่ ใช่ ข้ารู้ว่าเจ้าเก่ง” ลั่วอู๋ไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ใด ๆ ได้
นั่นมันตอนไหนกัน ? ไม่มีอะไรพิสูจน์ได้สักอย่าง ? ลั่วอู๋นั้นมาไม่ทันการประลอง
“เจ้าทำหน้าเหมือน เจ้าไม่เชื่อข้าเลย ข้าว่าข้าต้องเล่าให้เจ้าฟังก่อนแล้ว เรื่องมันเป็นแบบนี้ … ”
“หุบปาก!” ลั่วอู๋ไม่มีทางเดินหายใจที่ดี “พลังวิญญาณของเจ้าหมดเกลี้ยงแล้ว นอนลงดี ๆ เป็นปลาเค็มซะ อย่ามาเสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระ”
“โอ้…”
ฉูจงฉวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหุบปาก
อาจารย์ผู้ควบคุมการประลองรู้สึกโล่งใจ โชคดีที่ฉูจงฉวนถูกช่วยเอาไว้ได้ทัน จากนั้นเขาก็เขาพูดด้วยความโกรธ “การแข่งขันจบลงแล้ว! เอ๋าเฉา เมื้อกี้เจ้าคิดจะการทำอะไรรู้ตัวไหม เจ้าจงใจคิดจะฆ่าเด็กนักเรียนด้วยกันและฝ่าฝืนกฎของสำนักเฉียนหลง ตอนนี้ข้าขอสั่งให้ขับไล่เจ้าออกจากสำนักชั้นใน!”
เขาถูกไล่ออกจากสำนักชั้นในเนื่องจากละเมิดกฎของสำนักเฉียนหลงในทันที เขาจะถูกส่งไปยังสำนักชั้นนอก และจะสามารถกลับเข้ามาในสำนักชั้นในอีกครั้งได้ก็ต่อเมื่อเขาผ่านการทดสอบอันหนักหน่วงและต้องมีส่วนช่วยอย่างมากในการพัฒนาสำนักเฉียนหลง
สำนักชั้นนอกนั้นไม่มีอะไรเลย นอกจากชื่อในฐานะสำนักเฉียนหลง
เอ๋าเฉาไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของอาจารย์ เมื่อเขาเห็นลั่วอู๋ปรากฏตัวขึ้นมา ใบหน้าของเขาก็มืดมนกว่าเดิมและคำราม “ลั่วอู๋!”
ถ้าไม่ใช่เพราะลั่วอู๋เป็นเหตุ ฉูจงฉวนก็คงจะไม่มาท้าทายเขา
หากฉูจงฉวนไม่มาท้าทายเขาละก็ โอกาสในการฟื้นคืนชีพอันล้ำค่าของเขาก็คงจะไม่ต้องสูญเปล่าไปกับการประลองเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้
“จงตายเพื่อข้าเสียเถอะ!” เอ๋าเฉาคำราม
ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังวิญญาณเอ่อล้น และรูม่านตาที่แตกต่างกันของเขาเปล่งแสงสีทองทำให้ผู้คนรู้สึกถึงจิตสังหารอันไม่มีที่สิ้นสุด เขาคู่ควรแล้วที่จะได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะตั้งแต่วัยเยาว์ ด้วยท่าทางและพลังอันสูงส่งดั่งจักรพรรดิของเขา
เอ๋าหยู่น้องชายของเขายืนดูข้างเวทีโดยไม่คิดที่จะส่งเสียงหยุด ใบหน้าอันเฉยเมยของเขาเหมือนกับเขาไม่คิดว่า เอ๋าเฉากำลังทำอะไรผิด
เปิดใช้งานทักษะระดับ S [สายตาแห่งความตาย]
หากเกิดมาพร้อมกับดวงตาที่แตกต่างกัน ทักษะสายตาแห่งความตายจะสามารถแสดงผลออกมาได้อย่างทวีคูณ
นี่คือเหตุผลที่สองพี่น้องตระกูลเอ๋า เลือกเนตรทรราชชั่วร้ายเป็นสัตว์วิญญาณตัวที่สามเพราะมันเหมาะกับพวกเขามาก
ลั่วอู๋โกรธมาก เขายังไม่ทันได้ทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนด้วยซ้ำ พวกเขาต่างหากที่เริ่มก่อน! ช่างเป็นคนที่พาลหาเรื่องเสียจริง
การโจมตีด้วยภาพลวงตาและสถานะผิดปกติเริ่มขึ้น
เมื่อพูดถึงภาพมายาหรือภาพลวงตา ลั่วอู๋มีอะไรจะต้องกลัวด้วยงั้นเหรอ?
ลั่วอู๋เปิดใช้การผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณในทันที แต่ข้างหลังของเขาปรากฏเพียงแค่เงาของผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะ เขาผสานพลังเพียงแค่ของผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะเท่านั้น
ขณะเดียวกัน จู่ ๆ ก็มีต้าหวงสองตัวปรากฏขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นรูปร่างของต้าหวงทั้งสองตัวต่างก็เปลี่ยนแปลงไปในเวลาเดียวกัน กลายเป็นสุนัขที่มีขนสีเงินขนาดใหญ่ เขี้ยวของมันดูดุร้ายและกระดูกเดือยใต้เท้าก็ดูน่ากลัว ซึ่งสร้างแรงกดดันได้เป็นอย่างมาก
ที่ต่างกันมีเพียงแค่ต้าหวงตัวที่สองนั้นมีลมปราณที่อ่อนแอกว่าตัวแรกมาก
“มันมีทักษะแยกร่างอย่างงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ร่างแยก อีกตัวนั้นมีมิติวิญญาณที่ต่ำกว่ามาก มันเป็นร่างแยกพิเศษที่มีระบบความคิดของตัวเอง ช่างเป็นทักษะที่ล้ำค่าเสียจริง!”
“โชคดีที่ความแข็งแกร่งของร่างแยกพิเศษนั้นลดลงไปมากไม่งั้นมันคงจะอันตรายมากแน่”
มีการพูดคุยกันเกิดขึ้นมากมาย
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการสายตาแห่งความตายของเนตรทรราชชั่วร้าย ฉูจงฉวนได้ทะลุผ่านภาพลวงตานั้นและทำลายมันลงด้วยการเผาผลาญพลังวิญญาณทั้งหมดในบริเวณด้วยทักษะอัญเชิญเทพเพลิง
แต่ลั่วอู๋นั้นเลือกที่จะใช้ทักษะระดับสูงกว่าเพื่อบดขยี้อีกฝ่าย
เปิดใช้งานทักษะระดับ SS [มิติเวทมนตร์]
เงาของผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะส่องแสง
ทันใดนั้นรูม่านตาสีทองของเอ๋าเฉาก็หดตัวลงครู่หนึ่ง จากนั้นมันก็ค่อย ๆ จางหายไปเป็นสีเทา การรับรู้ของเขาตกลงสู่ห้วงเหวมืดที่ทำให้หายใจไม่ออก
จากนั้นดวงตาขนาดใหญ่บนศีรษะของเขาก็หายไป
ผู้คนต่างตกใจ
พวกเขาไม่ใช่คนโง่ ทุกคนต่างเห็นว่าทักษะของเอ๋าเฉานั้นถูกย้อนกลับไป จากนั้นก็ตกอยู่ในภาพลวงตาที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นแทน
ลั่วอู๋นั้นสามารถใช้ทักษะภาพมายาขั้นสูงกว่าควบคุมเอ๋าเฉาได้
แม้ว่าเอ๋าเฉาจะเพิ่งผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมา จนพลังวิญญาณของเขาก็ถูกใช้ไปมาก ทำให้ความแข็งแกร่งทางพลังวิญญาณของเขาหายไปเยอะ แต่มันก็ยังแปลกเกินไป
จังหวะนั้นเองต้าหวงทั้งสองก็เปิดปากของพวกมันออก ในเวลาเดียวกันแล้วปล่อยพลังคลื่นเสียงอันน่ากลัวออกมาทำให้ทุกคนต้องปิดหู
เปิดใช้ ทักษะระดับ S [เสียงคำรามแห่งความกล้า]
พลังอันรุนแรงซ้อนทับกันสองครั้ง การสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงที่ถูกส่งออกทำให้ร่างของเอ๋าเฉาถูกระเบิดออกในทันที เขากระอักเลือดออกจากปาก จากนั้นใบหน้าก็กลายเป็นสีซีด
ลั่วอู๋พยายามจะโจมตีต่อ แต่เขาก็ได้ยินฉูจงฉวนร้องขออย่างอ่อนแรง “อย่า อย่าฆ่าเขา”
“ทำไมล่ะ?” ลั่วอู๋หันศีรษะของเขาไป
ฉูจงฉวนกล่าวอย่างลำบากใจ “เจ้านั่นเป็นเหยื่อของข้า”
ลั่วอู๋หยุดทันที
เอ๋าเฉาว่าหยิ่งแล้ว แต่ดูเหมือนว่าฉูจงฉวนของเราจะหยิ่งผยองยิ่งกว่า เขาถูกอีกฝ่ายไล่ล่าและหวังจะสังหาร ถึงกระนั้นเขาก็ยังพูดแบบนี้ออกมาได้ ช่างหยิ่งผยองเสียนี่กระไร
“เอ๋าเฉา!” เอ๋าหยู่สะดุ้งแล้วรีบวิ่งเข้าไปกอดพี่ชายของเขา
ลั่วอู๋กล่าว “ไม่ต้องกังวลไป เขาเป็นเหยื่อของฉูจงฉวน ข้าจะไม่ฆ่าเขาแน่”
ดวงตาของเอ๋าหยู่ไม่สามารถปล่อยจิตสังหารออกมาได้
เขาไม่ได้คาดคิดว่าลั่วอู๋จะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเอ๋าเฉาใช้แรงมากเกินไปในการประลองก่อนหน้านี้ละก็ เขาคงจะไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับลั่วอู๋ ซึ่งเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงแน่
หากพวกเขาสนใจเพียงแค่เพื่อบรรลุภารกิจที่ตระกูลมอบให้ละก็ ตอนนี้เขาคงจะเข้าไปฆ่าลั่วอู๋แล้ว
“ทุกคนจงหยุด” อาจารย์พิเศษพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูโกรธมาก พร้อมจ้องไปที่นักเรียนโดยไม่ละสายตา “ใครก็ตามที่คิดจะเริ่มการต่อสู้อีกครั้ง จะถูกไล่ออกจากสำนักชั้นใน”
ช่างน่าเสียดาย
เอ๋าหยู่จ้องมองไปที่ลั่วอู๋ด้วยจิตสังหารอันรุนแรงพร้อมกล่าวว่า “สามวันหลังจากนี้ ในการประลอง ข้าจะแสดงให้เจ้าได้ลิ้มรสว่าการมีชีวิตอยู่นั้นทรมานยิ่งกว่าความตาย”
“ได้เลย ข้าจะตั้งตารอเจ้า.” ลั่วอู๋เย้ยหยัน “น่าเสียดายที่ตอนนี้สองพี่น้องตระกูลเอ๋าเหลือเพียงแค่คนเดียวเสียแล้ว แบบนี้ข้าก็อดที่จะได้กำราบทั้งสองคนพร้อมกันนะสิ”
เอ๋าหยู่เดินจากไปพร้อมกับเอ๋าเฉาผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส