ไหปีศาจ - บทที่ 283 เริ่มต้นการล่า
บทที่ 283 เริ่มต้นการล่า
บทที่ 283 เริ่มต้นการล่า
ผู้คนในสำนักเฉียนหลงต่างคิดว่าลั่วอู๋นั้นเป็นบ้าไปแล้ว
แม้ว่าเขาจะเอาชนะเอ๋าหยู่ได้ แต่มันก็สำเร็จได้เพราะสัตว์วิญญาณของเขาชนะทางเอ๋าหยู่ แล้วแบบนี้เขาจะไปเอาชนะนักเรียนชั้นยอดของสำนักหม่าเฉินทุกคนได้อย่างไร
อย่างไรก็ตามผู้คนจากสำนักหม่าเฉินไม่มีใครรู้สึกโกรธ พวกเขาเพียงแค่คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ
“เจ้ากำลังพูดอะไรของเจ้า ? ต้องการจะชิงคะแนนของพวกเราทุกคนงั้นเหรอ ไม่มีทางน่า ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าอยากจะให้ข้าหัวเราะจนตายรึไง ?”
“ความโง่เขลาและความหยิ่งยโสของเจ้าทำให้ข้าอยากจะหัวเราะ”
“ทำไม ? นี่เจ้าคิดว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะ พวกข้าได้ด้วยทักษะการปรับแต่งพลังวิญญาณของตัวเองรึไง น่าขำชะมัด”
ผู้คนของสำนักหม่าเฉินจำนวนมากกำลังหัวเราะเยาะเขา
หลังจากรู้สึกได้ถึงลมปราณของลั่วอู๋ หลายคนก็แสดงรอยยิ้มเหยียดหยาม
ลมปราณนั้นเป็นอะไรที่ไม่สามารถโกหกกันได้
ลมปราณของเขาแม้ว่าจะอยู่ในระดับทอง แต่ก็อยู่เพียงแค่ในระดับสามัญเท่านั้น และพลังวิญญาณของเขาก็ไม่ได้รุนแรง ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่าเขาไม่ได้มีทักษะหรือศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง
ถึงลมปราณจะดูแข็งแกร่ง แต่เขาก็ยังขาดบรรยากาศของความดุร้าย เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้ไม่ได้ผ่านการต่อสู้มามากมายเท่าไหร่
บุคคลเช่นนี้ถ้าหากไม่ใช่เพราะตัวตนในฐานะผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณ ก็คงจะไม่มีใครจำเขาได้เลย
หยู่เสี่ยวฉางก็ยังส่ายหัวอย่างเงียบ ๆ
คนจากสำนักเฉียนหลงคนนี้มีแต่ความหยิ่งผยองจน ไม่สมควรมองว่าเป็นเป้าหมายเลยด้วยซ้ำ
ไห่เซอมองไปที่ลั่วอู๋แล้วหัวเราะอย่างดุร้าย “ก็แล้วแต่เจ้าเลย ทำไมเราไม่มาเริ่มวัดกันด้วยการประลองตั้งแต่ตอนนี้กันไปเลยล่ะ เพื่อที่เจ้าจะได้เจียมตัว”
“การประลองงั้นเหรอ? ไม่มีทาง” ลั่วอู๋ส่ายหัว “การประลองธรรมดา ข้าเล่นแรงไม่ได้ เจ้าอดใจรอจนกว่าจะเริ่มการทดสอบการต่อสู้จริงเถอะ”
“ก็แค่ขู่ข้าง ๆ คู ๆ” ไห่เซอเยาะเย้ย
ลั่วอู๋หันหน้าหนี
ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจคำพูดของลั่วอู๋เลย
ผู้คนทั้งสองฝ่ายต่างส่งเสียงโห่ร้องกันอยู่พักหนึ่ง มีคนจำนวนหนึ่งที่กลั้นหายใจไม่อยู่และกู่ร้องคำว่า “ดวล” ออกมาไม่กี่ครั้ง แต่ในที่สุดก็แยกย้ายกันไป
ผู้คนในสำนักเฉียนหลงมองไปที่ลั่วอู๋ด้วยสายตาแปลก ๆ
ไม่มีใครมองลั่วอู๋ในแง่ดีทั้งนั้น
แม้แต่สาว ๆ ในกลุ่มแม่มดเองก็เช่นกัน พวกนางรู้ว่าระดับการปรับแต่งของท่านอาจารย์นั้นดีมาก แต่ในการต่อสู้ จริง ๆ พวกนางไม่แน่ใจนัก
ณ บ้านของลั่วอู๋
หลี่หยินเชื่อในตัวลั่วอู๋มาตลอด
เมื่อนายน้อยพูดเช่นนั้น เขาต้องแน่ใจว่าเขาทำได้แน่ เพราะฉะนั้นนางไม่จำเป็นต้องกังวลเลยสักนิด
ความเชื่อใจอันไม่มีเหตุผลและมั่นคงอย่างยิ่งนี้ ทำให้ลั่วอู๋รู้สึกว่านางมีประโยชน์มากในเวลาแบบนี้
ฉูจงฉวนมาที่บ้านพักของลั่วอู๋ เขาเกาหูเกาแก้มแล้วกระโดดขึ้นลง ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขาก็กลั้นไว้
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ? เจ้าคิดว่าข้ากำลังอารมณ์ไม่ดีใช่ไหม?” ลั่วอู๋พูดอย่างเงียบ ๆ
ฉูจงฉวนไม่มีวิธีตอบอื่นที่ดี “ข้าแค่เล่นเป็นลิง เพราะข้าเป็นห่วงและกลัวที่จะทำร้ายความภาคภูมิใจในตนเองของเจ้า ในขณะที่เจ้ากำลังจะไปหาเรื่องตาย ถ้าข้าบอกสิ่งที่ข้าคิดจริง ๆ ไป”
“เฮ้ แม้แต่เจ้าเองก็ไม่ชอบข้างั้นเหรอ” ลั่วอู๋กล่าว
“ไม่เลย ข้ามองเจ้าในแง่ดีมาก ถึงตอนนี้นักเรียนทุกคนในสำนักเฉียนหลงจะคิดว่าเจ้ากำลังพยายามทำตัวกล้าหาญและหาเรื่องตายก็เถอะ!” ฉูจงฉวนหายใจติดขัดนิดหน่อย “อย่างน้อยครึ่งนึงของคนป่าเถื่อนพวกนั้นก็แข็งแกร่งไม่ได้น้อยไปกว่าเอ๋าหยู่ ยิ่งพวกคนที่อยู่ตรง อันดับสาม อันดับสอง อันดับหนึ่ง นั้นแข็งแกร่งกว่าเขาด้วยซ้ำ และไม่มีใครคิดว่าจะสามารถจัดการพวกเขาได้ง่าย ๆ ด้วย”
ลั่วอู๋พูดอย่างสบาย ๆ “อันที่จริง เจ้าเองก็ยังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของข้า”
“ข้าไม่เข้าใจ” ฉูจงฉวนจ้องมองไปที่เขา
“ลั่วอู๋ แม้เจ้าจะมีทักษะคลื่นพลังวิญญาณของตระกูลลั่วที่สืบทอดกันมา แต่เจ้าก็มีพลังวิญญาณที่อ่อนโยนเกินไป แม้จะมีความอดทน แต่ก็ขาดคุณสมบัติในการต่อสู้ที่ทรงพลัง ด้านสัตว์วิญญาณอย่างต้าหวง ผีเสื้อปีกมายาอมตะ และภูตสงคราม แม้จะมีทักษะในการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการฝึกสอนของหนิงปิงหลันทำให้พัฒนาขึ้นมาบ้าง แต่ก็มีประสบการณ์ในการต่อสู้เพียงไม่กี่ครั้ง ซึ่งเมื่อเทียบกับอีกฝ่ายที่มีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชนแล้ว เจ้าก็ยังห่างชั้นกับพวกนั้นมาก! ”
ลั่วอู๋กะพริบตา “เจ้าลืมบอกว่าข้าเป็นผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณที่มีความสามารถยอดเยี่ยม”
“เริ่มใหม่สิ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” หลังจากพูดไปไม่กี่มุก ลั่วอู๋ก็พูดว่า “ไม่ต้องห่วงข้ามีแผนของข้าน่า และข้าแน่ใจว่ามันจะไม่ผิดพลาด”
ฉูจงฉวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อคำพูดของลั่วอู๋
……
……
ลั่วอู๋เลือกที่จะเข้าร่วมการทดสอบการต่อสู้จริงในอีกสามวันหลังจากนี้
ในช่วงสามวันที่ผ่านมานั้นมีการยั่วยุจากผู้คนของภูเขาแห้งแล้งอย่างต่อเนื่อง โดยขอให้ลั่วอู๋เข้าร่วมในการทดสอบการต่อสู้จริงและตายลงไป แต่ลั่วอู๋ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวโต้ตอบอะไรไป
เขาเดินไปที่คฤหาสน์หวู่หยู่
“ข้าต้องการดูสัตว์วิญญาณทั้งหมดในคฤหาสน์ หวู่หยู่” ลั่วอู๋กล่าว
คำตอบของเจ้าของร้านนั้นเรียบง่าย “ออกไป”
สัตว์วิญญาณที่ทรงพลังนั้นจะถูกขังอยู่ในพื้นที่แยกย่อย ซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการตรวจสอบ คฤหาสน์ หวู่หยู่จึงไม่คิดจะใส่ใจกับคำขอดังกล่าว
แม้ว่าลั่วอู๋จะยอมจ่ายในราคาแพง แต่เจ้าของร้านของคฤหาสน์หวู่หยู่ก็ยังคงปฏิเสธคำขอของลั่วอู๋
ลั่วอู๋จึงทำได้เพียงถอยและแสวงหาตัวเลือกที่สอง
เขามาที่เวทีศิลปะการต่อสู้เพื่อพบเหล่านักเรียนของสำนักเฉียนหลงและขอดูสัตว์วิญญาณของกันและกัน
เพราะเขาเป็นผู้นำในการแบ่งปันข้อมูล และลุกขึ้นยืนต่อต้านในตอนที่ผู้คนจากภูเขาแห้งแล้งมาท้าทาย แม้ว่าทุกคนจะสงสัยว่าเขาอาจจะบ้า แต่หลายคนก็ยังชอบเขา
ดังนั้นคำขอดังกล่าวที่ไม่ได้ลำบากอะไร จึงได้รับการยอมรับจากทุก ๆ คน
มันเป็นเพียงแค่การขอดูสัตว์วิญญาณ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
สามวันต่อมา
ลั่วอู๋นั่งสมาธิปรับสภาพของตัวเองให้ดีที่สุด ก่อนจะเดินทางออกไป
เพื่อเข้าสู่การทดสอบการต่อสู้จริง
สถานที่ในการทดสอบนั้นตั้งอยู่ในอาณาจักรภูเขาแห้งแล้ง ซึ่งมีแต่ยอดเขาสูงอันตรายและหน้าผาที่นี่มีก้อนหินขนาดใหญ่ทุกหนทุกแห่งและภูเขาที่เปลือยเปล่าเต็มไปหมด
วันนี้หลายคนเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการทดสอบการต่อสู้จริง
อย่างน้อย ๆ นักเรียนของสำนักหม่าเฉินทุกคนก็มาเข้าร่วม ในขณะที่ทางสำนักเฉียนหลงมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่เข้าร่วม พวกเขาบางคนยังไม่กล้าพอที่จะเข้าร่วม เพราะพวกเขารู้สึกว่าตัวเองยังไม่แข็งแกร่งมากพอ
อันดับในรายชื่อเฉียนหลงจึงเปลี่ยนไปมาก
ลั่วอู๋ตกจากอันดับที่ห้าเป็นอันดับที่เก้า และชายอีกสองคนจากภูเขาแห้งแล้งก็ได้ขึ้นไปแทน ตอนนี้มีนักเรียนของสำนักเฉียนหลงเหลือเพียงสามคนเท่านั้นในรายชื่อสิบอันดับแรก
ผู้รับผิดชอบในการทดสอบการต่อสู้จริงคืออาจารย์พิเศษวัยกลางคน
อาจารย์พิเศษส่งแผ่นหินสีเขียวให้กับลั่วอู๋ ซึ่งบันทึกคะแนนการประเมินส่วนบุคคลทั้งหมดเอาไว้ หากเขาเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ เขาจะสามารถดึงคะแนน 100 คะแนน มาจากผู้แพ้ได้ด้วยแผ่นนี้
ทั่วทั้งพื้นที่สนามประลองในอาณาจักรภูเขาแห้งแล้งมีอาจารย์ทั้งหมด 17 คนคอยสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครฝ่าฝืนกฎการทดสอบ
อย่างไรก็ตามกฎการทดสอบนั้นค่อนข้างหละหลวม
ตราบใดที่จงใจฆ่าโดยเจตนาร้าย หรือจงใจจ้องที่เล่นงานบุคคลเดิม ๆ เพื่อเอาชนะชิงคะแนนหลาย ๆ ครั้ง ก็จะยังไม่ถือว่าละเมิดกฎ
ดังนั้นในความเป็นจริงแล้วการลงมือฆ่าคนก็ไม่มีปัญหาสักเท่าไหร่
แน่นอนว่าตราบใดที่อีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถเป็นเป้าหมายในการฆ่าได้อีก และอาจารย์พิเศษที่สังเกตการณ์อยู่ก็จะพาตัวผู้แพ้ออกจากสนามประลองไป ส่วนจะออกไปเลยหรือกลับเข้ามารับการทดสอบในที่อื่นต่อไปนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของแต่ละคน
กฎนั้นเข้าใจได้ง่าย ๆ
ลั่วอู๋เดินเข้าไปในภูเขาแห้งแล้งและเริ่มต้นการทดสอบ
“ว่ากันว่าผู้คนจากอาณาจักรภูเขาแห้งแล้งทุกคนนั้นมีส่วนร่วมในการทดสอบต่อสู้จริงทุกวัน และพวกเขาก็เป็นกลุ่มคนบ้าที่ชื่นชอบการต่อสู้”
ลั่วอู๋หันมือของเขาจากนั้นแมลงปีกแข็งสีทองขนาดเท่าเล็บก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา
มันคือแมลงกินวิญญาณระดับนางพญา
หลังจากนั้นเหล่าแมลงกินวิญญาณในมิติไหก็ถูกเรียกออกมา
“ไปตามหาพวกเขาซะ” ลั่วอู๋สั่งพวกมัน
นอกจากนี้ลั่วอู๋ยังเรียกนกโง่ออกมาด้วย
นกโง่นั้นกระพือปีกอย่างภาคภูมิใจ ขนศักดิ์สิทธิ์ของมันดูนุ่มนวลและสดใส ส่วนขนที่มีสีสันเองก็ดูสง่างามและมีเกียรติ น่าเสียดายที่มิติวิญญาณของมันเป็นเพียงแค่ระดับเงิน มิติ 9
ต่างจากลั่วอู๋ที่เป็นระดับทอง
ช่องว่างระหว่างมิติวิญญาณขนาดใหญ่ ทำให้นกโง่รู้สึกถึงแรงกดดันจากลั่วอู๋เป็นครั้งแรก
ไม่ว่าราชานกจะสูงส่งเพียงใด แต่มิติวิญญาณของมันก็ยังไม่เพียงพอ ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะไม่มีศักดิ์ศรีหลงเหลืออีกต่อไป
ภาพลักษณ์ที่ภาคภูมิใจในอดีต มักทำให้ผู้คนขาดความมั่นใจ
“อย่าทะนงตัวให้มาก” ลั่วอู๋เหลือบมองมัน “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการที่จะยกระดับมิติวิญญาณใช่ไหมล่ะ เจ้าต้องการรักษาความภาคภูมิใจของเจ้าไว้ และข้ามีวิธีที่จะช่วยเจ้าด้วยมิติไห มันคงเป็นเรื่องที่น่าสังเวชหากข้าจะปล่อยให้ไป่ฉีจัดการเจ้าอยู่ฝ่ายเดียว”
นกโง่โกรธมาก
มนุษย์ที่ข้าเกลียดชัง ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นเหตุ ข้าจะถูกมันข่มเหงได้อย่างไร!
แต่มันก็สงบลง
เพราะคำพูดของลั่วอู๋ทำให้ตื่นเต้นมาก
มันต้องการยกระดับมิติวิญญาณ เพื่อรักษาความภาคภูมิใจของมัน
ผู้สูงศักดิ์อย่างมันจะยอมโดนผีปราบอยู่ตลอดได้ยังไง !!
“ตราบใดที่เจ้าออกมาช่วยข้าเมื่อข้าต้องการ ข้าก็จะให้ยาสำหรับการฝึกฝนมิติวิญญาณเพื่อความเข้าใจในแก่นวิญญาณกับเจ้า แม้แต่จะใช้พลังของไหปีศาจเพื่อช่วยยกระดับมิติวิญญาณของเจ้าโดยตรงก็ยังได้” ลั่วอู๋หัวเราะเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เจ้าเล่ห์ “เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ สนใจไหม?”
ลั่วอู๋รู้ดีว่าเขานั้นยังมีข้อบกพร่องอยู่มากมาย
แต่เขาก็รู้วิธีใช้ประโยชน์จากข้อดีของตนเอง และพลังวิญญาณอันอ่อนโยนของเขาก็ทำให้เขาสามารถใช้วิธีการต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้เขายังมีตัวช่วยอื่น ๆ อีกมากมาย
นั่นหมายความว่าเขาสามารถใช้กลยุทธ์ที่หลากหลาย เพื่อจัดการกับศัตรูได้
ลั่วอู๋ปล่อยผียามออกไปหลายร้อยตัว จากนั้นก็มองไปที่ฝูงแร้งทราย เหยี่ยวหยกขาวและนกนางนวลแดงที่บินอยู่บนท้องฟ้า พร้อมกับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
การล่านั้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว