ไหปีศาจ - บทที่ 295 การค้นพบ
บทที่ 295 การค้นพบ
บทที่ 295 การค้นพบ
แม้ว่าอีกฝ่ายจะหนีไปได้ แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายนั้นจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน คาดว่าเขาคงไม่โผล่มาให้เห็นตัวไปอีกนาน
“เทพตกสวรรค์ … ” ลั่วอู๋ครุ่นคิดเล็กน้อย
การทดสอบการต่อสู้จริงนั้นอนุญาตให้มีเพียงแค่นักเรียนเท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้ และลั่วอู๋ก็รู้ดีว่านักเรียนเกือบทุกคนในสำนักเฉียนหลงนั้นมีสัตว์วิญญาณแบบไหนอยู่ในครอบครอง
หรือว่าจะเป็นเอ๋าเฉียนจุน?
รอยยิ้มอันอ่อนโยนของชายคนหนึ่งฉายผ่านเข้ามาในความคิดของลั่วอู๋ ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาคนนั้นคือชายลึกลับรึเปล่า
ใบหน้าของจินฉันกลายเป็นสีขาวซีด มีพลังแห่งความมืดเคลื่อนเข้ามาในร่างกายของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้บาดเจ็บ แต่เขาก็พยายามระงับอาการบาดเจ็บแล้วปีนขึ้นไปด้านบน
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”ลั่วอู๋ถาม
จินฉันส่ายหัว “ข้ายังไม่ตาย แต่เกรงว่าข้าคงจะต้องไปพักฟื้นก่อนสักระยะหนึ่ง”
หลังจากนั้นจินฉันก็หยิบหินสีเขียวที่บันทึกคะแนนของตัวเองออกมา
ลั่วอู๋ตะลึง “เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ?”
“ถ้าเจ้าเรียกผีตนนั้นออกมาอีกในตอนนี้ ข้ามั่นใจว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าแน่ ในเมื่อข้าแพ้เจ้าแล้ว เจ้าก็ควรได้รับ 100 คะแนนนี้ไป” จินฉันกล่าว
“ไม่จำเป็นน่า” ลั่วอู๋ปฏิเสธ
“ข้าเกรงว่าข้าคงต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกนานกว่าจะได้มาสู้กับเจ้าที่ภูเขาแห้งแล้งอีกครั้ง”จินฉันกล่าว “เจ้าไม่ต้องการทำตามคำพูดของเจ้าที่ประกาศเอาไว้หรอกเหรอ ?”
เขาจะไปพักฟื้นสักพักใหญ่ ๆ
แม้ว่าลั่วอู๋ต้องการจะสู้อย่างยุติธรรมกับเขา แต่เขาก็เกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสนั้นในเร็ววันนี้สำหรับเขา
ลั่วอู๋คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักพักก่อนจะรับ 100 คะแนนไป จากนั้นก็ถามกลับ “ถ้าเจ้าจะไปพักฟื้นตัว อย่างนั้นอันดับของรายชื่อเฉียนหลงก็ … ”
“ใช่ เดี๋ยวก็จะมีคนแซงข้าขึ้นไป” จินฉันดูสงบมาก “แต่ไม่ว่ายังไง อันดับที่หนึ่งก็ต้องตกเป็นของสำนักหม่าเฉินของพวกเราแน่”
ลั่วอู๋ไม่เข้าใจ “เจ้าไปเอาความมั่นใจขนาดนี้ มาจากที่ไหน?”
จินฉันที่เป็นอันดับหนึ่งบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถหาคะแนนเพิ่มต่อไปได้อีก
อันดับที่สองและสามคือ หวู่เก๋าและอากูดะ ซึ่งตายไปแล้วทั้งคู่ แล้วเขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าสำนักหม่าเฉินจะได้อันดับหนึ่งไปครอง ?
ลั่วอู๋มองดูไปที่รายชื่ออันดับเฉียนหลง
ที่หนึ่งนั้นยังคงเป็น จินฉัน
อันดับที่สองคือ เหว่ยเฉิงโฉว
อันดับที่สามคือ เหวินเสี่ยว
ตอนนี้ในสิบอันดับแรกของรายชื่อเฉียนหลง มีถึงหกที่มาจากสำนักเฉียนหลง คำพูดอันชัดเจนของจินฉันดูเหมือนว่ามันจะห่างไกลจากความเป็นจริงไปเยอะ
“ฮ่า ๆ ข้าไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักหม่าเฉินหรอกนะ ยังมีคนที่แข็งแกร่งระดับสัตว์ประหลาดที่ไม่ปรากฏตัวออกมาอยู่ แต่ก็คงอีกไม่นานหรอก” จินฉันยิ้มอย่างมีเลศนัย
จินฉันส่งสัญญาณยอมรับความพ่ายแพ้ จากนั้นอาจารย์พิเศษก็ปรากฏตัวขึ้นมาและพาเขาออกไปจากบริเวณการทดสอบ
ลั่วอู๋ได้แต่ครุ่นคิด ในหมู่คนจากสำนักหม่าเฉินยังมีหมายเลขหนึ่งที่แท้จริงซ่อนอยู่? แถมยังอยู่ในขั้นที่แม้แต่จินฉันก็ไม่สามารถชนะได้อย่างนั้นเหรอ?
“ลำบากจริง ๆ เลย การจะไปให้ถึงอันดับหนึ่งนี่มันช่างยากเสียจริง” ลั่วอู๋ทุกข์ใจ
จากนั้นลั่วอู๋ก็เดินออกไปจากภูเขาแห้งแล้ง
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ภูเขาแห้งแล้ง ค่อย ๆ ถูกแพร่ออกไป ทำให้ความสงสัยของมวลชนต่อลั่วอู๋ว่าเป็นฆาตกรได้ถูกลบล้างหายไปอย่างสมบูรณ์
จินฉันและลั่วอู๋ไม่ได้ต่อสู้กันเพื่อตัดสินระหว่างชีวิตและความตาย แต่เพื่อล่อดึงงูร้ายออกมาจากรูของมัน
น่าเสียดายที่ชายลึกลับคนนั้นหนีไปได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดจินฉันก็ยอมรับว่าเขาไม่สามารถชนะลั่วอู๋ได้ และยอมส่งคะแนน 100 คะแนนโดยสมัครใจให้กับลั่วอู๋ ซึ่งทำให้ทุกคนประหลาดใจ ว่าจริง ๆ แล้วลั่วอู๋นั้นแข็งแกร่งมาก
นอกจากหวู่เก๋าและอากูดะที่ตายไปแล้ว คนอื่น ๆ นั้นไม่ได้มีคะแนนสูงเกินกว่าที่ลั่วอู๋จะไล่ตามไม่ทัน เพราะตอนนี้เขานั้นได้รับคะแนนการทดสอบมาคนละ 100 คะแนน เป็นจำนวนกว่า 27 คน
นี่เป็นการพิสูจน์อย่างหนึ่งว่าคำพูดอันเย่อหยิ่งของเขานั้นไม่ได้เกินไปกว่าความจริง
ในขณะเดียวกัน ชื่อเสียงของลั่วอู๋ที่เดิมทีไม่ได้โด่งดังอะไรมาก ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาคือบุคคลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสำนักเฉียนหลงทั้งหมดเสียแล้ว
หลายคนรู้ดีว่าลั่วอู๋ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณที่ทรงพลังเท่านั้น แต่เขายังแข็งแกร่งมากในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้
แน่นอนว่าลั่วอู๋เองก็รู้ดีว่าถึงแม้เขาจะแข็งแกร่งขึ้นมามาก แต่ก็ยังมีช่องว่างระหว่างตัวเขากับผู้มีพรสวรรค์ระดับสูงอยู่
เขายังคงต้องฝึกฝนอย่างหนักต่อไป อย่างน้อย ๆ ก็ควรยกระดับมิติวิญญาณให้สูงขึ้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว มิติวิญญาณก็คือรากฐานของความแข็งแกร่ง
แต่ก่อนหน้านั้นลั่วอู๋มีบางอย่างที่ต้องไปทำ
……
……
“เข้ามา”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เหวินเสี่ยว ปิดประตูและเห็นว่าลั่วอู๋มายืนรออยู่ที่ประตู มองมาที่ตัวเองพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา “ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ ให้ข้าเข้าไปนั่งด้านในสักพักได้ไหม ?”
“แน่นอนสิ” เหวินเสี่ยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาก็ยังคงมีรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนเหมือนเดิม
เขามีรอยยิ้มอันสดใสจนผู้คนไม่สามารถคิดเป็นอย่างอื่นได้นอกจากรู้สึกดีกับมัน เรียกได้ว่าเป็นรอยยิ้มอันสดใส ที่ดูเหมือนจะสามารถขจัดความโกรธของผู้คนให้หมดไปได้
ด้านข้างของเหวินเสี่ยวมีภูตปีกแสงอยู่ มันมีดวงตาสีเข้มที่มีชีวิตชีวาและปีกเล็ก ๆ อันศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังกระพือปีกไปมา ให้ความสงบสุขภายในใจแก่ผู้คน
ต้องเป็นบุคคลเช่นเขาเท่านั้นที่จะคู่ควรกับภูตปีกแสง
และต้องเป็นภูตปีกแสงเท่านั้นที่จะเหมาะสมกับเขาผู้นี้ที่สุด
ลั่วอู๋เดินเข้าไปนั่ง จากนั้นเหวินเสี่ยวก็ถอนหายใจ “ต้องขอแสดงความยินดีกับเจ้าก่อน ที่เจ้าสามารถเอาชนะทุกคนในสำนักหม่าเฉินได้สำเร็จ ช่างเป็นความแข็งแกร่งที่น่าอิจฉาจริง ๆ”
“ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้นแหละ นอกจากนี้ข้าได้ยินมาว่ายังมีนักเรียนระดับสัตว์ประหลาดในสำนักหม่าเฉิน ที่ยังไม่มาปรากฏตัวอยู่อีก” ลั่วอู๋ตอบ จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เหวินเสี่ยว เจ้าดูแย่มาก เจ้าบาดเจ็บมางั้นเหรอ?”
ดวงตาของเหวินเสี่ยวเปล่งประกายด้วยความระแวงอยู่ชั่วพริบตาหนึ่ง แต่เขาปกปิดได้ทันก่อนที่ลั่วอู๋จะสังเกตเห็น
“ไม่เลย ไม่ ข้าไม่ได้บาดเจ็บอะไร” เหวินเสี่ยวกล่าวด้วยความสับสน
ลั่วอู๋ชักสีหน้า “ข้าคงคิดไปเองสินะ พอดีใบหน้าของเจ้ามันดูซีดเซียวเกินไป ข้าเลยคิดว่าเจ้าน่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง”
เหวินเสี่ยวยิ้มและไม่พูดอะไร
“ว่าแต่เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรรึเปล่า ?” เหวินเสี่ยวถาม
“ไม่มีอะไรหรอก” ลั่วอู๋พูด “ข้าแค่คิดว่า พวกเราเป็นเพื่อนที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมานาน พวกเราน่าจะคุยกันให้มากกว่านี้”
“งั้นก็ดี” เหวินเสี่ยวพยักหน้า
ลั่วอู๋แสยะยิ้มแล้วยืดอก “เฮ้ เฮ้ จะว่าไปแล้วภูตปีกแสงของเจ้ามีทักษะร่างกายอมตะศักดิ์สิทธิ์จำลอง รึเปล่า?
เหวินเสี่ยวส่ายหัว “ไม่นะ”
“น่าเสียดายจัง” ลั่วอู๋กล่าวด้วยความเสียใจ “แต่ข้าก็ไม่คิดว่าเทพตกสวรรค์ ซึ่งเป็นสัตว์วิญญาณธาตุมืดจะเชี่ยวชาญทักษะร่างกายอมตะศักดิ์สิทธิ์จำลองได้ใช่ไหม ?”
เหวินเสี่ยวยังคงไม่มีพิรุธอะไรและพูดคุยไปตามปกติ
“งั้นข้าก็ไม่มีอะไรหรอก วันนี้ขอตัวกลับไปก่อนละกัน” เมื่อลั่วอู๋ได้พูดคุยแล้ว เขาก็พร้อมที่จะกลับไป
เหวินเสี่ยวจึงเดินไปส่งลั่วอู๋ แต่จู่ ๆ ลั่วอู๋ ก็หยุดนิ่งอยู่ที่หน้าประตูแล้วเงียบไปเป็นเวลานาน ให้ความรู้สึกอันซับซ้อน เหมือนว่าทำอะไรไม่ถูก จากนั้นเขาก็ส่ายหัว
เหวินเสี่ยวนั้นไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติไปเลย อันที่จริงแล้วเขาดูปกติมากเกินไปด้วยซ้ำ
ที่แปลกก็คือสำหรับผู้ที่ครอบครองภูตปีกแสงอย่างเขา เขาดูกลับสงบนิ่งเกินไปเมื่อได้ยินเกี่ยวกับเทพตกสวรรค์
มันจึงดูผิดปกติและย้อนแย้งแปลก ๆ
“อย่างน้อยพวกเราก็เป็นเพื่อนที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา แม้ว่าเขาจะฆ่าคนแต่พวกเขาก็อยู่ในการทดสอบการต่อสู้จริง มันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีการฆ่าและการตายเกิดขึ้น”
“แม้ว่าเขาจะโจมตีข้าแต่ข้าก็ฆ่าเขาไปหนึ่งครั้ง ซึ่งก็คงถือว่าหายกันแล้ว ข้าหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีกก็พอ” ลั่วอู๋ถอนหายใจในใจ
จากนั้นเขาก็เดินจากไปอย่างช้าๆ
ในคฤหาสน์ของเหวินเสี่ยว
เหวินเสี่ยวคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเจ็บปวด ดวงตาอันชัดเจนของเขาดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหมอก เหงื่อเย็น ๆ ของเขาก็ไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมาก
ภูตปีกแสงที่ลอยอยู่ข้าง ๆ เขาเริ่มมีลมปราณที่ไม่เป็นระเบียบ บางครั้งก็ศักดิ์สิทธิ์บางครั้งก็มืดมิด ราวกับว่ามีทั้งแสงสว่างและความมืดรวมเข้าด้วยกัน
“รู้แล้ว! เราต้องฆ่าเขา” เสียงอันเย็นชาดังออกมาจากปากของเหวินเสี่ยว
“ไม่! ไม่มีทาง”
อีกเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้น เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“เจ้าลืมคำสาบานของเจ้าไปแล้วรึไง? เจ้าลืมประเทศของเจ้าไปแล้วงั้นเหรอ ? เหล่าผู้คนของเจ้าน่ะ”? เสียงนั้นดังขึ้นมาเหมือนค้อนขนาดใหญ่ตีไปที่เหวินเสี่ยว
เหวินเสี่ยวคำราม “ข้าจำได้! แต่คำสาบานนั้นมันไม่ได้รวมไปถึงการฆ่าผู้บริสุทธิ์ เจ้ากลับออกไปซะนี่มันเป็นร่างกายของข้า”
“ฮ่า ฮ่า แต่ข้าก็คือตัวเจ้า”
“ไม่ ไม่ใช่ เจ้าไม่ใช่ข้า ออกไปซะ!
ดวงตาของเหวินเสี่ยวฉายแววที่เต็มไปด้วยความหนักแน่น แสงศักดิ์สิทธิ์พยายามระงับความมืดมิดที่พลุ่งพล่านในร่างกายของเขา จนในที่สุดเสียงนั้นก็สลายหายไป
ภูตปีกแสงกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมที่มีสีขาวบริสุทธิ์ไร้ที่ติ
เหวินเสี่ยวนอนอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรงโดยมีน้ำตาใสคลออยู่ในดวงตาด้วยเหตุผลบางประการ จากนั้นเขาก็ย่อตัวนั่งลงที่มุมห้อง ภูตปีกแสงโน้มตัวไปข้าง ๆ เหวินเสี่ยวอย่างระมัดระวังโดยไม่ได้พูดอะไร
มันทำได้แค่เพียงอยู่เคียงข้างเขาเท่านั้น