ไหปีศาจ - บทที่ 348 การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สี่ของการต่อสู้ครั้งแรก
บทที่ 348 การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สี่ของการต่อสู้ครั้งแรก
บทที่ 348
การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สี่ของการต่อสู้ครั้งแรก
นรกมนตรานั้นเหมือนกับคุกอันมืดมิด
มันไม่มีแสงสว่างใด ๆ และอากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นอันน่าขยะแขยงเหมือนท่อระบายน้ำที่อับชื้น
มีหินเหวอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันดูรกร้างสุด ๆ
ลั่วอู๋และพรรคพวกหลบออกมาระยะหนึ่ง จนเริ่มสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของนรกมนตราได้นิดหน่อย
“ที่นี่พลังวิญญาณนั้นสำคัญมาก พยายามหลีกเลี่ยงการใช้มันดีกว่า” พูดจบลั่วอู๋ก็หยิบรองเท้าเหินฟ้าออกมาสองคู่ หนึ่งคู่สำหรับเหวินเสี่ยวและอีกอันสำหรับตัวเขาเอง
เหวินเสี่ยวมองไปที่รองเท้าเหินฟ้าในมือของเขาแล้วถาม “เจ้าให้รองเท้าคู่นี้มาทำไม?”
“มันเป็นของดีน่า เจ้าต้องลองดูด้วยตัวเอง” ฉูจงฉวนขมวดคิ้วและทำตาเยาะเย้ย
เหวินเสี่ยวลองใช้มันดูสักพัก มันทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ
เพื่อประหยัดพลังวิญญาณพวกเขาจึงต้องเดินตามปกติ
แต่ด้วยพลังของรองเท้าเหินฟ้าที่ใช้พลังวิญญาณเพียงเล็กน้อยแลกกับความสามารถในกระโดดอันแข็งแกร่ง พวกเขาจึงไม่จำเป็นจะต้องทนเดินอย่างเชื่องช้าอีก
นอกจากนี้มันยังเหมาะอย่างยิ่ง สำหรับการเดินทางข้ามหุบเหวต่าง ๆ
“แล้วตอนนี้เราจะไปทางไหนกันต่อดี?” ฉูจงฉวน ถาม
ลั่วอู๋ทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิด จากนั้นเขาก็มองไปที่หินนำทางแล้วจึงเลือกทิศทางที่จะไป “ไปทางตะวันออกเฉียงใต้กันดีกว่า”
“ได้”
ฉูจงฉวนไม่มีความคิดเห็นใด ๆ มันเหมือนกับทุกที
เหวินเสี่ยวเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไร เขาก็แค่อยากติดตามลั่วอู๋
ทั้งสามมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก
แม้ว่านรกมนตราจะมืดมิด แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่มืดสนิทจนมองไม่เห็น มีดาวสีดำลึกลับเก้าดวงบนท้องฟ้า ซึ่งเชื่อมต่อกันเป็นรูปร่างแปลก ๆ และกำลังเบ่งบานด้วยแสงที่สว่างมาก
ระหว่างทางลั่วอู๋ก็ค่อยๆปรับสายตาเข้ากับแสงอ่อน ๆ เพื่อสำรวจดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ตามที่รองเจ้าสำนักกล่าวไว้ แม้ว่านรกมนตราจะเป็นพื้นที่รกร้าง แต่มันก็ยังคงมีสมุนไพรวิญญาณอันยอดเยี่ยมให้เก็บเกี่ยวอยู่
สมุนไพรวิญญาณนี้ที่รู้จักกันในชื่อดอกไม้กัดกระดูก มันมีกลีบดอกสามใบเป็นขอบหยักและมีรากสีดำ สมุนไพรวิญญาณชนิดนี้เป็นวัชพืชที่อยู่ในนรกมนตรา
ดอกไม้กัดกระดูกส่วนมากนั้นถูกเหยียบย่ำโดยสัตว์วิญญาณที่พวกเขาไม่รู้จัก และมีเพียงแค่สัตว์วิญญาณอย่างหนูวิญญาณระดับทองแดงที่อ่อนแอที่สุดเท่านั้น ที่จะสนใจกิน “วัชพืช” พวกนี้
หนูวิญญาณของนรกมนตราเปรียบเสมือนกับกระต่ายแห่งแดนสาบสูญในเขตหวงชา พวกมันอยู่ที่ล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร
อย่างไรก็ตามกระต่ายแห่งแดนสาปสูญยังมีทักษะก้าวพริบตาที่สามารถช่วยชีวิตของมันได้ กลับกันแล้วหนูวิญญาณนั้นนอกเหนือจากความสามารถในการสืบพันธุ์ที่แข็งแกร่งมันไม่มีข้อได้เปรียบอะไรเลย
“ต้องไม่ลืม ๆ” ด้วยคลื่นขนาดใหญ่ในมือของเขา ลั่วอู๋ เก็บดอกไม้กัดกระดูกจำนวนมากลงในไหปีศาจ
นอกจากนี้เขายังจับหนูวิญญาณตัวน้อยที่กำลังมองหาอาหารเข้าไปด้วย
แต่ด้วยสภาพแวดล้อมของที่นี่ มันจึงไม่มีพลังวิญญาณในร่างกายมากนัก ทำให้มูลค่าที่แท้จริงของมันคงจะลดลงไปอย่างมาก
ถ้าเขาปรับแต่งอย่างระมัดระวังเป็นระยะเวลาหนึ่ง มันอาจจะกลับมาเป็นปกติก็ได้ แต่มันลำบากเกินไปสำหรับลั่วอู๋ที่จะทำเช่นนั้น
ดอกไม้กัดกระดูกนั้นมีให้เห็นอยู่ทั่วไป แม้ว่าคุณภาพของพวกมันจะดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ก็สามารถชดเชยกันได้ด้วยปริมาณได้
ใบหน้าของฉูจงฉวนดูสับสนยุ่งเหยิง “ถึงพื้นที่สำหรับเก็บวัตถุพลังวิญญาณของเจ้ามันจะใหญ่มาก แต่เจ้าจะเก็บขยะประเภทนี้มากเกินไปหน่อยรึเปล่า เดี๋ยวเจ้าจะไม่มีที่สำหรับเก็บวัตถุพลังวิญญาณที่มีมูลค่าสูงเอานะ”
“ไม่เป็นไรน่า ไม่เป็นไร” ลั่วอู๋ ยิ้มให้กับสมุนไพรวิญญาณตรงหน้า
ไม่มีใครรู้แน่ ๆ ว่าเขามีโลกใบเล็กอยู่ทั้งใบเป็นที่เก็บของ
“ข้าก็ไม่ได้อยากจู้จี้เรื่องมากกับเจ้าหรอกนะ เจ้าจับแม้แต่สัตว์วิญญาณอย่างหนูวิญญาณตัวน้อย ๆ ลั่วอู๋เจ้าใส่ใจกับภาพลักษณ์ของตัวเองบ้างได้รึเปล่า?” ฉูจงฉวนกายหน้าผาก “เจ้าเป็นถึงเจ้าของร้านของสำนักโล่พิทักษ์เลยนะรู้ตัวไหม”
หนูวิญญาณตัวน้อยตัวนี้มันจะมีมูลค่าสักเท่าไหร่กันเชียว
ในฐานะที่เป็นเจ้าของร้านของสำนักโล่พิทักษ์ เป็นทายาทของตระกูลลั่ว และอันดับหนึ่งของรายชื่อเฉียนหลง เวลาของเขามีค่าเกินกว่าจะมาเสียเวลากับหนูวิญญาณตัวเล็ก ๆ
“ข้าก็แค่มีนิสัยชอบสะสมสัตว์วิญญาณทุกชนิด” ลั่วอู๋ยิ้มอย่างเชื่องช้า
หลังจากกวาด “วัชพืช” ในหลาย ๆ พื้นที่ไปจนหมด ลั่วอู๋ ก็พอใจในที่สุด เนื่องจากเขาต้องใช้มันในการทำธุรกิจ
จู่ ๆ ไม่ไกลจากที่นี่มีไอแห่งความอันตรายโชยมา
ต่อมาก็มีสัตว์วิญญาณสุนัขสีดำจำนวนมากวิ่งออกมาจากทางนั้น
ไฮยีน่า
พวกมันมีขนาดใกล้เคียงกับสุนัขทั่วไป แตกต่างกันตรงที่มันมีขนสีดำและจุดสีน้ำตาลทั่วตัว มีปากและเขี้ยวอันแหลมคม ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความดุร้ายและน้ำลายที่มีกลิ่นเหม็นของพวกมันก็หยดไหลลงไปตามพื้น
พวกมันจ้องมองมาที่ ลั่วอู๋ ด้วยดวงตาสีแดงของพวกมัน
สัตว์วิญญาณประเภทนี้ก้าวร้าวมากและมีสติปัญญาต่ำ ไม่ว่าคู่ต่อสู้ของพวกมันจะเป็นใครหน้าไหน พวกมันก็กล้าที่จะเข้าล้อมรอบเขาทำการโจมตี
“โชคดีที่แม้ว่าพวกมันจะเป็นกลุ่มสัตว์วิญญาณ แต่ก็เป็นเพียงแค่ระดับเงิน” ฉูจงฉวนเป็นผู้นำในการโจมตีสวนกลับ
เขาเปิดการโจมตีด้วยภูตไฟ
เปลวไฟสีเขียวเข้มดั่งสะเก็ดดาวตกขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
“กรร!”
ไฮยีน่ากู่ร้องอย่างเกรงกลัวแล้วหนีไป
หลังจากนั้นลั่วอู๋ ก็เลือกไฮยีน่าที่ได้รับบาดเจ็บ ปราบมัน และไม่พลาดที่จะเก็บมันเข้ามาเพื่อปลดผนึกหนังสือสัตว์วิญญาณ
ฉูจงฉวน รู้สึกได้ถึงบางอย่าง ใบหน้าของเขาผ่อนคลายและพูดด้วยรอยยิ้ม “คงต้องใช้พลังวิญญาณกันสักหน่อย แต่อย่าห่วงไปเลยมันจะกลับมาในไม่ช้าแน่”
แต่ไม่นานนักเขาก็ต้องหัวเราะไม่ออก
จากในระยะไกลมีไอแห่งความอันตรายสีดำพุ่งเข้ามาอีกครั้ง
ไฮยีน่าที่หนีไปกลับกลายเป็นไฮยีน่ากลุ่มใหญ่ พวกมันวิ่งเข้ามาเหมือนคลื่นลูกใหญ่บนพื้น เสียงเห่าที่ไม่เป็นระเบียบของพวกมันดังก้องไปทั่วท้องฟ้า
จำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นมาไม่ใช่เพียงแค่ 2 -3 เท่า
“เอายังไงดีมันต้องน่าเบื่อแน่ ๆ” ฉูจงฉวน กลืนน้ำลาย “สู้ไหม?”
“วิ่งดีกว่า มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ที่จะมาสิ้นเปลืองพลังวิญญาณกับเจ้าพวกนี้” ลั่วอู๋ยิ้มอย่างบิดเบี้ยว
การฆ่าไฮยีน่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ มันง่ายต่อการกระตุ้นไฮยีน่าตัวอื่น ๆ ให้เข้ามาโจมตีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมันมากเกินไปที่จะฆ่าให้หมด
“ ไม่ต้องวิ่งหนีพวกมันก็ได้นะ” เหวินเซียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นเขาก็อาบตัวเองด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์แล้วมองไปที่กลุ่มไฮยีน่า จากนั้นริมฝีปากของเขาเปิดออก “แสงแห่งการชำระล้าง”
ทักษะระดับ A [แสงแห่งการชำระล้าง]
มันสามารถแก้สถานะผิดปกติมีฤทธิ์ในการล้างพิษและขับไล่สิ่งอัปมงคล
เสียงเห่าอันดุร้ายของเหล่าไฮยีน่าหยุดลง จากนั้นพวกมันทั้งหมดก็หยุดเห่า
พริบตาต่อมาไฮยีน่าทั้งหมดก็จากไป
ลั่วอู๋แปลกใจ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ไฮยีน่าเป็นสัตว์วิญญาณที่มีธาตุความมืดบริสุทธิ์ มันจึงมีสัญชาตญาณที่เกลียดชังแสงศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นด้วยทักษะนี้ ในสายตาของพวกมัน เราจึงไม่น่าสนใจอีกต่อไป” เหวินเสี่ยวกล่าว
ลั่วอู๋หัวเราะอย่างขมขื่น
แทนที่จะขับไล่มันกลับไป สู้ทำให้เรารู้สึกน่าขยะแขยงในสายตาของมันง่ายกว่ากันเยอะ
“ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักสัตว์วิญญาณประเภทนี้ค่อนข้างดีเลยนะ?” ฉูจงฉวน ถามอย่างสงสัย
เหวินเสี่ยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าชอบอ่านหนังสือน่ะ ข้าไปที่คฤหาสน์สุตราของสำนักเฉียนหลง อยู่หลายครั้ง”
คฤหาสน์สุตรา?
ลั่วอู๋ครุ่นคิดก่อนจะถามว่า “เจ้าเคยอ่านหนังสือ”ประวัติสำนักเฉียนหลง -มิติเหนือเมฆ ไหม ?”
“ไม่เคยนะ” เหวินเสี่ยว กล่าวอย่างเงียบ ๆ
ลั่วอู๋สงสัย แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
“ กรึก กรึก … ”
เสียงเคี้ยวดังขึ้นมาจากพื้นดินอย่างรุนแรง ราวกับเสียงมีดทำครัวที่เป็นสนิมกำลังเสียดสีกับพื้นดิน
ใบหน้าของเหวินเสี่ยวเปลี่ยนไป “แย่แล้วสิ”
“มีอะไรงั้นเหรอ?”
“ทักษะธาตุแสงสามารถขับไล่ไฮยีน่าออกไปได้ก็จริง แต่มันก็ดึงดูดความเป็นปรปักษ์จากสัตว์วิญญาณประเภทปีศาจได้ด้วยเช่นกัน ตอนแรกข้าคิดว่าไม่มีสัตว์วิญญาณอื่นอยู่รอบ ๆ นี้ซะอีก … ”
แผ่นดินสั่นสะเทือน
สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากพื้นดิน
ร่างกายของสัตว์ประหลาดตัวนี้คาดว่ามีขนาดใหญ่มากพอ ๆ กับคฤหาสน์หลังใหญ่ รูปร่างของมันดูเหมือนด้วง เขาคู่ใหญ่ของมันส่งพลังวิญญาณอันน่ากลัวออกมา มีปีกสิบสองปีกเหมือนปีกจักจั่นที่หลัง
สัตว์วิญญาณ ระดับทองขั้นสูง – ด้วงนรกโรคจิต
สัตว์วิญญาณตัวนี้กำลังจะเข้าสู่วัยโตเต็มตัวอย่างชัดเจน เปลือกของมันกำลังค่อยๆเปลี่ยนจากสีน้ำตาลเป็นสีดำบริสุทธิ์
ระดับทองขั้นสูง อย่างน้อย ๆ ก็มิติ 10
“วิ่ง และอย่าได้หยุด” ลั่วอู๋ตะโกน
จากนั้นทั้งสามคนก็วิ่งหนีไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต
หากต้องสู้กับสัตว์ประหลาดตัวนี้ล่ะก็ ผลที่ได้คงจะไม่คุ้มกับสิ่งที่ต้องเสียแน่
ด้วงนรกโรคจิตไม่รู้ว่าตัวมันถูกกระตุ้นด้วยการกระตุ้นแบบใด แต่มันไล่ตามพวกลั่วอู๋อย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่าสองชั่วโมงโดยไม่มีหยุด
“เจ้าแมลงโง่นี่เป็นศัตรูคู่แค้นกับสัตว์วิญญาณธาตุแสงรึไง?” ในช่วงเวลาวิกฤตฉูจงฉวนได้บ่นออกมา
เหวินเสี่ยวทำหน้างง “ไม่น่าจะใช่เท่าไหร่นะ”
แม้ว่าด้วงนรกโรคจิตจะเกลียดสิ่งที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง แต่มันก็ไม่ได้ฝังใจจะไล่ล่าเป็นเวลานาน ขนาดนี้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่หนังสือได้บันทึกเอาไว้
ลั่วอู๋หายใจเข้าลึก ๆ “ไม่ ไม่ หากหนีต่อไปแบบนี้ พวกเราไม่มีทางฟื้นพลังวิญญาณได้เร็วกว่ามันแน่ ๆ ”
“ถ้าอย่างนั้น” เหวินเสี่ยวและฉูจงฉวนพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ดวงตาของลั่วอู๋เป็นประกาย “ฆ่ามันซะ”
ทั้งสามหยุดลงในเวลาเดียวกัน สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ด้วงนรกโรคจิต
ไม่ใช่ว่าพวกเขาเอาชนะมันไม่ได้ แต่พวกเขาแค่คิดว่ามันไม่จำเป็น
เพราะตอนแรกพวกเขาคิดว่าพลังวิญญาณที่จะต้องใช้ในการสยบมันน่าจะมากกว่าการหลบหนี
ในฐานะผู้ใช้พลังวิญญาณที่ดีที่สุดในรุ่นอย่างพวกเขา ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่มีความกล้าหาญเพียงพอในการสู้กับสัตว์ประหลาดพรรค์นี้อยู่แล้ว
ด้วงนรกโรคจิต หยุดลงราวกับว่ารู้สึกได้ถึงวิกฤตตรงหน้า มันเขาขนาดใหญ่และกระพือปีกบาง ๆของมัน
“เฮ้ เจ้าคิดจะหนีไปไหนไม่ได้ เจ้าเป็นคนบังคับให้พวกเราต้องสู้เองนะ”
ลั่วอู๋ปลดปล่อยพลังของภูตสงครามออกมาในทันที แล้วเรียกภูตแห่งปัญญาออกมา
“ฆ่ามันซะ!”