ไหปีศาจ - บทที่ 392 โง่เขลา
บทที่ 392 โง่เขลา
บทที่ 392
โง่เขลา
เบื้องหน้ากองไฟ
ชายลึกลับหย่อนตัวนั่งลง เขานั่งผิงไฟโดยไม่มีการแสดงออกบนใบหน้าใด ๆ และร่างกายของเขาก็ยังคงถูกห่ออย่างแน่นหนา
ลั่วอู๋ขยับไปนั่งอยู่อีกด้านให้ห่างไกลจากชายลึกลับ
แต่ชายลึกลับก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาเพียงแค่จ้องมองไปที่เปลวไฟ “ไม่มีความรู้สึกเลยแฮะ”
เขาดูเหมือนว่ากำลังเสียดาย
แต่น้ำเสียงของเขากลับมั่นคงและนิ่งมาก การแสดงออกของเขาแข็งกระด้างเหมือนกับว่าเขาไม่มีความรู้สึกเสียใจ
ชายลึกลับเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ ลั่วอู๋ “คำพูดของเจ้าช่างสมเหตุสมผลจริงๆ ผู้คนมักจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาอยากจะเชื่อ ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว”
แม้ว่าจะได้รับการยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่ได้มุ่งร้าย แต่ลั่วอู๋กลับรู้สึกหนาวสั่นเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก
คนนี้ให้ความรู้สึกที่ดูอันตรายกับเขามาก
มันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับคนที่ยังมีชีวิต
“ ข้าขอพูดแบบไม่เกรงใจเลยนะ ข้ายังไม่รู้จักชื่อของเจ้าเลย เจ้าชื่อว่าอะไร?” ลั่วอู๋ ถามอย่างสงบ
อีกฝ่ายคือคนที่กล้าเดินไปมาแบบนี้ในหุบเขามรณะตอนกลางดึก เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดา ๆ แน่นอน
“ข้ามีสกุลว่าหนิง ส่วนชื่อของข้าพวกเจ้าน่าจะลืมกันไปหมดแล้ว ข้าชื่อว่าหนิงเจียงซาน” ชายคนนั้นครุ่นคิดคิดแล้วจึงพูดออกมา
ลั่วอู๋แปลกใจมาก
ใครเล่าที่จะลืมชื่อของเขาได้ลง
องค์หญิงเจียโรว มองไปที่ชายคนนั้นด้วยความตกใจและกลืนน้ำลาย “เจ้าเคยอยู่ในสนามรบรึเปล่า ข้าจำได้ว่าแม่ทัพเก่าแก่ที่ร่วมสร้างชื่อก่อตั้งตระกูลหนิง ดูเหมือนจะมีชื่อว่า หนิงเจียงซาน”
ลั่วอู๋และเหวินเสี่ยวต่างตกตะลึง
ตระกูลหนิงเป็นตระกูลแม่ทัพกองทหาร ซึ่งก่อตั้งมานานกว่า 3000 ปี
กล่าวกันว่าบรรพบุรุษของตระกูลหนิงได้เสียชีวิตลง เมื่ออายุ 200 ปีเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่เขาได้ในสนามรบสะสมมามากเกินไป
“ใช่ ” ชายคนนั้นไม่ได้ปฏิเสธ เขามองไปที่เปลวไฟอันลุกโชนอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลานาน แต่ทันใดนั้นก็กระซิบออกมาว่า “อันที่จริงที่เจ้าพูด มันก็มีส่วนที่ผิดอยู่”
“อะไรงั้นเหรอ?” ลั่วอู๋ตื่นตัว
น้ำเสียงของชายคนนั้นเรียบนิ่งและไม่มีอารมณ์ใด ๆ “เพราะหุบเขามรณะ มีพลังที่จะช่วยให้ผู้คนเป็นอมตะได้จริงๆ”
ในหัวใจของลั่วอู๋เริ่มเกิดคลื่นลูกใหญ่
คนคน นี้คือชายผู้ก่อตั้งตระกูล หนิงจริงๆงั้นหรือ?
หุบเขามรณะทำให้เขามีอายุยืนยาวเช่นนี้ได้จริง ๆเหรอ?
“ฮ่า ฮ่า แต่ข้านั้นไม่ได้รับชีวิตอมตะนั้นมา ข้าเป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้น ร่างกายของข้าถูกขโมยไปแล้วนำมาปะติดปะต่อกันกับซากศพ ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวด้วยตัวเองได้” ทันใดนั้นชายคนนั้นก็ฉีกเสื้อคลุมออก “แต่สิ่งที่เรียกว่าความเป็นอมตะในความคิดของข้าก็ไม่ต่างจากการเป็นหุ่นเชิดเช่นนี้หรอก”
เมื่อมองไปที่ร่างของชายคนนั้น ลั่วอู๋ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน
ชายคนนี้นอกเหนือจากศีรษะของเขาไม่ได้มีร่างเป็นมนุษย์
ร่างกายของเขาไม่เหลืออะไรเลยนอกจากเนื้อเน่า ๆ ประกอบไปด้วยซากศพหลายชิ้น ดูเหมือนว่าเขาจะย่อยสลายตัวเองได้ตลอดเวลา มันเต็มไปด้วยลมปราณอันน่ากลัว
ไม่น่าแปลกใจที่เขาต้องปกปิดร่างกายของเขา
กรงเล็บของเสือ กีบของม้า ท้องของวัว เอวของหมาป่า ทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นซากศพของ สัตว์วิญญาณระดับสูง ซึ่งทั้งหมดอยู่ในสภาพไร้ระเบียบและถูกเย็บเข้าด้วยกัน
สิ่งที่น่าขยะแขยงที่สุดคือมีดวงตาขนาดใหญ่เก้าดวงบนร่างของเขา ซึ่งดูเหมือนจะมาจากเนตรทรราชชั่วร้าย
เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไม “ซากศพ” นี้ถึงเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
สัตว์วิญญาณซากศพตัวล่าสุดที่ลั่วอู๋เคยได้เห็นคือมังกรกระดูกผี
ร่างกายของมังกรกระดูกผีประกอบด้วยกระดูกของสัตว์วิญญาณมังกรที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด
แม้ว่ามังกรกระดูกผีจะดูแปลก แต่สภาพโดยรวมของมันก็ดูกลมกลืนและมีอำนาจเหนือกว่า
แต่ชายตรงหน้าเขานั้นแตกต่างออกไป
นี่มันน่ารังเกียจมากจริงๆ
ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมสัตว์นรกพิษห้าสีไม่รู้สึกถึงความอาฆาตพยาบาทจากอีกฝ่าย ชายคนนี้นั้นไม่สามารถถูกนับเป็นสิ่งมีชีวิตได้ เขาจะไปมีจิตมุ่งร้ายได้อย่างไร
“ในที่สุดเจ้าก็พร้อมที่จะเชื่อฟังข้าแล้วใช่ไหม ?” จากในเงามืดมีอีกร่างหนึ่งปรากฏออกมา เขาคือหยีเทียนเฉิน
หนิงเจียงซานเหลือบมองเขา “มันก็เป็นเพียงแค่เจตจำนงที่เหลืออยู่ของข้า จากนี้มันก็จะค่อยๆสลายไป ถ้ายังพอทำได้ข้าก็อยากจะฆ่าเจ้า ที่กล้าขโมยศพของข้าให้ตายลงตรงนี้”
“เจ้าไม่มีทางทำได้หรอก ข้าเป็นเจ้านายของเจ้า” หยีเทียนเฉินแสดงรอยยิ้มอันมีเสน่ห์แห่งความชั่วร้ายที่มุมปากของเขาออกมา
“ใช่ มันแย่มาก ข้าตายไปหลายพันปีแล้ว แต่ข้ากลับต้องลืมตาตื่นขึ้นมาดูโลก มันน่าเบื่อจริง ๆ ที่จะต้องฟื้นมาโดยไม่มีความรู้สึกเช่นนี้ … ”
หนิงเจียงซานหลับตาลงช้าๆ
ในที่สุดความรู้สึกนึกคิดสุดท้ายของเขาก็สลายไป
ดวงตาของหยีเทียนเฉินแสดงให้เห็นถึงความคลั่งไคล้ “ในที่สุดก็ยอมหลับตาลงเสียที ศพมรณะของข้า”
นี่เป็นผลลัพธ์จากการวิจัยของเขา
เขาเป็นคนเดียวที่ประสบความสำเร็จในหุบเขามรณะ
ศพมรณะนี่คือชื่อที่เขามอบให้กับสัตว์วิญญาณที่เขาสร้างขึ้น
“ต่อไปก็ได้เวลาสะสางธุระที่ค้างคา” หยีเทียนเฉิน มองไปที่ ลั่วอู๋ ด้วยดวงตาอาฆาต “ข้าจะฆ่าเจ้า!”
พรรคพวกลั่วอู๋ทั้งสามคนทันทีที่เห็นหยีเทียนเฉินพวกเขาก็ต้องประหลาดใจ
พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะเจอเขาเร็วขนาดนี้
ยิ่งไปกว่านั้นหนิงเจียงซานยังกลายเป็นหุ่นเชิดของเขาอีกต่างหาก
มันเป็นเรื่องผิดมากสำหรับพวกเขาที่จะไปขโมยศพผู้อื่น
ดวงตาของ องค์หญิงเจียโรว เต็มไปด้วยความโกรธ นางไม่พอใจมากจนถึงที่สุด “หนิงเจียงซานเป็นนายพลที่ทำคุณประโยชน์ไว้มากมายด้วยการรบในสงครามเพื่ออาณาจักรในอดีต เจ้าสมควรตายชดใช้ที่เจ้าดูถูกการเสียสละของเขา!”
“ ข้าสมควรตายงั้นเหรอ? เจ้าต่างหากที่ต้องตายก่อน” หยีเทียนเฉินคำราม
ศพมรณะถูกพัดด้วยลมกระโชกแรง
ทักษะระดับ S [สายลมแห่งภูต]
องค์หญืงเจียโรวใช้ทักษะ ระดับ s โจมตี
พลังวิญญาณอันรุนแรงทั้งสองเข้าปะทะกันแล้วแยกออก
“องค์หญิงเจียโรว ถอยออกไปซะ” ลั่วอู๋เข้ามากั้นระหว่างศัตรูกับองค์หญิงเจียโรว การเผชิญหน้ากับศพมรณะที่แปลกประหลาดแบบนี้ เขาไม่ควรที่จะประมาทมัน เขาเปลี่ยนให้ตวนซี กลายร่างเป็นลิงเผือกในทันที
กรร!
ดวงตาของลั่วอู๋เปลี่ยนเป็นสีทองและพลังวิญญาณอันน่ากลัวก็เริ่มพลุ่งพล่านอย่างรุนแรงในร่างกายของเขา
เงาของลิงเผือก และสุนัขสีเงินปรากฏขึ้นข้างหลังลั่วอู๋
เขาต้องลงมือด้วยทุกอย่างที่มี
ทักษะ โทสะกระหายเลือด ระดับ S และ พลังอันไร้เทียมทาน ระดับ SS ถูกใช้งาน
พลังวิญญาณอันบ้าคลั่งที่ไหลเวียนอยู่ในเส้นวงจรพลังวิญญาณของลั่วอู๋ คลุ้มคลั่งราวกับกำลังจะแตกออกมาจากร่างกาย ใช้ทักษะทั้งสองอย่างพร้อมกันนั้นสาหัสเกินไป
“หายไปซะ”
ลั่วอู๋คำรามด้วยความโกรธและระเบิดพลังออกมา
ตูม!
แผ่นดินแตกเป็นเสี่ยง ๆ
กระแสอากาศอันน่ากลัวไหลไปมาอย่างรุนแรงกระจัดกระจายถล่มต้นไม้นับไม่ถ้วน
ทั้งศพมรณะและลั่วอู๋ต่างก้าวถอยหลังอย่างก้ำกึ่ง
หัวใจของลั่วอู๋จมลง
ศพมรณะนี้มีพลังอย่างน้อย ๆ ก็ระดับทองขั้นสูงไม่ผิดแน่
กลับกันแล้วแม้ว่าเขาจะสามารถดึงพลังนี้ออกมาได้แต่ก็แค่พักเดียว เขาไม่สามารถรักษาสถานะนี้ไว้ได้เป็นเวลานาน เพราะมันทำให้ร่างกายอยู่ภายใต้แรงกดดันที่มากเกินไป อีกทั้งยังใช้พลังวิญญาณมากเกินไปด้วย
ทว่าทางด้านศพมรณะนั้นเหมือนกับเครื่องจักร มันไม่เจ็บไม่รู้จักเหนื่อย นอกจากนี้มันยังมีทักษะในการต่อสู้ที่สูงมาก และพร้อมโจมตีอีกครั้งเสมอ
ลั่วอู๋คำรามและรีบลุกขึ้นยืน
พลังในการต่อสู้ของลิงเผือกนั้นรุนแรงมาก แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ใช้ทักษะใด ๆ แค่ใช้หมัดระดมโจมตีศัตรูเข้าไปก็สามารถต่อกรกับศพมรณะได้
ลมปราณของลั่วอู๋เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงจุดสูงสุด
แต่เขากลับหวาดกลัวอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ
ศพมรณะนั้นมีทักษะมากมาย และมีฝีมือที่แข็งแกร่งมากในการต่อสู้ นอกจากนี้มันยังไม่เกรงกลัวความเจ็บปวด มันเป็นเพียงเครื่องจักรสังหารจริง ๆ
“ กลืนกินสวรรค์!” ลั่วอู๋กัดฟันแน่นและใช้ทักษะกลืนกินสวรรค์
พลังกลืนกินมิติอันน่ากลัวโหมกระหน่ำ
ร่างกายของศพมรณะสั่นเล็กน้อย และดูเหมือนจะไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงอีกต่อไป
ลั่วอู๋รู้สึกยินดี
มันได้ผล!
ยังไงซะอีกฝั่งก็เป็นเพียงกองซากศพที่ปะติดปะต่อกัน เพียงแค่กลืนกินส่วนหนึ่งเข้าไปก็สามารถทำให้มันสลายลงไปได้
ลั่วอู๋กัดฟันแน่น และใช้พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกเพื่อกระตุ้นให้สามารถกลืนกินอีกฝ่ายได้
หยีเทียนเฉิน ขมวดคิ้ว
ตามที่เขาคาดไว้มันเป็นเพียงรุ่นแรก ๆ และยังมีข้อบกพร่อง
แม้ว่าพลังต่อสู้จะมาก แต่ความสมบูรณ์ของร่างกายนั้นยังไม่มั่นคงเพียงพอ
“ เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ทำอะไรเลยรึไง ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่มันจะไม่มีวันสลายไป ต่อให้ความแข็งแกร่งของเจ้าอยู่เหนือจินตนาการของข้า แต่เจ้าจะอดทนไปได้อีกนานสักแค่ไหนกัน ช่วงเวลาที่เจ้าความเหนื่อยล้าจะเป็นเวลาตายของเจ้า ฮ่าฮ่า” หยีเทียนเฉิน หัวเราะอย่างดุร้าย
พลังวิญญาณที่ศพมรณะสามารถรองรับได้นั้นมากกว่าสัตว์วิญญาณระดับทองขั้นสูงทั่วไปมาก ดังนั้นมันจึงสามารถใช้พลังวิญญาณมากมหาศาลได้โดยไม่ต้องรับผลข้างเคียงใด ๆ
ที่มือของหยีเทียนเฉินมีหัวใจที่เหมือนวัตถุต้องสาป เขาใช้มันส่งพลังวิญญาณเข้าไปในร่างของศพมรณะ
ทันใดนั้นร่างกายของศพมรณะก็ค่อยๆกลับมาทรงตัว
ลั่วอู๋กัดฟัน เขายังไม่ยอมแพ้และยังคงใช้ทักษะกลืนกินสวรรค์ต่อไป
ลมและเมฆเปลี่ยนสี และพื้นดินเริ่มแตกออก
ศพมรณะไม่ยอมที่จะถูกดูดออกไปด้วยแรงดูดของกลืนกินสวรรค์ ร่างกายของมันมั่นคงขึ้นและไม่มีทีท่าว่าจะแตกสลายอีกต่อไป
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” หยีเทียนเฉิน หัวเราะอย่างดุร้าย “เจ้าคิดว่าจะสู้กับข้าได้รึไง ?”
ทว่าขณะนั้นเสียงตบอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นมา
เพียะ
หยีเทียนเฉินหยุดหัวเราะ
บนใบหน้าที่บวมของเขามีรอยพิมพ์ฝ่ามือปรากฏขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ
จู่ ๆ องค์หญิงเจียโรว ก็เข้ามาประชิดตัว หยีเทียนเฉิน ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ “อ้าว ทำไมไม่หัวเราะต่อแล้วล่ะ”
“แก..”
เพียะ
องค์หญิงเจียโรว ตบหน้าเขาอีกครั้ง “เป็นอะไรไป ข้าบอกให้เจ้าหัวเราะไง”
“เจ้าเย่อหยิ่งเกินไปรึเปล่า แมลงกินวิญญาณของเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว สัตว์นรกพิษห้าสีเองก็หายไป ตอนนี้แม้แต่ศพมรณะก็ไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้า ทำไมเจ้าถึงยังกล้าหัวเราะอย่างเย่อหยิ่งได้อีกล่ะ?”
หยีเทียนเฉินตัวสั่นด้วยความโกรธ แต่มันก็ไร้ประโยชน์ องค์หญิงเจียโรวจัดการเขาอย่างไร้ความปรานี
ยิ่งผู้ใช้พลังวิญญาณได้รับบาดเจ็บรุนแรงมากเท่าไหร่ สัตว์วิญญาณตัวเดียวที่เขามีก็ย่อมต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสไปด้วย
นี่มันง่ายเกินไป
เพียะ องค์หญิงเจียโรว ตบเขาอีกครั้ง จากนั้นก็กระชากวัตถุต้องสาปคล้ายหัวใจมาจากมือของ หยีเทียนเฉิน และบดขยี้มันลงอย่างรุนแรง
ทันทีที่หัวใจถูกทำลายความแข็งแรงของศพมรณะก็อ่อนแอลงอย่างกะทันหัน จากนั้นศพมรณะก็ถูกทักษะกลืนกินสวรรค์ กลืนกินเข้าไป
หยีเทียนเฉินร้องออกมาด้วยความเสียใจ
เห็นได้ชัดว่าหัวใจต้องสาปนั้นสำคัญต่อศพมรณะมาก
นอกจากนี้เขายังรู้สึกภาคภูมิใจที่คิดว่าเมื่อตนเองมีศพมรณะ เขาก็จะสามารถกวาดล้างศัตรูทั้งหมดของเขาได้ แต่เขาลืมจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดไป
นั่นก็คือตัวเขาเอง
เขาคือจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของศพมรณะ
“ยื่นบื้อทำซากอะไรล่ะ ? ยอมจำนนซะ!” องค์หญิง เจียโรว ตบหน้าเขาอีกครั้ง
ใบหน้าของ หยีเทียนเฉิน บวมเหมือนหัวหมู
ฉากที่คุ้นเคยเช่นนี้ทำให้ หยีเทียนเฉิน อับอายและโกรธจัด
ลั่วอู๋อ้าปากค้าง เขาสงบพลังวิญญาณอันพลุ่งพล่านลง
มันใช้พลังวิญญาณของเขาไปมากมหาศาล พลังของ ลิงเผือกนั้นสร้างภาระต่อร่างกายมากเกินไป
ลั่วอู๋มองไปที่หยีเทียนเฉิน ซึ่งถูกกดร่างลงกับพื้นแล้วพูดเยาะเย้ยว่า “เจ้ามันโง่ ที่ไม่มีพวกพ้องมาด้วยแบบข้า!”