ไหปีศาจ - บทที่ 436 อย่าถามมาก เขาก็แค่อกหัก
บทที่ 436 อย่าถามมาก เขาก็แค่อกหัก
บทที่ 436
อย่าถามมาก เขาก็แค่อกหัก
ในความเป็นจริงแล้ว ลั่วอู๋ยังมีทักษะอีกมากมายมากมายที่ไม่ได้ใช้ออกมาในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ก็คงไม่มากเท่ากับทางเอ๋าเฉียนจุน
นอกจากนี้หลังจากการต่อสู้เอ๋าเฉียนจุนก็เข้าใกล้ระดับมิติวิญญาณทองขั้นสูงขึ้นไปมาก การได้ต่อสู้กับไป่ฉี ซึ่งเป็นสัตว์วิญญาณระดับทองขั้นสูง มาเป็นเวลานาน คงทำให้เขาตระหนักถึงสิ่งต่างๆมากขึ้น
“นี่มันเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ชัด ๆ” ลั่วอู๋ กล่าวอย่างหดหู่
ฉูจงฉวน เดินมาจากระยะไกลแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาน่า ยังไงมันก็เป็นเรื่องดีที่เจ้าชนะ อีกอย่างข้าคิดว่าเขาคงไม่สามารถยกระดับมิติวิญญาณของตัวเองได้แน่หากไม่มีเจ้า นอกจากนี้มันยังคุ้มค่ามากที่ได้ยินคำขอโทษออกมาจากปากของเอ๋าเฉียนจุน นี่มันจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีไปได้ยังไงกัน?”
“ฮ่า ฮ่า ข้าพยายามหาทางซัดเขาสักครั้งมานานแล้ว บังเอิญว่าคราวนี้ข้าแค่มีโอกาสได้แหกกฎเท่านั้นแหละ” ลั่วอู๋หัวเราะ
หลังจากเหตุการณ์นี้แพร่กระจายออกไป คงไม่มีใครสนใจว่าลั่วอู๋ใช้วิธีการใด เพราะทุกคนต่างก็จำได้ดีว่า เอ๋าเฉียนจุน ถูกลั่วอู๋บังคับให้ต้องกล่าวขอโทษ
“ข้าเองก็อยากจะออกไปสู้แบบเดียวกับเจ้า แม้ว่าหยู่เฮาจะเป็นคนบ้าป่าเถื่อนที่ไร้รสนิยมด้านความงาม แต่อย่างน้อยข้าก็มีมิตรภาพกับเขาบ้างเล็กน้อย ข้าไม่สามารถยืนทนดูเขาตายได้หรอก” ฉูจงฉวน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ตามเป็นหากข้าออกไปอีกคน มันก็จะทำให้เจ้าถูกวิพากษ์วิจารณ์ รุมกลั่นแกล้งเอ๋าเฉียนจุน ข้าจึงทำได้แค่ยืนอดทน”
ลั่วอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้ ข้าบาดเจ็บมามากพอสมควรเลย หลังเขากลับมา หยู่เฮาคงต้องเชิญพวกเราไปทานอาหารเย็นหรู ๆ เป็นการชดใช้แล้วล่ะ”
“เนื้อย่างงั้นเหรอ ?” ฉูจงฉวนเลิกคิ้วและหัวเราะแปลก ๆ
หลี่หยินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ดูเหมือนจะนึกถึงเหตุการณ์บางอย่างในอดีตออก และมีอาการคลื่นไส้
ลั่วอู๋พูดอย่างช่วยไม่ได้ “อืม … ถ้าอย่างนั้นก็ลืมมันไปเถอะ”
พวกเขายังคงจำได้ดี ในตอนที่พบกับหยู่เฮาเป็นครั้งแรก หยู่เฮาใช้หนอนอรมณาเป็นวัตถุดิบทำเนื้อย่างให้พวกเขากิน มันเป็นอดีตที่เลวร้ายมากเลยทีเดียว
ผู้คนรอบ ๆ พวกเขาต่างสับสนและไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่พวกลั่วอู๋คุยกัน
เหวินเสี่ยวกล่าวอย่างอารมณ์เสีย “จบเรื่องแล้ว พวกเราไปทะเลเหนือสุดขอบกันได้รึยัง ?”
แม้ว่าเหวินเสี่ยวจะหยาบคาย แต่ทุกคนก็ไม่สนใจ
เพราะลั่วอู๋บอกว่าเขาได้รับการกระตุ้นบางอย่างมามาก และต้องการการดูแล ดังนั้นทุกคนจึงดูแลเขาเหมือนคนปัญญาอ่อน ซึ่งทำให้เหวินเสี่ยวรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้น หลี่หวู่หยวน ก็เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา “ข้าไม่คาดคิดเลยว่า พลังในการต่อสู้ของเจ้าจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้”
“ท่านรองเจ้าสำนัก ก็พูดชมข้าเกินไป ข้าก็แค่ใช้ประโยชน์จากการต่อสู้เป็นกลุ่มเท่านั้น” ลั่วอู๋ กล่าว
หลี่หวู่หยวน กล่าว “ไม่จำเป็นต้องเจียมเนื้อเจียมตัวหรอก ถึงเจ้าอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเอ๋าเฉียนจุน แต่เขาเองก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับที่ใคร ๆ คิดเช่นกัน นอกจากนี้เจ้ายังแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าเขายอมจำนนต่อเจ้าจริงๆ และมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหากจะนับตัวช่วยที่เจ้าใช้เป็นพลังในการต่อสู้ของเจ้า”
สัตว์วิญญาณที่ยืมมาจากผู้อื่นหรืออุปกรณ์ที่ใช้แล้วทิ้ง มักจะถูกนับว่าเป็น “กองกำลังภายนอก”
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นวัตถุวิญญาณ หรือ สัตว์วิญญาณที่ไม่ได้ทำพันธสัญญาแต่ยอมจำนนติดตามมาด้วย หากสามารถถูกเรียกออกมาใช้ในการต่อสู้ได้ตลอดเวลา นั้นนับว่าเป็นกองกำลังภายนอกจริง ๆ งั้นเหรอ? มันเป็นข้อเท็จจริงที่ผู้คนมักจะถกเถียงกันอยู่ตลอดเวลา
แต่เห็นได้ชัดว่ารองเจ้าสำนักนั้นให้การยอมรับว่ามันเป็นพลังของลั่วอู๋ไม่ใช่กองกำลังภายนอกแต่อย่างใด
ลั่วอู๋ หัวเราะ “หากท่านรองเจ้าสำนักไม่ตำหนิข้าว่าละเมิดกฎ ข้าก็พอใจได้แล้วล่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่มีทางน่า ” หลี่หวู่หยวน ดูเหมือนจะอารมณ์ดี
ในความเป็นจริงเขาสามารถหยุดการต่อสู้นี้ได้
แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ
ประการแรกคือเขาต้องการดูความสามารถของลั่วอู๋ อีกประการคือเขาหวังว่า ลั่วอู๋ จะสามารถสอนบทเรียนให้กับเอ๋าเฉียนจุนได้
ในฐานะรองเจ้าสำนัก เขาได้รับความเคารพอย่างสูง ดังนั้นนักเรียนจึงไม่สามารถสร้างปัญหาให้กับเขาได้ อย่างไรก็ตามเอ๋าเฉียนจุนนั้นไร้ยางอาย ด้วยพรสวรรค์ที่เขามี เขาจึงทำเพียงสิ่งที่เขาต้องการ เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ทำให้หลี่หวู่หยวนปวดหัวมากเลยทีเดียว
เอ๋าเฉียนจุนเป็นผู้มีพรสวรรค์ ตามธรรมชาติแล้ว เขาจึงต้องหาผู้มีพรสวรรค์อีกคนมาสั่งสอน
ในใจของหลี่หวู่หยวน ลั่วอู๋ นั้นมีต้นทุนที่ไม่เหมือนใคร เขาจึงเหมาะกับบทนี้มาก
การที่เอ๋าเฉียนจุนสามารถยกระดับมิติวิญญาณได้ทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากที่เห็นนักเรียนในสำนักก้าวหน้า นอกจากนี้การที่เอ๋าเฉียนจุนถูกทุบตีสั่งสอนเองก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากเช่นกัน เรียกได้ว่าผลลัพธ์ในวันนี้ทำให้หลี่หวู่หยวนพึงพอใจขมาก
“ช่วยพักเรื่องนั้นไว้ก่อนได้ไหม?” เหวินเสี่ยวหมดความอดทนและพูดออกมาเพื่อกระตุ้น “ข้าขอพูดตรงไปตรงมาเลยนะ ท่านรองเจ้าสำนัก ท่านช่วยส่งพวกเราไปที่ทะเลเหนือสุดขอบได้ไหม?”
หลี่หวู่หยวน มองไปที่ เหวินเสี่ยว ด้วยความประหลาดใจ
เขามีความประทับใจต่อนักเรียนคนนี้มาก เหวินเสี่ยวนั้นมาจากทะเลเหนือสุดขอบ และมีความแข็งแกร่งที่ดีมากในฐานะผู้สนับสนุนในการต่อสู้ เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากมาก
แต่ในความทรงจำของเขา นิสัยของนักเรียนคนนี้ไม่ใช่แบบนี้
ครั้งสุดท้ายที่หลี่หวู่หยวนเห็นเหวินเสี่ยว เขาสุภาพมาก
ฉูจงฉวนตบหัวเหวินเสี่ยวสั่นแล้วจึงพูดอย่างรีบร้อน “ไม่ต้องสนใจเขาไปน่า ท่านรองเจ้าสำนัก เจ้านี่แค่อารมณ์ไม่ดี เพราะเขาอกหักมา นั่นทำให้เขามีท่าทีหงุดหงิดแบบนี้ ”
เหวินเสี่ยวที่ได้ยินเกือบจะโวยวายออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ฉูจงฉวนตบปิดปากเขาแล้วลากเหวินเสี่ยวออกมา
อีกฝ่ายเป็นถึงรองเจ้าสำนัก การที่เขาจะเปิดช่องว่างมิติให้หรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาไว้หน้ามีมารยาทกับท่านรองเจ้าสำนักแค่ไหนด้วย
จะไปวางท่าไม่เกรงใจกับแบบนั้นเพื่ออะไรกัน ?
หลี่หวู่หยวนมองไปที่ดวงตาของเหวินเสี่ยว ด้วยสายตาซึ่งเต็มไปด้วยความเห็นใจ “ข้าเข้าใจดี บางทีคนหนุ่มสาวเองก็ต้องการที่จะระบายความเจ็บปวดในใจ นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก”
เหวินเสี่ยวอยากจะอาเจียนเป็นเลือด
เรื่องที่ว่าเขาอกหักมานั้นเป็นสิ่งที่ ฉูจงฉวน เพิ่มเข้ามาโดยพลการ บางทีในสมองของเขาคงมีเพียงแค่ความรักเท่านั้นที่สามารถทำให้อารมณ์ของผู้คนเปลี่ยนไปได้ในทันทีทันใด
หลี่หวู่หยวน มองไปที่ ลั่วอู๋ แล้วพูดว่า “ข้ากำลังจะปิดช่องว่างมิติที่เชื่อมกับนรกมนตราพอดี คราวนี้เราเปิดมันไว้นานเกินไปแล้ว มันไม่เพียงแต่ใช้พลังวิญญาณมาก แต่ยังเสี่ยงที่จะทำให้ถูกหาเจอได้ง่ายอีกด้วย”
“จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อพิกัดช่องว่างมิติถูกพบงั้นเหรอ ?” ลั่วอู๋ถามอย่างสงสัย
หลี่หวู่หยวน มีท่าทีที่ดูจริงจัง “บางทีปีศาจบางตัวอาจจะอาศัยโอกาสนั้น มาที่สำนักเฉียนหลงผ่านช่องว่างมิติ เพื่อหาพิกัดเชิงพื้นที่ของสำนักเฉียนหลง”
หัวใจของลั่วอู๋รู้สึกกลัว
หาพิกัดพื้นที่ของสำนักเฉียนหลง ผ่านทางช่องประตูมิติในนรกมนตรา
นั่นหมายความว่าเหล่าปีศาจในนรกมนตราจะสามารถบุกมายังสำนักเฉียนหลงได้
ลั่วอู๋นึกถึงช่องว่างมิติระหว่างเขากับชาวแซคขึ้นมาในทันที
อย่างไรก็ตามช่องว่างที่สร้างขึ้นโดยเขานั้นหยาบมาก และไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตจะผ่านมาได้ มันจึงไม่น่าจะมีอันตรายอะไรแอบแฝงมาในแง่นี้
หลี่หวู่หยวน ลดเสียงลง “ถ้าเจ้ายังต้องการพบเจ้าสำนัก เจ้าไม่มีโอกาสแล้วนะ”
“ ข้าเข้าใจดี ข้าถามเรื่องที่ต้องการมาเรียบร้อยแล้ว” ลั่วอู๋พยักหน้า
เขารู้แล้วว่าเจ้าสำนักนั้นอยู่ไกลออกไปในมิติอื่น
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะรู้ที่อยู่ใหม่ของภูตไห และมันก็คงไร้ประโยชน์ที่เขาจะรู้ นั่นก็เพราะลั่วอู๋ในตอนนี้นั้นไม่สามารถเอาชนะภูตไหได้
เขาควรจะคิดถึงมันอีกทีในภายหลัง
หลี่หวู่หยวน พยักหน้า “มันเป็นเรื่องดีที่เจ้าจะได้ไปฝึกที่ทะเลเหนือสุดขอบ แต่ทะเลเหนือสุดขอบนั้นกว้างใหญ่มาก เจ้าควรระวังให้มาก”
สำนักเฉียนหลง เคารพในการตัดสินใจต่างอิสระของนักเรียนเป็นอย่างมาก
ในเวลานี้องค์หญิงเจียโรวก็เดินออกมาข้างหน้า พลางเบิกตากว้าง “พวกเจ้าจะไปทะเลเหนือสุดขอบกัน เพื่อช่วยเหวินเสี่ยวใช่ไหม ถ้างั้นข้าขอไปด้วย”
องค์หญิงเจียโรวนั้นไปเข้ารับการทดสอบเพื่อชิงอันดับรายชื่อเฉียนหลงมา ต่อมาเมื่อนางได้ยินว่า เอ๋าเฉียนจุน ทะเลาะกับ ลั่วอู๋ นางจึงรีบมาที่นี่
ลั่วอู๋ตกลงแต่โดยดี ซึ่งทำให้นางโล่งใจ
การเดินทางไปยังหุบเขามรณะครั้งล่าสุด นางได้รู้มาว่าเหวินเสี่ยวนั้นมาจากผู้มีอำนาจในทะเลเหนือสุดขอบ และดูเหมือนว่าเขากำลังประสบปัญหามากมายอยู่
“ในเมื่อข้ารู้เรื่องของเจ้าตั้งแต่ต้นแล้ว การพาข้าไปมีส่วนร่วมในจุดจบเองก็สำคัญไม่ใช่เหรอ? ใช่ไหมล่ะ เหวินเสี่ยว ?” องค์หญิงเจียโรว ขยิบตาให้เหวินเสี่ยว
นางเป็นคนที่ไม่สามารถอยู่เฉยๆได้ และมันก็น่าเบื่อเกินไปสำหรับนางหากจะต้องอยู่คนเดียวที่สำนักเฉียนหลง
ทว่าเหวินเสี่ยวกลับไม่คิดสนใจนางเลยสักนิด กลับกันแล้วเขาดูโกรธหงุดหงิดด้วยซ้ำ “พวกเจ้าจะไปทำอะไรกันมากมาย แค่ลั่วอู๋มากับข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้วแท้ ๆ”
องค์หญิงเจียโรว มองไปที่เหวินเสี่ยวด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเป็นอะไรไปรึเปล่า?”
นางกับเหวินเสี่ยวติดต่อกันมานาน ในคราวก่อนที่เดินทางไปด้วยกัน เขาก็ดูเป็นคนอ่อนโยนเป็นมิตร และพวกเขาเข้ากันได้ดีไม่มีปัญหาอะไร
แต่ จู่ ๆ สายตาของเขากลายเป็น “ขยะแขยง” ได้อย่างไรในเวลาสั้น ๆ เช่นนี้
พรรคพวกลั่วอู๋ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เขาอกหักมา เลยกำลังเสียใจมาก”
“อ๋อ แบบนั้นเองสินะ”