ไหปีศาจ - บทที่ 535 ลืมมันซะ
บทที่ 535 ลืมมันซะ
บทที่ 535
ลืมมันซะ
ลั่วอู๋มาที่คฤหาสน์ขององค์ชาย
ในขณะนี้มันเต็มไปด้วยธงไว้ทุกข์ โคมไฟสีขาวถูกแขวนไว้ทุกที่ในคฤหาสน์ขององค์ชาย แต่คฤหาสน์ขององค์ชายทั้งหมด กลับไม่มีความโศกเศร้ามากเท่าไหร่นัก ทุกอย่างกลับดำเนินไปอย่างเรียบร้อย
ตอนนี้ลั่วอู๋เปลี่ยนร่างเป็นเย่เฟิงจึงไม่มีใครมาหยุดเขาได้
เขามาที่นี่เพื่อจุดประสงค์ง่ายๆ
การก่อวินาศกรรม และค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับผู้คนในสำนักโล่พิทักษ์
มันไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเย่เฟิง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้รับผิดชอบในส่วนนี้
ตอนนี้มี 13 นายพลแห่งเทพเจ้าเหลืออยู่เพียงคนเดียวคฤหาสน์องค์ชาย
นั่นก็คือหยีหยุนเต๋า นายพลแห่งเทพเจ้าร้อยตา
เขามีสัตว์วิญญาณระดับทองขั้นสูงที่ไม่เหมือนใครนั่นคือ ปีศาจดวงตาของพระเจ้า
ปีศาจดวงตาของพระเจ้า นั้นมีรูปร่างเหมือนแมวสีขาวมีร่างกายที่เบาหวิว มันมีก้อนเมฆลอยอยู่ที่บริเวณเท้า บนหน้าผากมีดวงตาสีฟ้าใสเหมือนไพลินเป็นตาดวงที่สาม มันมีความสามารถมองเห็นได้ไกลลิบ
แน่นอนว่ามันไม่ได้มีความพิเศษแค่รูปร่างเท่านั้น
ปีศาจดวงตาของพระเจ้า ยังมีทักษะระดับ S ที่เป็นเอกลักษณ์อยู่
ทักษะแยกร่างทั่วไปนั้นจะทำการแยกร่างออกเป็นหลาย ๆ ร่าง แต่ทักษะแยกร่างของมันนั้นแยกร่างออกมาแค่เพียงส่วนตา และไม่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้ใด ๆ อย่างไรก็ตามจำนวนตาที่แยกร่างออกมานั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้หลายร้อยตา
ดวงตาเหล่านี้สามารถเคลื่อนไหวได้โดยอิสระ และลอยไปไกลจากร่างต้นได้อย่างอิสระ เพื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวของศัตรู นอกจากนี้สายตาอันกว้างไกลของปีศาจดวงตาของพระเจ้าเองก็ทำให้ระยะการมองเห็นของมันแทบจะครอบคลุมเมืองหลวงของจักรวรรดิทั้งหมดได้
ดังนั้นหยีหยุนเต๋า จึงรับผิดชอบงานในฐานะหน่วยข่าวกรอง
ความสำคัญในทักษะการสังเกตการณ์และความฉลาดของเขานั้นชัดเจน ดังนั้นเขาจึงมีมูลค่าสูง นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของเขาเองก็ไม่ได้อ่อนแอ เขามีพลังมากกว่าคนในทะเลเหนือสุดขอบทั้งหมด เขาจึงได้รับการยอมรับจนมีสถานะสูงในคฤหาสน์องค์ชาย
หากอยู่ในตำแหน่งสูง มันก็แน่อยู่แล้ว ว่าเขาอดไม่ได้ที่จะหยิ่งผยองในฝีมือ
นอกเหนือจากองค์ชายเล็ก และ เสี่ยวเว่ยแล้วเขายังไม่ยอมรับคำสั่งจากใครอื่น
หยีหยุนเต๋า นั้นดูเด็กมาก เขาน่าจะมีอายุไม่เกิน 30 เขามีรูปร่างบอบบางมาก แต่ดวงตาของเขานั้นดูขุ่นมัวและอึดอัดมาก
“ฝ่าบาทเสด็จไปที่พระราชวังแล้ว เจ้ากลับมาที่นี่ทำไมกัน ? ถ้าพลาดงานใหญ่เจ้าจะทำยังไง?”หยีหยุนเต๋าที่เห็นลั่วอู๋พูดอย่างไม่พอใจ
ลั่วอู๋ประหลาดใจเล็กน้อย
องค์ชายเล็กไปถึงพระราชวังแล้ว? การกบฏเริ่มขึ้นแล้วหรือ?
ไม่น่าแปลกใจที่ ทีฮั๋ว ปล่อยเขาไปอย่างเรียบง่าย เพราะพวกเขากำลังจะไปที่พระราชวังกันแล้วนั่นเอง
คำถามก็คือ
เย่เฟิงนั้นมีหน้าที่อะไรในการก่อกบฏครั้งนี้
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยไม่มีข้อมูลอยู่ในความทรงจำของลั่วอู๋
“เกิดอะไรขึ้น?” หยีหยุนเต๋า ขมวดคิ้วและดูเหมือนจะโกรธ “ทำไมเจ้าไม่ตอบข้าหน่อยล่ะ เจ้าไม่ควรจะล้มเหลวในหน้าที่ของตนเองนะ”
ลั่วอู๋ทำได้แค่พูดอ้ำอึ้งว่า “ข้ามีปัญหา และอยากจะไปคุยกับฝ่าบาท”
หยีหยุนเต๋า กลอกตาของเขาและปล่อยให้ลั่วอู๋อยู่ตามลำพัง
ทั้งสองต่างมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องที่แตกต่างกัน และเขาขี้เกียจเกินไปที่จะสนใจเรื่องของคนอื่น
ถือเป็นความโล่งใจสำหรับ ลั่วอู๋
ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 13 นายพลเทพเจ้าจะไม่ได้สนิทสนมกันเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นทักษะการแสดงแย่ ๆ ของ ลั่วอู๋ คงไม่สามารถหลอกเขาได้แบบนี้
ลั่วอู๋ เดินเข้ามาหาอีกฝ่ายอย่างไร้ร่องรอย“ ยังไงเจ้าช่วยติดต่อฝ่าบาทให้ข้าได้ไหม?”
“เจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าเจ้าสื่อสารทางจิตกับฝ่าบาทก็ได้นี่?” หยีหยุนเต๋า งงงวยอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็จ้องไปที่ ลั่วอู๋
ลั่วอู๋คิดว่าตัวเขาต้องดูมีบางอย่างผิดปกติแน่
เขาคิดว่าเขาคงจะถูกอีกฝ่ายจับได้เสียแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าหยีหยุนเต๋ากลับยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์ระยะไกลแทนเสียอย่างนั้น
“ ฟู่” ลั่วอู๋ถอนหายใจอย่างโล่งอก
นี่มันน่าอายมาก
มันไม่ง่ายเกินไปหน่อยเหรอ?
อย่างไรก็ตามเขาก็พอสามารถเข้าใจได้ว่าเย่เฟิงนั้นเป็นกรณีพิเศษ
ความแข็งแกร่งของเย่เฟิงนั้นแย่เกินไปถ้าเทียบกับคนอื่น ๆ ดังนั้นความสามารถของเขาจึงไม่สามารถทำให้คนอื่นตื่นตัวได้
“ โทษตัวเองเสียเถอะนะ” ลั่วอู๋ส่ายหัวแล้วจึงปล่อยหยดน้ำสีทอง 18 หยดใส่อีกฝ่าย
ชั่วพริบตาพลังวิญญาณอันน่ากลัวก็ระเบิดออกมา
ดวงตาของ หยีหยุนเต๋า เบิกกว้าง เลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดจากนั้นเขาก็ล้มลงอย่างช้าๆโดยแทบจะไม่มีการต่อต้านใด ๆ ร่างของเขากระตุกเป็นครั้งคราว ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ตาย
ดูเหมือนว่าสิบแปดหยดนั้นกำลังเป็นปริมาณพอดี
ลั่วอู๋ใช้ดาบระบำแห่งความตายแทงไปที่หัวใจของ หยีหยุนเต๋าและปิดฉากเขาได้สำเร็จ
เลือดและแก่นวิญญาณทั้งร่างกายของเขาถูกดาบระบำแห่งความตายสูบเขาไป
แน่นอนว่าลั่วอู๋เก็บเลือดไว้หนึ่งหยด ทำให้เขาได้รับส่วนหนึ่งของความทรงจำที่หยีหยุนเต๋ามีผ่านความสามารถของค้างคาวโลหิตทิ่มแทง
แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่มันก็เยอะมาก
เพราะหยีหยุนเต๋า นั้นเป็นหน่วยข่าวกรอง
เขารู้จัก 13 นายพลแห่งเทพเจ้าเกือบทุกคน
ในเวลานี้ดาบระบำแห่งความตาย ก็ส่งเสียงดาบอันแผ่วเบาราวกับทารกที่อ่อนแอออกมา ราวกับว่ามันจะหายไปได้ทุก ๆ เมื่อ
ลั่วอู๋ตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นก็ประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
จิตวิญญาณแห่งดาบกำเนิดขึ้นในมันแล้วงั้นเหรอ?
ตามหลักแล้วมันน่าจะให้กำเนิดเป็นวิญญาณภูต เนื่องจากมันเกิดจากพลังวิญญาณในดาบ
อย่างไรก็ตามในเมื่อมันมีจิตวิญญาณและความฉลาดแล้ว ก็หมายความว่ามันอยู่ห่างไปไม่ไกลนักจากการเป็นอาวุธมนตราที่แท้จริงแล้ว
หลังจากประหลาดใจสักพัก ลั่วอู๋ ก็มองไปที่ร่างของ หยีหยุนเต๋า จากนั้นเขาก็พบแหวนสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่บนตัวของอีกฝ่าย เพราะโดยปกติแล้วสัตว์วิญญาณนั้นจะถูกเก็บอยู่ในแหวนสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ทักษะของปีศาจดวงตาของพระเจ้านั้นหายากมาก
ถ้าเป็นไปได้เขาอยากศึกษามัน
ตอนนี้เขาเพียงแค่ต้องหาสถานที่เหมาะ ๆ ที่จะปลดปล่อยสัตว์วิญญาณที่หยีหยุนเต๋ามี
ถ้าทำได้เขาก็อยากจะเอามันเก็บเข้าไปในมิติไห
จากนั้นลั่วอู๋ก็เดินออกจากคฤหาสน์ขององค์ชายไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
……
……
แล้วมันยังไงล่ะ ?
นี่คือคำตอบขององค์ชาย หลี่ซวนจง
ทุกคนต่างเงียบเหมือนคนตาย
เขาเป็นคนใจกว้างพอที่จะยอมรับว่าตัวเขาออกคำสั่งมาโดนไม่ได้สนใจใคร
เฒ่าชู ไม่เคยคิดว่า หลี่ซวนซง จะกล้าพูดแบบนี้ เขาโกรธจนขนหัวลุก “อย่าคิดว่าเจ้าจะทะนงตนได้ในฐานะพระญาติ เดิมทีชื่อของเจ้านั้นเป็นที่รู้จักในระดับโลก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่เข้ากับความเป็นจริง แม้แต่บิดาของเจ้าก็ยังไม่กล้าพูดแบบนั้น อย่าคิดว่า เจ้าจะทำอะไรก็ได้เพียงเพราะเจ้าได้รับบัลลังก์ขององค์ชายมา เชียวล่ะ! ”
เฒ่าชูนั้นอายุมากแล้ว เขามีอายุราว ๆ 93 ปี แต่เขาไม่เคยฝึกฝนมิติวิญญาณ มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ โดยมีความสุขและสนุกสนาน
ยิ่งอยู่มานานก็ยิ่งรู้อะไร ๆ มากขึ้น
เขารู้เรื่องการก่อกบฏขององค์ชายเฉินเมื่อ 30 ปีก่อน
ดังนั้นเขาจึงจริงใจ คอยตรวจสอบเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยขององค์ชายเล็ก แม้ว่าโลกภายนอกจะกล่าวเกินจริงถึงองค์ชายเล็ก หลี่ซวนจง ในแง่ดี แต่เขาก็ระวังและแสดงออกถึงความไม่ชอบจากภายในมาโดยตลอด
นอกจากนี้เขายังเป็นคนตรงไปตรงมาและอวดดี
ดังนั้นองค์ชายเล็กจึงไม่เคยพยายามที่จะเถียงเอาชนะเขา
“ข้าจะทำสิ่งที่ข้าต้องการแล้วเจ้าจะทำอะไรได้ ?” ริมฝีปากของหลี่ซวนจงแสดงให้เห็นรอยยิ้มล้อเลียน “เจ้าเป็นองค์จักรพรรดิรึไง ท่านปรมาจารย์ ชู?”
เฒ่าชู ปิดหน้าอกของเขาด้วยความโกรธและตะโกนเหมือนสิงโตแก่ที่กำลังโกรธจัด “เจ้ามันดื้อรั้น ข้าจะรายงานต่อองค์จักรพรรดิ แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะนับเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ ข้าก็จะให้เขาลองมองเจ้าดูอีกครั้ง เจ้าไม่ควรเช่นนี้ ”
จัดการรายงาน?
มีร่องรอยของความรังเกียจบนใบหน้าของ หลี่ซวนซง
ถ้าเขาไม่กล้าทำอะไรกับองค์ชายมาตลอดสามสิบปี เขาก็คงไม่กล้าทำอะไรกับตัวเขาเช่นกัน
นี่คือความคิดของคนเฒ่าชู?
“เอาเถอะข้าแค่อยากให้เขาออกมาเร็ว ๆ มันคงจะช่วยให้ข้าประหยัดเวลาได้มาก ถ้าเขาออกมาหลังจากที่เก็บตัวมานาน” หลี่ซวนซง กล่าวอย่างเย็นชา
เขาเองก็กำลังทำทีเหมือนรอให้องค์จักรพรรดิปรากฏตัว
น่าเสียดายที่ความจริงแล้วเขานั้นไม่สามารถรอได้
“เดี๋ยวก่อนเลย ทุกคนเข้าไปพร้อมกับข้าเพื่อพบองค์จักรพรรดิเถอะ การทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการก่อกบฏ ข้าต้องขอให้องค์จักรพรรดิลงโทษเขาอย่างรุนแรง”
ตามปกติเขานั้นมีบารมีสูง เสียงของเขาจึงควรก้องกังวานในหมู่ชน
แต่ตอนนี้กลับมีผู้ตอบรับเพียงไม่กี่คน และส่วนใหญ่เลือกที่จะนิ่งเฉย
ในกรณีเช่นนี้พลเรือนและทหารส่วนใหญ่ในอาณาจักรราชวงศ์มังกรเร้นกายเลือกที่จะเงียบ ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกมาก
“พวกเจ้าเป็นอะไรกันไปหมด ?” เฒ่าชู หันศีรษะด้วยความโกรธและมองไปที่องค์ชาย
ที่นี่มีศิษย์ของเขาอยู่มากมาย
หลายคนในนี้ต่างก็มีความรับผิดชอบอันหนักหน่วง หากมีปัญหากับพวกเขา อาณาจักรก็จะไม่เป็นระบบระเบียบแน่
ทันใดนั้นก็มีคนกระซิบข้างหูเขาว่า “ท่านอาจารย์ … ปล่อยเขาเถอะ”
ลืมมันไป
ลืมมันไป
เฒ่าชู มองไปที่ศิษย์คนโปรดของเขาต่อหน้าต่อตา มันเหมือนกับว่าเขาถูกฟ้าผ่า เขาอดไม่ได้ที่จะเขย่าร่างของตัวเองพร้อมความสับสนในดวงตาของเขา
เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่