ไหปีศาจ - บทที่ 541 ผู้ช่วยทั้งสอง
บทที่ 541 ผู้ช่วยทั้งสอง
บทที่ 541
ผู้ช่วยทั้งสอง
องค์หญิงเจียโรวนั้นเป็นบุตรสาวคนโปรดของเขา
เป็นธรรมชาติที่จะสำคัญ
แต่หลายคนมักจะรู้ว่าองค์จักรพรรดิดูเหมือนจะมีประเด็นอะไรบางอย่าง
แทนที่จะตอบคำถามขององค์จักรพรรดิ หลี่ซวนซง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ถ้าหากมีคนเปลี่ยนแปลงมัน ก็แค่ลบมันออกไปเท่านั้น อย่ากังวลว่าจะเข้าใจอะไรผิดไป”
นายพลเทพเจ้าพยักหน้า
ไม่มีใครกล้าที่จะขัดคำ
ผู้คนในลานจัตุรัสซวนวู ไม่กล้าคิดที่จะเปลี่ยนแปลงใด ๆ
“ข้าไม่ต้องการเพิ่มตัวแปรใด ๆ อีกแล้ว” หลี่ซวนซงหันศีรษะของเขา และมองไปที่ลั่วอู๋ “มันจะดีกว่านี้ถ้าฆ่าเจ้าเสียก่อน ก่อนที่เจ้าจะใช้ไพ่ตายแปลก ๆ อะไรออกมา”
ทันใดนั้น สายตาของนายพลระดับสูงหลายคนก็มองไปที่ลั่วอู๋
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซียวอวี้ นายพลเทพคนแรกผู้ทำลายค้อนสวรรค์
เขาสามารถกดดันผู้คนได้มากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัตว์วิญญาณจักรพรรดิชนิดหนึ่งที่มีชื่อเสียงในด้านพลังการต่อสู้ และมันก็มีพลังทำลายล้างขั้นสูงสุดอันน่ากลัว
เขามีสัตว์วิญญาณระดับเพชรที่ชื่อว่า ภูเขาไต่
สัตว์วิญญาณชนิดนี้หากยากอย่างมาก
ว่ากันว่ามันคือยอดเขาสูงตระหง่านผู้ให้กำเนิดพลังวิญญาณ และเข้าใจการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะไม่มีสายเลือดที่พิเศษกว่าใครอื่น แม้แต่สายพันธุ์เดียวกัน แต่มันก็มีพลังที่หาที่เปรียบมิได้
ปกติแล้วมันจะเป็นยักษ์หินขนาดยักษ์
แต่เมื่อพวกมันเข้าสู่การต่อสู้ พวกมันจะเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นภูเขาที่มีความแข็งแกร่ง พร้อมกับการป้องกันของพวกมันจะพุ่งทะยานไปสู้ระดับที่สูงมาก
สัตว์วิญญาณชนิดนี้ ด้วยน้ำหนักของมือของนายพลเทพเจ้าผู้ทำลาย ค้อนสวรรค์ของเซียวอวี้ มันก็ได้แสดงประสิทธิภาพในการต่อสู้ของตัวเองได้อย่างชัดเจน
คฤหาสน์ขององค์ชายต้องการให้เขาช่วยหาสัตว์วิญญาณตัวที่ 5 ดังนั้น เขาจึงได้ไปที่ตระกูลลั่ว
ปีศาจแห่งตระกูลลั่ว และลิงเผือกนั้นมีพลังที่น่ากลัวและมีความเร็วที่หาใครเทียบมิได้ ไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเซียวอวี้เท่านั้น แต่มันก็ยังเป็นจุดอ่อนอีกด้วย
มันเป็นหนึ่งในสัตว์วิญญาณที่เหมาะสมที่สุดของเซียวอวี้
แต่ก็น่าเสียดาย ลิงเผือกถูกขโมยไปโดยลั่วอู๋
อย่างไรก็ตาม สัตว์วิญญาณตัวที่ 4 ของเขาก็อยู่ในระดับเพชร โดยปกติแล้ว เขานั้นต้องการในสิ่งที่ดีกว่า ดังนั้น เขาจึงมีเพียงแค่ 4 ตนเท่านั้น
หัวใจของลั่วอู๋ดิ่งลง เขาหยิบดาบออกมาจากไหปีศาจอย่างช้า ๆ ฝ่ามือของเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย และเหงื่อออกไหลพราก
เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์วิญญาณระดับเพชร มันก็น่าจะเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยองค์หญิงเจียโรว แต่เขาสามารถจัดการได้เพียงตัวเดียว แล้วที่เหลือล่ะ?
ลั่วอู๋รู้สึกไร้เรี่ยวแรง
ข้านั้นยังอ่อนแอเกินไป ข้าคนเดียวคงไม่มีทางเผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้ได้แน่
องค์จักรพรรดิ! ท่านไม่ขยับเลย
ท่านถึงคิดจะนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ต้นจนจบหรืออย่างไรกัน?
ถ้าเป็นเพราะคำสาปของท่านก็เอ่ยมา ข้าจะรีบนำผลไม้ลึกลับมาให้ท่านในทันที ตอนนี้ ท่านหมายถึงอะไรกันล่ะ?
เซียวอวี้เดินไปหาลั่วอู๋อย่างช้า ๆ
ทุกย่างก้าวของเขาเหมือนกับภูเขากำลังถล่มลงมา
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้สังหารท่านอาจารย์ปังชิเย่” เซียวอวี้พูดออกมาด้วยความหนักแน่ “แล้วเจ้าได้นำปีศาจ ลิงเผือกของข้าไปด้วยไหม?”
ลั่วอู๋รู้สึกประหม่า
เขารับรู้ถึงความโกรธเกรี้ยวจากน้ำเสียงของอีกฝ่าย
ตามปกติแล้ว ถ้าสัตว์วิญญาณระดับเพชรนั้นได้ถูกขโมยไป มันคงจะเกิดความแค้นครั้งใหญ่ก็ได้
“ตอนนี้เจ้ายังไม่ขึ้นไปถึงระดับทองคำขั้นสูง เจ้าไม่สามารถทำสัญญากับมันได้ นั่นถือว่าเป็นข่าวดี หลังจากฆ่าเจ้าแล้ว ข้าจะหาทางนำปีศาจลิงเผือกกลับมาให้ได้”
“ข้าเกรงว่าเจ้าอาจจะตายได้นะ!” ลั่วอู๋ไม่พอใจ
เซียวอวี้ตอบกลับโดยไม่สนใจ “เจ้าสามารถทำอะไรก็ได้กับสิ่งที่เจ้าได้ครอบครองไว้”
ลมหายใจอันรุนแรงดั่งภูเขา ทันใดนั้น ลั่วอู๋ก็รู้สึกขาดอากาศหายใจ ความรู้สึกนั้นมันเหมือนกับภูเขาลูกใหญ่นับไม่ถ้วนทับถมอยู่เหนือศีรษะของเขา ถ้าหากเจ้าเคลื่อนไหวละก็ สิ่งเหล่านี้ก็จะพังลงมา
มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก
เซียวอวี้ค่อยๆ ยกค้อนขึ้น
ลั่วอู๋กำดาบที่อยู่ในมือของเขาจนแน่น
“เดี๋ยวก่อน!” ในขณะนั้นเอง เกิดการระเบิดขึ้นในระยะไกล และผู้คนก็ได้เห็นแสงหลากสีส่องสว่างมาจากทิศใต้
เหล่าขุนนางที่ยังคงคาดหวังต่อองค์จักรพรรดิต่างรู้สึกยินดี
แต่พอได้เห็นแล้ว เขาก็กลับรู้สึกผิดหวัง
สิ่งนั้นมันคือ นกยูง
ในขณะนั้นเอง ได้มีเสียงคนตะโกนดังขึ้นมา คนคนนั้นคือชายหนุ่มในชุดสีขาว เขาเป็นเด็กหนุ่ม ทุกคนได้มองเห็นลมหายใจของเขาว่าเขานั้นมีความสามารถมากขนาดไหน แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด
นอกจากนี้ ยังมีสาวงามที่ยืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มในชุดสีขาว นางสวมกระโปรงสีขาว ทั้งสองยืนอยู่เคียงข้างกัน ดั่งคู่รักภูตอย่างน่าอิจฉา
แต่มันก็ไม่ได้ผล
ไม่มีใครสามารถช่วยลั่วอู๋ได้ ยกเว้น สัตว์วิญญาณจักรพรรดิ
นกยูงตัวนั้นได้ร่อนลง
“หืม ดูเหมือนว่าจะมาทันเวลานะ” ฉูจงฉวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ลั่วอู๋กังวล “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“อ้าว! ก็มันดูเหมือนกับว่าชีวิตของเจ้ากำลังตกอยู่ในอันตรายไม่ใช่เหรอ? ข้าจะมาที่นี่เฉพาะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น” ฉูจงฉวนแสดงรอยยิ้มบนใบหน้า
“เฮ้อ!” “เจ้ามาที่นี่เพื่อตายชัด ๆ” ลั่วอู๋พูดด้วยความโกรธ
“อย่าตื่นเต้นมากไปสิ” ฉูจงฉวนทำอะไรไม่ถูก
เซียวอวี้มองไปที่ฉูจงฉวน และหลินยูหลัน แล้วพูดอย่างไม่สนใจ “เจ้ามาที่นี่เพื่อทิ้งชีวิตชัด ๆ ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากล้าหาญหรือว่าโง่กันแน่”
ทั่วทั้งพระราชวังถูกล้อมไปด้วยกองทัพหมาป่า ที่คนภายนอกนั้นเข้าง่ายแต่ออกยาก
“ช่างกล้ามากนะ” หลินยูหลันยืนขึ้น และหัวเราะออกมา “ข้ารู้จักเจ้า นายพลเทพเจ้าค้อนสวรรค์ เซียวอวี้ ผู้ไม่เห็นจะมีอะไรน่าโดดเด่นเลย”
ผู้คนจำนวนมากกำลังมองไปที่พวกเขา
ผู้หญิงคนนั้นมันอะไรกัน ดูถูกแม้แต่จักรพรรดิวิญญาณเลยงั้นเหรอ?
“งั้นข้าจะส่งเจ้าไปตายด้วยก็แล้วกัน” เซียวอวี้ยกค้อนในมือขึ้นอีกครั้ง
“ใครคิดที่จะแตะลูกสาวข้ากัน?”
“ใครคิดที่จะแตะต้องลูกหลานของตระกูลฉูของข้ากัน?”
ได้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นถึง 2 ครั้ง เหนือ ลานจัตุรัสซวนวู
มันคือเสียงฟ้าร้อง ที่ดังจนแม้แต่พื้นดินก็เกิดสั่นสะเทือน
จากนั้น ร่างของคนทั้ง 2 ก็ปรากฏขึ้นมา
คนหนึ่งคือ ผู้ชายหน้าตาธรรมดาที่ถือดาบเอาไว้ในมือ
ส่วนอีกคนหนึ่ง คือชายชราผมเกรียนดูเหมือนเป็นชายชราร่างเด็ก แต่ก็มีบรรยากาศที่สง่างามและดูทรงพลังอย่างมาก
ฉูจงฉวน และ หลินยูหลันโดยปกติแล้วไม่สามารถตายได้
พวกเขาได้พาผู้ช่วยเหลือทั้ง 2 คนมาด้วย
นั่นคือ หัวขโมยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
และฉู จานเทียน บรรพบุรุษของตระกูลฉู
ลมหายใจของฉูจานเทียน รุนแรงกว่าปกติหลายเท่า และยังส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาบนร่างกายของเขา ซึ่งทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียน
เขาได้ทำลายห่วงพันธนาการและพัฒนาขึ้นสู่ผู้ใช้พลังวิญญาณ ระดับเพชร
ลั่วอู๋ประหลาดใจ “เจ้า…”
“ขอบคุณสำหรับผลไม้ลึกลับนะ” ฉูจานเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้เดินทางไปยังหุบมรณะและได้เข้าต่อสู้กับคนประหลาดในที่แห่งนั้น หลังจากที่ข้าได้บุกเข้าไป”
มันอาจจะฟังดูง่าย แต่มันกลับอันตรายมาก
แม้ว่าความแข็งแกร่งของคนประหลาดเหล่านั้นจะอ่อนแอ แต่ก็มีอยู่หลายคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงจักรพรรดิผู้ใช้พลังวิญญาณ
ฉูจงฉวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดไม่ผิดจริง ๆ ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเจ้า”
ในตอนแรก ฉูจงฉวนและหลินยูหลันได้อยู่ที่สำนักโล่พิทักษ์ ผลที่ตามมาก็คือ สำนักโล่พิทักษ์ได้ถูกห้อมล้อมโจมตี พวกเขาเกือบจะถูกจับได้ และได้พยายามที่จะหลบหนี
พวกเขามีลางสังหรณ์ว่าแปลก ๆ พวกเขาจึงกลับไปที่ค่ายทหาร
โชคดีที่ฉูจานเทียนกำลังพัฒนาตัวเองอยู่ เมื่อได้ยินว่าลั่วอู๋กำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เขาจำตัดสินใจเข้ามาช่วยในทันที
หลินกุยมองไปรอบ ๆ เขาทำสีหน้าผ่อนคลาย และเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ราวกับว่าเขาจะเดินทางเดียวกันพวกเขาด้วย
“นี่เป็นการมาเยือนเมืองหลวงของจักรวรรดิครั้งแรกของข้า และเป็นครั้งแรกที่ข้าได้มาพระราชวังหลวงด้วย” หลินกุยหัวเราะ และพูดว่า “มันช่างน่าทึ่งมากที่หัวขโมยจะต้องเข้าต่อสู้กับการก่อกบฏครั้งนี้”
เขาดูปกติ
แต่ก็ไม่มีใครที่คิดกล้าจะดูถูกเขา
เพราะเขานั้นถือดาบสีดำเอาไว้ในมือ
ดาบผ่า 8 วิญญาณ
เมื่อเทียบกับดาบที่มีชื่อเสียงระดับโลกทั้ง 10 อันดับ ดาบที่มีชื่อเสียงเล่มนี้ได้ถูกย้อมไปด้วยเลือดของนักฆ่ากระหายเลือดนับไม่ถ้วน
รวมกับสิ่งที่เขาพูด คือสิ่งที่สามารถวิเคราะห์ตัวตนของอีกฝ่ายายได้ไม่ยาก
หลินกุย คือหัวขโมยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก