ไหปีศาจ - บทที่ 558 คุกกรง
บทที่ 558 คุกกรง
บทที่ 558
คุกกรง
“รีบมาช่วยเขาเร็ว”
“ตราบใดที่องค์จักรพรรดิยังไม่สั่งประหาร เขาก็ยังตายไม่ได้!”
“เจ้าพวกโง่ พวกเจ้าเอาตาไปอยู่ที่ไหนกัน ถ้าเขาตายพวกเจ้าเองก็จะต้องตายไปกับข้า”
หัวหน้าผู้คุมคำรามลั่นไปทั่วทั้งห้องขัง
เหล่าผู้คุมต่างหน้าซีดกันด้วยความกลัว
แม้ว่าองค์ชายเล็กจะถูกจำคุกในข้อหากบฏ แต่ยังไง ๆ เขาก็ยังเป็นหลานชายขององค์จักรพรรดิ เขายังตายไม่ได้จนกว่าองค์จักรพรรดิจะสั่งประหารเขา ถ้าหลี่ซวนซงตายที่นี่ พวกเขาทั้งหมดเองก็คงจะตายไปพร้อมกันกับเขา
ทั้งเรือนจำคุกกรงตกอยู่ในความโกลาหล
พรรคพวกของคฤหาสน์องค์ชายออกมายืนดูด้วยความตื่นเต้นพลางร้อง “มันจบแล้ว พวกเจ้ากล้าฆ่าเชื้อพระวงศ์อย่างองค์ชายเล็กได้อย่างไรกัน?”
เหล่าผู้คุมตื่นตระหนกแล้วจึงรีบเข้าไปปราบปรามเหล่านักโทษ
ผู้คุมบางคนรีบไปหาหมอประจำราชวงศ์ พวกเขาต่างพยายามกันอย่างเต็มที่เพื่อยื้อชีวิตของ “หลี่ซวนซง” เขาจึงไม่มีเวลามาสนใจสนมคนโปรดขององค์ชาย
“ข้าคือนางสนมขององค์ชาย” พูดจบเขาก็เดินออกจากคุกโดยไม่มีการขัดขวางใด ๆ
ราวกับว่าเขาได้รับชีวิตใหม่.
แดดข้างนอกนั้นดูแพรวพราวขึ้นมาเล็กน้อย
หลี่ซวนซงจึงได้แต่หรี่ตาลงอย่างช่วยไม่ได้
ปรากฏว่าวิธีการของจี๋ เป่ยยุนคือการฆ่าตัวตายโดยใช้ชีวิตของเขาดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้คุมเรือนจำ เพื่อช่วยปกปิดการหลบหนีของหลี่ซวนซง
หากจะให้เขาเลือกผู้ที่ภักดีที่สุดในบรรดา13 นายพลเทพเจ้า นั่นก็คงจะต้องเป็นจี๋ เป่ยยุน
เพราะเขาเชื่อเสมอว่าหลี่ซวนซง เป็นผู้ที่ให้ชีวิตใหม่กับเขา เป็นผู้ที่ทำให้เขาได้มีโอกาสใช้ชีวิตตามความต้องการของตัวเอง
เขาเป็นเด็กที่นุ่มนวล ชอบสีแดงและสีเหลือง จนทำผมเป็นสีเหลืองทอง เขาแต่งตัวเก่งและมีเสน่ห์มากกว่าผู้หญิงเสียด้วยซ้ำ ในสายตาของคนนอกพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่ง เขาจึงต้องคอยเก็บซ่อนตัวตน เพื่อปกปิด “รสนิยมประหลาด” ของเขา
ในมุมมองของคนนอกแล้ว ตัวตนของเขาเหมือนกับสัตว์ประหลาด
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้รับความสามารถในการเปลี่ยนตัวเองให้เป็นผู้หญิงจริง ๆ
เขาไม่ได้ชอบผู้ชาย เพราะแบบนั้นเขาจึงเต็มใจที่จะเปลี่ยนเป็นผู้หญิง เขาพร้อมที่จะเป็นตัวตายตัวแทนให้กับ หลี่ซวนซง ด้วยที่ซาบซึ้งสำหรับโอกาสที่อีกฝ่ายมอบให้กับเขา
ตอนนี้หลี่ซวนซงจมอยู่ในทางตัน
จี๋ เป่ยยุน ผู้ซึ่งกลัวความตาย ถึงขั้นยอมร้องขอความเมตตาจากลั่วอู๋ตลอดเวลา นั้นเลือกที่จะสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขา เข้าไปในเรือนจำกรงอย่างเด็ดเดี่ยว สละชีวิตเพื่อพาเขาออกมา
โดยที่แม้แต่หลี่ซวนซงก็ยังจำรูปลักษณ์ดั้งเดิมของ จี๋เป่ยยุนไม่ได้
เขาจำได้เพียงแค่ว่าอีกฝ่ายมีใบหน้าที่คล้ายผู้หญิงเล็กน้อย ไม่ค่อยเหมือนกับผู้ชายเท่าไหร่
แต่ในวันนี้ด้วยการปาดคอของเขา ช่างกล้าหาญยิ่งกว่าชายคนอื่น ๆ ที่เขารู้จัก
“เป้าหมายของท่านยังไม่เสร็จสิ้น ท่านจะมาตายที่นี่ไม่ได้ ท่านต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”
เสียงที่อธิบายไม่ได้ยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา จนกระทั่งมันกลายเป็นคลื่นขนาดใหญ่คำรามอยู่ในหัวของเขาดังก้องไปบนท้องฟ้า
หลี่ซวนซง กำหมัดแน่นแล้วจึงคำรามอย่างบ้าคลั่งและหนักแน่น “แน่นอน”
ในมือของเขามีไหใบเล็กอยู่
จิตใจของเขาในตอนนี้แน่วแน่ดั่งประกายเพชร
……
……
แม้หลี่ซวนซงจะพยายามฆ่าตัวตาย แต่เขาได้รับการช่วยเหลือได้ทันท่วงที
เพียงแค่ถูกปาดคอย่อม ไม่สามารถทำให้ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงเช่นเขาเสียชีวิตได้
หลังจากการได้รับการรักษา หลี่ซวนซง ก็ได้แต่นั่งเงียบ ๆ อย่างสงบอยู่ในห้องขัง รอคอยให้ชะตากรรมของเขามาถึง
และแล้วในที่สุดวันประหารของเขาก็มาถึง
“ฉับ!”
การแสดงออกของหลี่ซวนซงนั้นดูผ่อนคลาย ราวกับว่ากำลังรอการพิจารณาคดีขั้นสุดท้ายอยู่แล้ว
เขาถูกนำตัวไปที่ลานประหารและถูกตัดหัวลง
หลายคนต่างถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ราวกับว่าหินก้อนใหญ่ในใจของพวกเขาได้หายไปแล้ว เนื่องจากยังมีอีกหลายคนที่เกี่ยวข้องกับคฤหาสน์องค์ชายหลงเหลืออยู่
การตายของหลี่ซวนซง จึงเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขาทุกคน
……
……
จนถึงบัดนี้ ลั่วอู๋ก็ยังไม่เข้าใจในแก่นแท้ของทักษะ
ในเวลาเดียวกันไร้หน้านั้นใกล้จะทะลุมิติวิญญาณของตัวเองได้แล้ว นั่นก็เพราะเขาได้อยู่ในมิติไห มาเป็นเวลานาน ดังนั้นมิติวิญญาณของเขาจึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่ในขณะที่เขากำลังเตรียมเลื่อนยกระดับมิติวิญญาณ ลั่วอู๋ก็แนะนำให้เขาระงับมันเอาไว้ก่อน
เนื่องจากในระยะต่อจากนี้ วิชาศิลปะการต่อสู้จะอ่อนแอกว่าการฝึกฝนพลังวิญญาณ ดังนั้นลั่วอู๋จึงหวังว่าไร้หน้าจะได้รับการส่งเสริมความสามารถให้อยู่ในสถานะที่สมบูรณ์แบบที่สุดก่อน เพื่อที่จะกำจัดช่องว่างเหล่านั้นออกไป
ลั่วอู๋ ไปที่คฤหาสน์ตระกูลเฉินเพื่อเข้าพบ เฉินซังเทียน
“เจ้าเจอตัวหลินเจิ้งรึยัง?” เฉินซังเทียน ถาม
ลั่วอู๋ ส่ายหัวอย่างเสียใจ “ไม่มีข่าวคราวของเขาเลย ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะอยากถามว่า หลงเซี่ยอยู่กับท่านรึเปล่า”
“ เขามีบางอย่างสำคัญที่ต้องทำ เลยออกไปแล้ว” เฉินซังเทียน ส่ายหัว “แม้ว่าข้าจะโปรดปรานเขา แต่เขาก็เต็มใจที่จะมอบตัวเพื่อเป็นองครักษ์ของข้าด้วยตัวเขาเอง ดังนั้นข้าจึงไม่มีความสามารถที่จะยับยั้งเขาได้”
ใช่แล้ว หลงเซี่ยนั้นเป็นยอดนักรบศิลปะการต่อสู้เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นผู้นำของหน่วยสยบมังกร ความแข็งแกร่งของเขาจึงชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว
ลั่วอู๋เสียใจเล็กน้อย
หากไม่ใช่หลงเซี่ย ก็คงไม่มีใครที่จะสามารถชี้นำไร้หน้าได้ในเวลานี้ ข้าเกรงว่าไร้หน้าคงจะไม่สามารถยกระดับมิติวิญญาณอย่างสมบูรณ์แบบได้ในเวลานี้
ช่างเป็นอาจารย์ที่ไร้ความรับผิดชอบจริงๆ
หลังจากสอนไร้หน้าได้เพียงสองสามวัน เขาก็ทิ้งลูกศิษย์เอาไว้แล้วจากไป เขาไม่กลัวว่าลูกศิษย์ของตัวเองจะสับสนเลยรึไง
ลั่วอู๋ทำได้เพียงแค่ แนะนำให้ไร้หน้าหยุดการยกระดับมิติวิญญาณเอาไว้ก่อน หากยังไม่พร้อมที่จะยกระดับมิติวิญญาณจริง ๆ เขาก็ไม่ควรทำมัน เพราะหากรีบเกินไปก็อาจจะเกิดปัญหาได้ในภายหลัง
เมื่อเสร็จธุระ ลั่วอู๋ก็กลับไปสำนักโล่พิทักษ์ ไม่ไกลจากตรงนั้นเท่าไหร่ใต้ต้นไทรมีกลุ่มเด็กซนกำลังเล่นกันอย่าง ไร้เดียงสา มีชีวิตชีวา
ทว่ากลับมีคนที่ดูไม่กลมกลืนเท่าไหร่อยู่ตรงนั้น
เขาเป็นชายร่างผอมที่สวมเสื้อผ้าสกปรกอยู่ จนมองไม่ออกว่าเดิมทีเสื้อผ้านั้นเป็นสีอะไร เขานั่งยองๆอยู่ใต้ต้นไม้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เขากำลังมองดู
ผู้ใหญ่คนนั้นอยู่ท่ามกลางกลุ่มเด็กมองมันอย่างจดจ่อมากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้มันจะไม่ได้สำคัญกับเขาเท่าไหร่ แต่ลั่วอู๋กลับพบว่าแผ่นหลังของชายคนนี้ดูคุ้นเคยพิกล
ลั่วอู๋เดินเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ทำไม เจ้าถึงนั่งยองๆอยู่ตรงนี้และมองไปที่มันกันล่ะ?” เด็กอ้วนในกางเกงเปิดเป้าถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
ชายคนนั้นไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพียงแต่ตอบกลับไปสองคำ “ตั้งใจ ดู”
“ไหนขอข้าดูหน่อยสิ ว่าเจ้ากำลังมองอะไรอยู่” เด็กผู้หญิงที่ถักดอกไม้แปลก ๆ โผล่หัวมาแล้วพูด “ไม่เห็นมีอะไรเลย?”
“ ดูมดน่ะสิ” ชายคนนั้นตอบ พลางก้มหน้าลงมองอย่างระมัดระวัง
ใต้ต้นไทรมีลำต้นเล็ก ๆ ยาวทะลุดินอยู่ ตรงนั้นมีกลุ่มมดกำลังเดินอยู่เป็นแนวยาวไปมา “เหนือเนินทราย” อย่างเป็นระเบียบ
“มันไม่มีอะไรให้ดูเสียหน่อย” สาวน้อยถักดอกไม้เดินออกไป
ในที่สุดชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นและหัวเราะ “เมื่อก่อนข้าเห็นมันไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ข้าเห็นมันอย่างชัดเจนแล้ว ข้าจึงอยากเห็นมันมากกว่านี้”
เด็ก ๆ ต่างมองไปที่เขาอย่างสับสน พวกเขาไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่ชายแปลกหน้าพูดได้
ก็แค่มดเดิน มันจะมีอะไรให้ดูนักหนา
“เจ้านั่งยองๆอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว เจ้าได้กินข้าวรึยัง?” สาวน้อยถักดอกไม้ถามอย่างใจดีมาก
ชายคนนั้นส่ายหัว “ข้าไม่จำเป็นต้องกิน ตามปกติแล้ว ข้ากินเพียงแค่หนึ่งครั้งในครึ่งปี หรือไม่ก็แค่ตอนถูกบังคับให้ไปงานเลี้ยง”
เด็ก ๆ ทุกคนต่างไม่เชื่อ
ถ้าไม่กินก็ย่อมต้องอดตาย ถ้าไม่ได้กินข้าวมาเป็นเวลาครึ่งปีใครเล่าจะไปทนไหว
เด็กน้อยคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วตะโกนว่า “อย่ามาเข้าใกล้ข้าเชียว แม่ข้าบอกว่าผู้ชายคนนี้สกปรก พวกเราจะป่วยถ้าเข้าไปใกล้เขา”
ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่าชายปริศนาคนนี้ไม่สบาย เด็ก ๆ ทั้งหมดก็กระจัดกระจายกันออกไป และไม่คิดจะมารวมตัวกันใกล้ ๆ เขาอีก
ถ้าเขาไม่สบาย เขาก็ต้องกินยา
ชายคนนั้นไม่ได้โกรธ เพียงแต่ยังคงมองลงไปที่เหล่ามด
ลั่วอู๋ตกใจเล็กน้อย
เพราะเขาจำผู้ชายคนนั้นได้เป็นอย่างดี
เขาคือหลินเจิ้ง
เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าที่จริงแล้วหลินเจิ้งนั้นอยู่ไม่ไกลไปจากประตูสำนักโล่พิทักษ์นี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลยที่เหล่าร้านค้าอื่น ๆ หาตัวเขาไม่เจอ
“ข้าอุตส่าห์แจ้งคนของข้าให้หาเขา” ลั่วอู๋ยกมือก่ายหน้าผาก