ไหปีศาจ - บทที่ 580 ทรยศ
บทที่ 580 ทรยศ?
บทที่ 580
ทรยศ?
ด้วยความตกใจเหวินเสี่ยวถึงกับลืมความคิดที่จะสั่งสอนลั่วอู๋ไปเลย
เนื่องจากตอนนี้เขาไม่น่าจะสามารถเอาชนะลั่วอู๋ได้
ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาแม้ว่าเหวินเสี่ยวจะอยู่ตัวคนเดียวเฝ้ารอให้สำนักเฉียนหลงเปิดช่องว่างมิติ แต่เขาก็ไม่ได้รออยู่ว่าง ๆ เขานั้นฝึกฝนเป็นอย่างหนัก
เพราะถ้าหากเขาต้องการมีชีวิตต่อไปจริงๆ ความแข็งแกร่งคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
เขารู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร ๆ
ตอนนี้เหวินเสี่ยวได้ไปถึงมิติวิญญาณระดับทอง 10 ซึ่งเป็นระดับที่ถือว่าดีมาก เขาจึงค่อนข้างพอใจกับความก้าวหน้าของตัวเอง แต่ใครจะรู้ว่าความเร็วในการฝึกฝนของเขานั้นกลับน้อยกว่า ลั่วอู๋ มาก
ลั่วอู๋ฟังคำถามของเหวินเสี่ยวและพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ “ใช่แล้ว ข้าไปถึงมิติวิญญาณระดับทองขั้นสูงแล้ว มีอะไรแปลกงั้นเหรอ?”
“ แน่นอนสิ ทำไมเจ้าถึงฝึกได้รวดเร็วขนาดนี้” เหวินเสี่ยวกล่าว
“ข้าก็เป็นระดับทองขั้นสูงเหมือนกันนะ” ทันใดนั้น ฉูจงฉวน ก็ยื่นหัวออกมาจากประตูและพูดด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “มีอะไรจะชมข้าไหมล่ะ?”
หลังจากฉูจงฉวนคนอื่น ๆ ก็เดินตาม ๆ กันมา
องค์หญิงเจียโรว, หลี่หยิน และ หลินยูหลัน เดินเข้ามา พวกนางทุกคนเองก็ได้ผ่านการเก็บตัวฝึกฝนในมิติไหเช่นกัน ตอนนี้พวกนางต่างไปถึงมิติวิญญาณสูงสุดของระดับทอง ทว่ามันยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกนางที่จะเข้าใจแก่นแท้ทักษะ ดังนั้นพวกนางจึงยังไม่คิดที่จะยกระดับมิติวิญญาณ
“พวกเจ้า..” ดวงตาเหวินเสี่ยวเต็มไปด้วยความสับสน
เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากัน? เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดมีมิติวิญญาณต่ำกว่าเหวินเสี่ยวในตอนแรกเริ่มต้น พวกเขากลับมาตามทันตัวเขาได้อย่างไร?
หากมีเพียงแค่ 1-2 คนที่ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดมันก็พอเข้าใจได้
แต่นี่พวกเขาทุกคนเหมือนจะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด มันเป็นไปได้ด้วยงั้นเหรอ?
อย่างไรก็ตามลั่วอู๋นั้นไม่มีความคิดที่จะบอกเหวินเสี่ยวเกี่ยวกับมิติไห แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักกันมาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้เหวินเสี่ยวนั้นมีบุคลิกที่สุดโต่งเกินไป ถึงขั้นที่เขากล้ามากพอที่จะทรยศต่อคำสาบานด้วยแก่นวิญญาณของเขา
“ อย่าพูดอย่างนั้นสิ” ลั่วอู๋ เปลี่ยนเรื่อง “มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับห้วงมิติของสำนักเฉียนหลง ข้าไม่คิดว่าเราจะกลับที่นั่นได้ในเร็ว ๆ นี้ ”
นั่นทำให้เหวินเสี่ยวขุ่นเคืองกับความจริงที่ได้ยิน “มันเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง!”
เขาต้องการไปยังอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะ เพื่อค้นหาน้ำพุศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตามอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะ นั้นไม่มีเบาะแสอันใดเลยในการไปถึง อีกทั้งยังไม่มีใครรู้ตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงของมัน
มีเพียงสำนักเฉียนหลงเท่านั้นที่มีพิกัดเชิงพื้นที่ห้วงมิติของอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะ สำนักเฉียนหลงจึงเป็นเพียงที่เดียวที่จะสามารถช่วยให้พวกเขาผ่านช่องว่างมิติไปที่นั่นได้
ดังนั้นพวกเขาต้องกลับไปที่สำนักเฉียนหลงก่อน
แต่ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้ นี่ทำให้ เหวินเสี่ยวโกรธมาก
เขาไม่สามารถรอได้
ความเกลียดชัง ในอีกบุคลิกภาพของเขานั้นได้มาถึงขีด จำกัด แล้ว
“เดี๋ยวท่านรองประธานจะหาทางแก้เรื่องนั้นให้พวกเราเอง” “นอกจากนี้น้ำพุศักดิ์สิทธิ์เองก็เป็นอะไรที่มีค่ามาก มันน่าจะต้องมีผู้พิทักษ์เฝ้าอยู่ หากมีกำลังไม่เพียงพอ ต่อให้เจ้าจะพบน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็คงไม่สามารถนำมันกลับไปด้วยได้” ลั่วอู๋กล่าว “ดังนั้นเจ้าควรพยายามพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองก่อน ”
หลังจากได้ยินเรื่องนี้เหวินเสี่ยวก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามเขานั้นต้องยอมรับว่า เขาไม่มีวิธีอื่นนอกจากนี้ ทำให้ทำได้เพียงแค่ยอมรับสภาพไปเท่านั้น
เหวินเสี่ยวจ้องมองไปที่ลั่วอู๋ โดยยังคงสงสัยว่า อีกฝ่ายทำอย่างไรถึงสามารถเข้าใจแก่นแท้ทักษะได้ในเวลาอันสั้น จนได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูง
“เจ้าสามารถพักอยู่ที่สำนักโล่พิทักษ์ได้นะ หากเจ้าต้องการอะไรก็บอกพวกพนักงานได้เลย ข้าจะรีบมาบอกเจ้าทันทีเมื่อสำนักเฉียนหลงเปิด” ลั่วอู๋ กล่าว
ตราบใดที่รับมืออย่างเหมาะสมเหวินเสี่ยวก็ถือเป็นตัวช่วยที่ดีกับลั่วอู๋
เนื่องจากพวกเขาต้องการเข้าสู่อาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะ พวกเขาจึงควรเตรียมตัวให้ดีเสียก่อน
เมื่อพูดจบ ลั่วอู๋ ก็จากไปพร้อมกับพรรคพวก
ความโกรธเล็กน้อยปรากฏขึ้นในดวงตาของเหวินเสี่ยว เมื่อแก่นแท้ทักษะแห่งความมืดของเขาก้าวไปไกลกว่านี้ เขาก็จะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูง จากนั้นเขาก็จะไม่จำเป็นต้องพึ่งพาลั่วอู๋อีก
แก่นแท้ทักษะแห่งความมืดเป็นแก่นแท้ที่มีระดับสูงมากเท่าเทียมกับแก่นแท้ทักษะแห่งชีวิต โชคชะตา การทำลายล้างและความสับสนวุ่นวาย
ในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งในนายน้อยแห่งวังหลวงของพระราชวังเป่ยหมิง คุณสมบัติของเหวินเสี่ยวนั้นถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ตอนนี้เขาได้รับไปถึงการเกริ่นนำเข้าสู่แก่นแท้แห่งความมืด แต่เพื่อที่จะได้รับการเก็บเกี่ยวที่มากขึ้นเขาจงใจทิ้งร่องรอยสุดท้ายในข้อบกพร่องของแก่นแท้ทักษะเอาไว้ ส่งผลให้ความเข้าใจแก่นแท้ทักษะของเขายังไม่สมบูรณ์และทำให้เขาชะลอการยกระดับมิติวิญญาณของเขาเอาไว้ได้
เขามีความมั่นใจว่าเมื่อก้าวผ่านอุปสรรคนี้ไปแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาก็พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดครั้งใหญ่ เป็นที่น่าภาคภูมิใจของคนรอบข้าง
……
……
หลังจากที่เขาเดินออกมา เสี่ยวชา และอาฟู ก็ถูกลั่วอู๋เรียกไปพบ
การสนทนานั้นอยู่ในห้องส่วนตัว
เรื่องของการสนทนานี้จะต้องไม่ให้บุคคลภายนอกได้รับรู้ เพราะมันเป็นความลับระดับสูงสุดของสำนักโล่พิทักษ์
“ประตูห้วงมิติไปสู่ทะเลเหนือสุดขอบเป็นยังไงบ้าง” ลั่วอู๋ ถาม
เสี่ยวชา ตอบว่า “ล่าสุดพวกเราได้ทำการส่งสินค้าพิเศษชุดหนึ่งไปยังทะเลเหนือสุดขอบ หลังจากนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ อีก”
ตรงกันข้ามกับที่ทุกคนคิดไว้ลั่วอู๋นั้นพอใจมาก
เพราะเขาได้สั่งอีกฝ่ายไว้ว่าไม่ควรติดต่อกับสำนักโล่พิทักษ์ ภายใต้สถานการณ์ปกติใด ๆ เว้นแต่จะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น
เนื่องจากไม่มีการเคลื่อนไหวตอบกลับมา ก็แสดงว่าอย่างน้อย ๆ ทางนั้นก็ไม่มีปัญหาใด ๆ ในการพัฒนา ร้านค้าสีฟาง
ลั่วอู๋ พยักหน้าและกล่าวว่า “ให้ ร้านค้าสีฟาง ไปติดต่อกับร้านค้าสีครามในพระราชวังเป่ยหมิงซะ ข้ารู้ว่าการปรับแต่งยาปีกสีครามแห่งความมืดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ข้าต้องการมันมาก ถ้าร้านค้าสีครามสามารถรับประกันยาปีกสีครามแห่งความมืดให้ข้าสองเม็ดต่อปีได้ ข้าจะจัดหาหินครามมาให้พวกเขาได้แน่ ๆ หนึ่งกิโลกรัมต่อปีเป็นข้อแลกเปลี่ยน ”
“ได้ขอรับ” เสี่ยวชาตอบอย่างรีบร้อน
เรื่องนี้นั้นมีความสำคัญมาก
มันไม่เพียง แต่เป็นส่วนสำหรับนกโง่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสำหรับพรรคพวกของลั่วอู๋ด้วย
หลังจากการพัฒนาของต้าหวง ลั่วอู๋จึงได้เข้าใจว่าผลของยาปีกสีครามแห่งความมืดนั้นไม่ได้มีผลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ยาปีกสีครามแห่งความมืดนั้นยังมีผลในการทำให้แก่นวิญญาณมั่นคงและปกป้องสัตว์วิญญาณจากความล้มเหลวในการพัฒนาอีกด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพลังของยาปีกสีครามแห่งความมืดนั้นจะตกตะกอนในร่างกาย เพื่อที่จะปะทุขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
ไม่แปลกใจเลยที่ยาปีกสีครามแห่งความมืดนั้นมีชื่อเสียงมากในพระราชวังเป่ยหมิง
ช่องว่างมิติของฐานที่มั่นสินค้าหลายแห่งต่างได้ถูกเปิดออกมาเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ด้วยวิธีนี้ลั่วอู๋จึงมั่นใจได้ว่าทันทีที่ยาปีกสีครามแห่งความมืดได้รับการกลั่นมันจะถูกส่งผ่านช่องว่างมิติมายังลั่วอู๋ได้โดยไม่มีปัญหา
หลังจากสั่งสิ่งนี้แล้วลั่วอู๋ก็ถามอีกครั้ง “ไม่มีอะไรผิดปกติกับหลินเจิ้งใช่ไหม?”
“ไม่มีขอรับ” เสี่ยวชา กล่าวด้วยเสียงต่ำ” ไม่มีใครคิดจะตามหาตัว หลินเจิ้ง องค์จักรพรรดิเองก็ไม่ได้ต้องการจะฆ่าเขาขอรับ”
ลั่วอู๋รู้สึกโล่งใจ
หลินเจิ้ง ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับสำนักโล่พิทักษ์
ที่น่ากลัวที่สุดมีเพียงแค่ตอนที่องค์จักรพรรดิจะมาชำระบัญชีร้านค้า หลังฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วหลินเจิ้งตอนนี้นั้นเป็นเพียงแค่คนธรรมดา มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะมาเข้าจับกุมและสังหารหลินเจิ้ง เพื่อทำให้ผู้มีอำนาจในกลุ่มกบฏหวาดกลัว
สำหรับเรื่องนี้แล้วดูเหมือนว่าองค์จักรพรรดิจะมีน้ำใจมากเป็นพิเศษ
จากนั้นลั่วอู๋ก็เข้าไปที่บ้านพักของหลินเจิ้ง
เสี่ยวกงนั้นได้ติดตามหลินเจิ้งไปเพื่อเรียนวิชาดาบ ในเมื่อลั่วอู๋กลับมาแล้ว เขาจึงต้องแวะเข้าไปดูสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้น ลั่วอู๋ ในนั้นได้ไปถึงมิติวิญญาณระดับทองขั้นสูงแล้ว เขาจึงสามารถทำพันธสัญญากับ เสี่ยวกง ได้
ณ บ้านพักของหลินเจิ้ง
มันเป็นป่าไผ่เขียวชอุ่มและมีเนินเขาอยู่ด้านหลังป่าไผ่ โดยมีกระท่อมไม้อยู่ในป่า แม้ว่ามันจะดูเรียบง่ายและดิบ แต่ก็สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย และมีบริการส่งอาหารเข้ามาทุกวัน
พื้นที่ส่วนนี้นั้นได้รับการพัฒนาดูแลโดยสำนักโล่พิทักษ์ เนื่องจาก หลินเจิ้ง ชอบสถานที่แบบนี้ที่ทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ในขณะที่ เสี่ยวกง เองก็ชอบเล่นในป่าไผ่ เหมือนกับโรงปรับแต่งลับของตระกูลลั่ว ที่เหล่าลิงเผือกจะอาศัยอยู่ในป่าไผ่
พวกเขาสองคนจึงชื่นชอบสถานที่นี้มาก
ทันทีที่ลั่วอู๋ก้าวเข้ามาในป่าไผ่ ลำแสงสีทองสองเส้นก็พุ่งตรงมาจากในป่าอันห่างไกล
ลั่วอู๋คุ้นเคยกับลำแสงสีทองนี้ดี
นัยน์ตาปีศาจ!
ลำแสงนี้ถูกยิงมาจาก เสี่ยวกง
ทว่าสิ่งต่อไปที่เกิดขึ้นทำให้เขาโกรธเล็กน้อย
เพราะดาบสีเทาได้พุ่งตรงเข้ามาที่คิ้วของลั่วอู๋อย่างรุนแรง
“คิดจะทำอะไรกันน่ะ! คิดจะทรยศข้างั้นเหรอ” ลั่วอู๋ร้องออกมาด้วยความเดือดดาล