ไหปีศาจ - บทที่ 606 ใครจะไปสู้ได้กัน
บทที่ 606 ใครจะไปสู้ได้กัน
บทที่ 606
ใครจะไปสู้ได้กัน
ลั่วอู๋นั้นประทับใจในความสามารถของเฉียนเหอมาก
ก่อนหน้านี้เขาพยายามไล่ตามอีกฝ่ายอยู่หลายครั้งในภูเขาแห้งแล้ง แต่เขาก็ตามไม่ทันเลยสักครั้ง เฉียนเหอนั้นรู้ตัวและหลบหนีการลอบโจมตีของลั่วอู๋ได้หลายครั้งติดต่อกัน
มันทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ข้าม ๆ เฉียนเหอไปก่อน
เขาคิดจะเก็บอีกฝ่ายไว้จัดการในภายหลัง หลังจากนั้นเรื่องต่าง ๆ ก็ได้ดำเนินไปเรื่อย ๆ แม้เขามีความคิดที่จะชิงคะแนนมาจากผู้คนของสำนักหม่าเฉินทุกคนจนครบ 100% แต่ลั่วอู๋ไม่ได้คิดไว้ก่อนเลยว่า คนที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักหม่าเฉินจะเป็น หยู่เฮา
เมื่อหยู่เฮามาถึงและได้อธิบายความตั้งใจของเขาออกมา ลั่วอู๋ก็รู้สึกอับอายมากที่ตัวเองตั้งเป้าไปที่สำนักหม่าเฉิน ดังนั้นเรื่องทั้งหมดจึงจบลง
ไม่คาดคิดเลยว่าพวกเขาจะได้มาเจอกันที่นี่อีกครั้ง
ลั่วอู๋ทักทายอย่างอบอุ่น
ทว่าเฉียนเหอกลับกลัวจนวิ่งหนีไป แต่แล้วเขาก็คิดได้ว่านี่ไม่ใช่ที่สำนักเฉียนหลงและการต่อสู้เพื่อชิงอันดับรายชื่อเองก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว เขาจะต้องกลัวอะไรอีก
เฉียนเหอจึงได้สติกลับมา “เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง ? แล้วมาที่นี่ทำไม?”
เสือดำที่เขานั่งอยู่คำรามราวกับว่าพร้อมจะโจมตีผู้บุกรุกที่มันไม่รู้จัก
ยังไงซะ เฉียนเหอ ก็เป็นหนึ่งในอัจฉริยะของสำนัก หม่าเฉิน เขามีความสามารถพอที่จะอยู่ใน 50 อันดับแรกของสำนักเลยทีเดียว ลมปราณของเขาอยู่ในระดับทอง 9 และอีกเพียงครึ่งก้าวก็จะไปถึงจุดสูงสุดของมิติวิญญาณระดับทอง
ขณะนี้เสือดำจึงปล่อยแรงกดดันอันรุนแรงออกมา
แต่ไม่มีพรรคพวกของลั่วอู๋คนไหน สนใจเกี่ยวกับแรงกดดันนั้นเลย
“ข้ามาที่นี่เพื่อขอยืมช่องว่างมิติของสำนักหม่าเฉิน เพื่อที่จะไปยังภูเขาแห้งแล้ง และตามหาตัวท่านหม่าเฉิน รองเจ้าสำนักหลี่หวู่หยวนได้ตกลงในเรื่องนี้เอาไว้แล้ว” ลั่วอู๋ กล่าว
“จริงเหรอ?” “ ข้าไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย” เฉียนเหอขมวดคิ้ว
เหวินเสี่ยวรู้สึกไม่พอใจ “เจ้าเป็นสมาชิกอาวุโสของสำนักหม่าเฉินรึไง ? ไม่มีใครมาเสียเวลาบอกเจ้าหรอกว่า เจ้าสำนักของเจ้ามีธุระอะไร เจ้ามันก็แค่ลิ่วล้อปลายแถว”
“เจ้า” เฉียนเหอได้ยินเขาก็โกรธมาก” ที่นี่คือสำนักหม่าเฉิน ไม่ใช่สำนักเฉียนหลง เจ้าเกรงใจไม่เป็นรึไง”
“เจ้าสมควรปล่อยพวกข้าไปนะ เจ้าคิดว่าพวกเราต้องขออนุญาตเจ้ารึไง ข้าแค่บอกกับเจ้าว่าจงทำตัวเป็นสุนัขเฝ้าประตูที่ดี แล้วรีบ ๆ ออกไปให้พ้นทางซะ” เหวินเสี่ยวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทุกคนต่างหมดหนทาง
ดูเหมือนว่าเหวินเสี่ยวจะเริ่มก่อเรื่องอีกแล้ว
“เจ้าล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว!” เฉียนเหอคำราม
หลังจากนั้นเสือดำก็คำรามขึ้นไปบนฟ้า ปล่อยพลังวิญญาณแห่งการชำระล้างอันทรงพลังพวยพุ่งออกไป ปีกสีดำที่ดุร้ายคู่หนึ่งงอกออกมาจากร่างของมัน
พลังแห่งการชำระล้างได้หลอมรวมลงไปในร่างของ เฉียนเหอ เปลี่ยนดวงตาของเขาให้กลายเป็นสีดำสนิทราวกับว่าเขาสูญเสียความรู้สึกไป
คนของสำนักหม่าเฉินล้วนมีวิชาพิเศษเป็นของตัวเอง
เขาไม่ได้ใช้ การผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ แต่ลมปราณของเขาและสัตว์วิญญาณ กลับเริ่มทะยานขึ้นและไปถึงจุดสูงสุดของมิติวิญญาณระดับทอง
“อืม ก็แค่ทักษะเล็ก ๆ ทั่วไปสินะ ” เหวินเสี่ยวยื่นมือขวาออกไป พร้อมปล่อยพลังวิญญาณแห่งความมืด อันหนาทึบก็ไหลออกมาอย่างช้าๆ ด้านหลังเขามีร่างที่มืดมนและเลือนรางเหี่ยวแห้ง ดูเยือกเย็นซึ่งทำให้ผู้คนไม่สบายใจ
ในขณะนั้นเองลมหายใจของ เฉียนเหอ ก็ถูกระงับไปครู่หนึ่ง
เขาตกใจมาก
เขารู้สึกได้ว่าชายคนนี้แข็งแกร่งมาก
เนื่องจากอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมากของเหวินเสี่ยว เฉียนเหอจึงจำเขาไม่ได้เลย
ลั่วอู๋ส่ายหัว “อย่าเอะอะไปน่า เรามาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ ถ้าเจ้าฆ่าเขา ใครจะให้ความช่วยเหลือพวกเราเล่า ดูยังไงเจ้าก็ยั่วยุเขาโดยเจตนาชัด ๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เฉียนเหอก็โกรธมาก จะฆ่าเขาเพื่ออะไร? อีกฝ่ายคิดว่าเขาอ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนงั้นเหรอ ! อย่ามาดูถูกกันน่า
แต่วินาทีต่อมาเขาเปลี่ยนใจ
ลั่วอู๋ยื่นมือออกไป พลังวิญญาณในมือของเขาดูเหมือนกำลังจะสร้างหลุมดำขึ้นมา มันมีพลังการดูดกลืนอันรุนแรงก่อตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ มือข้างหนึ่งของลั่วอู๋กดไปที่ไหล่ของ เหวินเสี่ยว ส่วนอีกข้างเล็งไปที่เฉียนเหอ
เฉียนเหอรู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณของเขาถูกลดลงไปครึ่งหนึ่ง ทำให้เขาอาจต้องสูญเสียข้อได้เปรียบในการต่อสู้ไป
อีกด้านหนึ่งเหวินเสี่ยวก็ยอมถอนมือออกอย่างโกรธเกรี้ยว
เพราะพลังวิญญาณแห่งความมืดมิดที่เขาปล่อยออกมาถูกหลุมดำนั้นกลืนหายไปจนหมด
นี่คือพลังของแก่นแท้ทักษะแห่งการกลืนกินขั้นต้น มันทำให้ลั่วอู๋สามารถใช้ทักษะกลืนกินออกมาได้ในรูปแบบที่แตกต่างออกจากเดิม แต่ยังคงไว้ซึ่งพลังดั้งเดิมของมัน
นี่ไม่ใช่การปราบปรามด้วยแก่นแท้เท่านั้น แต่ยังเป็นการปราบปรามด้วยระดับมิติวิญญาณที่แตกต่างกัน
“หยุด กันทั้งคู่นั่นแหละ ไม่ว่าใครจะเป็นคนเริ่มใครเป็นฝ่ายผิดก็หยุดซะ” ลั่วอู๋มองไปที่พวกเขา
ทั้งสองคนต่างเงียบลง
“ดี” ลั่วอู๋พยักหน้าด้วยความพึงพอใจแล้วมองไปที่ เฉียนเหอ “พวกเรากำลังจะไปแล้ว ถ้าเจ้ายังยืนยันว่าต้องการจะสู้ขัดขวาง ก็แล้วแต่”
หลังจากนั้น ลั่วอู๋ และคนอื่น ๆ ก็เดินผ่าน เฉียนเหอมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาวิญญาณที่ใหญ่ที่สุด
เฉียนเหออึ้งไปครู่ใหญ่ ๆ เขารู้สึกกลัว เพราะเขารู้สึกได้ว่าลั่วอู๋นั้นสามารถฆ่าเขาให้ตายได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกัดฟัน
“รอก่อน!” เฉียนเหอตะโกน
ลั่วอู๋หันศีรษะของเขากลับไป “มีอะไรงั้นเหรอ?”
“ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง” เฉียนเหอลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “อันที่จริง แล้วเจ้าค่อนข้างเป็นที่เกลียดชังของพวกเราในสำนักหม่าเฉิน”
“งั้นเหรอ ทำไมล่ะ” ลั่วอู๋แปลกใจ
ผู้คนต่างมองไปที่เขาอย่างพูดไม่ออก
เจ้าคิดว่าเพราะอะไรล่ะ?
แต่แล้วลั่วอู๋ก็นึกได้เช่นกัน
ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ในตอนที่ผู้คนจากสำนักหม่าเฉิน อยากจะชิงอันดับรายชื่อเฉียนหลง แต่ลั่วอู๋ก็โผล่มาปิดกั้นพวกเขามาโดยตลอด อีกทั้งยังได้ครองอันดับหนึ่งของรายชื่อ เฉียนหลง
ไม่ใช่ ทุกคนที่รู้เรื่องราวภายใน บางคนที่ไม่ได้ไปยังสำนักเฉียนหลง อาจจะรู้ข่าวเพียงด้านเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับลั่วอู๋โดยธรรมชาติ
“ช่วยไม่ได้ล่ะนะ” ลั่วอู๋ทำอะไรไม่ถูก “มันคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ หากไม่มีคนช่วยติดต่อให้ก่อน”
เมื่อตกลงกันได้แล้วพวกเขาก็เดินทางไปกันต่อ
ภายใต้การนำทางของเฉียนเหอ ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงวิหาร
แน่นอนว่าสภาพแวดล้อมนั้นแตกต่างกันมาก ความหนาแน่นของพลังวิญญาณที่นี่มีมากกว่า และถูกล้อมด้วยรั้วพลังวิญญาณ ดังนั้นสัตว์วิญญาณภายนอกจึงไม่สามารถเข้ามาใกล้ที่นี่ได้
“ เฉียนเหอ ทำไมวันนี้เจ้ากลับมาเร็วขนาดนี้กัน เจ้าไม่ได้มือตกใช่ไหมเนี่ย ?” เด็กผมสั้นคนหนึ่งเดินเข้ามา
“มีแขกมาน่ะ” เฉียนเหอกล่าว
เห็นได้ชัดว่าเด็กชายผมสั้นไม่ใช่นักเรียนที่ได้เดินทางไปยังสำนักเฉียนหลง เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ทันทีที่เขาเห็น ลั่วอู๋ และพรรคพวก เขาก็มีท่าทีตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
“พวกเขาเป็นใครกัน?” “ทำไมข้าไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อนเลย” เด็กชายผมสั้นกล่าว
“ พวกเขามาจากสำนักเฉียนหลง ส่วนคนที่เดินนำคือลั่วอู๋” เฉียนเหอกล่าว
ลั่วอู๋
เด็กชายรู้สึกว่าชื่อนี้ดูคุ้นเคย และแล้วทันใดนั้นเขาก็จำอะไรบางอย่างได้
“เขาคือลั่วอู๋งั้นเหรอ?” เด็กชายถาม
เฉียนเหอพยักหน้า “ใช่แล้ว เขาคือลั่วอู๋!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เด็กชายผมสั้นก็หันหลังวิ่งกลับไป เขาตะโกนออกมาว่า “มาเถอะ! เจ้าหนุ่มตัวแสบที่ขโมยตำแหน่งสูงสุดในอันดับรายชื่อเฉียนหลงได้มาที่สำนักหม่าเฉินของพวกเราแล้ว”
เพียงชั่วพริบตาทั่วทั้งสำนักหม่าเฉินก็หวั่นไหว
ท้องฟ้าสั่นสะเทือนราวกับอุกกาบาตหลายร้อยก้อนตกลงมาจากท้องฟ้า
ไม่ใช่แค่เพียงนักเรียนของสำนักหม่าเฉินเท่านั้น แต่ทั้งอาจารย์พิเศษจำนวนมากก็รีบเดินออกมา
สัดส่วนของผู้คนภายในสำนักหม่าเฉิน และสำนัก เฉียนหลงนั้นไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ ในสำนักนั้นมีนักเรียนเป็นจำนวนน้อย แต่มีอาจารย์พิเศษอยู่เป็นจำนวนมาก
คนป่าเถื่อนระดับอาวุโสจำนวนมากเดินออกมาพร้อมลมปราณอันรุนแรง
สถานการณ์เช่นนี้เป็นอะไรที่ แม้แต่ผู้อาวุโสของสำนักหม่าเฉินบางคนก็ไม่เคยได้เห็นมาก่อน
“ขอข้าดูสิว่า เจ้าลั่วอู๋ที่เอาชนะผู้มีพรสวรรค์ทั้งหมดของสำนักหม่าเฉิน หน้าตาเป็นยังไงกันแน่”
“เขาได้ที่หนึ่งในอันดับรายชื่อด้วยซ้ำ พรรคพวกของเขาก็ไม่ได้เก่งเท่าเขาหรอก ข้าไม่เชื่อ”
“ผู้มีพรสวรรค์ในสำนักหม่าเฉินของเราตายไป สอง สามคน ที่สำนักเฉียนหลง ข้าได้ยินมาว่าลั่วอู๋มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้าจะจับเขามาถามให้หายข้องใจ ไม่อย่างนั้นข้าคงจะอดทนอดกลั้นไม่ได้แน่”
คนป่าเถื่อนอาวุโสกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งออกมาจากห้องด้วยความโกรธ
ลั่วอู๋รุ้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่
คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงทั้งหมด
ใครจะไปสู้พวกเขาได้กัน