ไหปีศาจ - บทที่ 610 พบเจอหยู่เฮาอีกครั้ง
บทที่ 610 พบเจอหยู่เฮาอีกครั้ง
บทที่ 610
พบเจอหยู่เฮาอีกครั้ง
เผ่าเทียนหวู่คือเผ่าผู้นำของอาณาจักรภูเขาแห้งแล้ง พวกเขาเป็นเผ่าที่มีอำนาจและได้รับการยอมรับมากที่สุด จึงมีอำนาจเหนือทุกเผ่า
คำว่า “ชนเผ่า” ทำให้ผู้คนรู้สึกว่า พวกเขาน่าจะอาศัยอยู่ในเขตที่มีรั้วไม้ล้อมรอบ ใช้อาวุธเป็นหอก และโล่เหล็ก อาศัยอยู่ในป่าและทุ่งหญ้า ตั้งกระโจมกินข้าวรอบกองไฟ
แต่มันไม่ใช่แบบนั้น
อารยธรรมของชนเผ่าในอาณาจักรภูเขาแห้งแล้ง นั้นได้ก้าวไปสู่ระดับที่สูงมาก มันไม่ด้อยไปกว่าราชวงศ์มังกรเร้นกายเลย
ถิ่นของ “ชนเผ่า” ที่ตั้งอยู่ข้างหน้าพวกเขาคือเมืองอันใหญ่โต ยิ่งใหญ่อลังการยิ่งกว่าพระราชวังของจักรวรรดิ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศอันดุร้ายของชนเผ่า กำแพงเมืองถูกแกะสลักด้วยอักขระรูปขวานนภา แสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นและสง่างาม ใจกลางเมืองมีเสาธงที่แข็งแกร่งพอ ๆ กับหอคอย โดยมีธงอันงดงามสลักรูปขวานนภาโบกสะบัดไปบนท้องฟ้า
นักรบของเผ่า คอยลาดตระเวนไปมาพร้อมกับลมปราณอันแข็งแกร่งราวกับทหารเหล็ก
ในเมืองมีหอคอยและทหารรักษาการณ์นับไม่ถ้วน ทหารที่แข็งแกร่งเหล่านี้คอยตรวจสอบการเคลื่อนไหวทั้งภายในและภายนอกเมือง แต่ละคนตัว อินทรีตรวจเมฆาเพื่อค้นหาบุคคล รับข้อมูลข่าวกรองและส่งข้อมูลอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีบทบาทในการสื่อสารเป็นหลัก
เมืองนี้เผยให้เห็นบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ของภูเขาที่แห้งแล้ง
หมีที่ดูดุร้ายกลายเป็นสัตว์วิญญาณที่ทำหน้าที่ขนสินค้า ทุกถนนมีปีศาจไม้ร่างสูงจำนวนมากโบกมือไปมา ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์เมือง สิงโต หมาป่า เสือและเสือดาวกลายเป็นสัตว์วิญญาณพาหนะของผู้คน ที่เกินความจริงที่สุดคือมีบางคนกำลังขี่ช้างหิมะซึ่งปกคลุมไปด้วยขนสีเงิน และคำรามไปตามถนน
คนที่นี่ล้วนมีกลิ่นของป่าทึบ
สถานที่ต่าง ๆ ได้รับการตกแต่งด้วยฟันและขนของสัตว์วิญญาณ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเจ้าของในฐานะนักสู้ พวกเขาเหล่านี้มักจะได้รับความเคารพและชื่นชมจากผู้อื่น
“สมกับเป็นชนเผ่าของภูเขาแห้งแล้ง” ลั่วอู๋แสดงท่าทีเข้าใจ
หยู่เสี่ยวฉางได้พาพวกเขาเข้าไปเมืองของภูเขาแห้งแล้งโดยไม่มีปัญหาใด ๆ แต่อารมณ์ของพวกเขาไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ทำเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามไม่มีใครให้ความสนใจกับพวกเขาจริง ๆ จัง ๆ ผู้คนในภูเขาแห้งแล้งทุกคนไม่ได้หยาบคายกันทั้งหมด หลาย ๆ คนที่นี่มักจะสุภาพและอ่อนโยน
“ไม่ใช่ทุกที่ที่เป็นแบบนี้หรอกนะ” “ ยังมีชนเผ่าเล็ก ๆ อีกจำนวนมากที่ยังต้องอาศัยอยู่อย่างยากจน และต้องทนทุกข์ทรมานจากสัตว์ป่า” หยู่เสี่ยวฉาง กล่าว
ลั่วอู๋พยักหน้า
เรื่องแบบนี้มีอยู่ทุกที่
ไม่ว่าประเทศจะเจริญแค่ไหนก็ยังมีคนที่ยากจนอยู่
ไม่นานพวกเขาก็เข้ามาถึงใจกลางเมือง อาคารที่นี่ส่วนมากยังคงทำจากไม้และผ้าหนังเป็นหลักด้วยรูปแบบและบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์
แน่นอนส่วนกลางคือเผ่าเทียนหวู่ ส่วนที่อื่น ๆ นั้นเป็นเพียงกองกำลังย่อย
“ข้ากลับมาแล้ว” หยู่เสี่ยวฉาง ร้องออกมา
ในไม่ช้าผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลออกมาทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ พวกเขาต่างดูประหลาดใจกันมาก
“โอ้ หยู่เสี่ยวฉาง กลับมาแล้ว”
“ ข้าไม่ได้เจอเจ้ามาหลายวันแล้ว เจ้าดูสง่างามมาก ๆ ขอข้าหน้าเจ้าดูใกล้หน่อย”
“พี่สาว หยู่เสี่ยวฉาง ท่านกลับมาแล้ว” เด็กกลุ่มหนึ่งเขามาล้อมรอบหยู่เสี่ยวฉางพร้อมเคารพบูชา
เห็นได้ชัดว่า หยู่เสี่ยวฉาง เป็นที่นิยมมากในเผ่าเทียนหวู่
หยู่เสี่ยวฉาง แสดงรอยยิ้มอย่างรู้ใจ “อืม ข้ากลับมาแล้วพี่ชายของข้าอยู่ที่ไหน”
“ พี่ชายของเจ้ากำลังฝึกอยู่กับ ท่านหม่าเฉิน ใน สำนักฮั๋วหวู่” มีคนตอบกลับ
ท่านหม่าเฉิน นั้นเป็นสมาชิกของเผ่าเทียนหวู่ ดังนั้นเมื่อคนในเผ่าเทียนหวู่พูดถึงท่านหม่าเฉิน พวกเขาไม่ได้มีเพียงแค่เคารพ แต่ยังมีความใกล้ชิดอีกด้วย
สำหรับผู้คนในเผ่า เทียนหวู่แม้ว่าท่านหม่าเฉินจะมีอำนาจสูงสุด แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนลึกลับอะไร เขาเป็นเหมือนผู้อาวุโสที่น่ากลัวและมีความอาวุโสสูงสุดเท่านั้น
“แล้วคนพวกนี้เป็นใคร” ชายร่างกำยำชี้ไปที่พรรคพวกลั่วอู๋ด้วยท่าทางสงสัย น้ำเสียงของเขาดูไม่ดีเท่าไหร่
เนื่องจากเดิมทีแล้วพวกเขาไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปเข้ามายังพื้นที่ส่วนกลาง
“ลุงลู่ชิ อย่ากังวลเกินไปพวกเขาเป็นเพื่อนของข้า พวกเขาเคยช่วยพี่ชายของข้าเอาไว้”
ทันทีที่พูดจบ ผู้คนต่างก็มองมาที่ลั่วอู๋ สายตาของพวกเขาดูเป็นมิตรมากขึ้น
“เคยช่วยหยู่เฮาไว้งั้นเหรอ รับเขาเป็นแขกเลย เชิญเขามาเร็ว” ป้า ๆ หลายคนเข้ามาต้อนรับพรรคพวกลั่วอู๋ ด้วยความอบอุ่น
ในฐานะที่เป็นเผ่าที่มีอำนาจมากที่สุด คนในเผ่าเทียนหวู่นั้นสามัคคีกันมาก
ถ้าใครปฏิบัติกับพวกเขาเป็นอย่างดี พวกเขาก็จะปฏิบัติต่อเขาคนนั้นเป็นอย่างดีเช่นกัน
กลับกันแล้วถ้าใครมาแตะต้องคนของพวกเขา พวกเขาก็จะฆ่าครอบครัวของอีกฝ่าย
นี่เป็นแนวคิดที่ฝังรากลึกในลงในแก่นวิญญาณของพวกเขา
ลั่วอู๋อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างครัวเรือนที่นี่นั้นดีจริงๆ มันง่ายมากสำหรับพวกเขาที่จะเข้าไปในพื้นที่ใจกลางของเผ่าเทียนหวู่ที่คนนอกทั่วไปไม่สามารถเข้ามาได้
หลังจากได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ในที่สุดหยู่เฮาก็มาถึง
“ฮ่าฮ่าฮ่าพี่ชาย ลั่วอู๋” หยู่เฮามาพร้อมกับเสียงหัวเราะ
เขาตัวใหญ่กว่าคนอื่น ๆ ครึ่งหัว กล้ามเนื้อของเขาโป่งและเต็มไปด้วยพลังวิญญาณอันน่าตกใจ ขวานเหล็กแห่งความวุ่นวายขนาดใหญ่ของเขาถูกขึ้นมาบนไหล่ราวกับขวานที่หนักอึ้งนั้นเบาหวิว
ลั่วอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม “ขอโทษที่ข้าเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ”
“เฮ้เฮ้ อย่าพูดแบบนั้น พวกเราผู้คนอาณาจักรภูเขาแห้งแล้งยินดีต้อนรับเวลาสหายมาเยี่ยมเสมอ” หยู่เฮายิ้ม
ฉูจงฉวนพึมพำเสียงเบา “เจ้าคนบ้าเถื่อนที่ใกล้ตายในตอนนั้น เติบโตสูงขึ้นขนาดนี้ได้อย่างไร มันกินยาอะไรไปบ้างเนี่ย”
หยู่เฮา มองไปที่ฉูจงฉวน “เจ้าเด็กโรคจิต เจ้าเองก็มาด้วยรึ ?”
“อย่าพูดเรื่องไร้สาระน่า เจ้ามันหยาบคาย ตายซะเถอะไอ้คนเถื่อน!” ดวงตาของ ฉูจงฉวนจ้องมองไปที่หยู่เฮาพลางพูดอย่างโกรธ ๆ
หลินยูหลัน อยู่ด้านหนึ่งมองไปที่ ฉูจงฉวนพร้อมกับสีหน้าเย้ยหยันบนใบหน้าของนาง “อธิบายให้ข้าฟังสิ ว่าทำไมเขาถึงเรียกเจ้าว่าเด็กโรคจิต?”
“มันเป็นเรื่องไร้สาระน่า” ฉูจงฉวนยิ้มอย่างเชื่องช้า
หยู่เฮา ตะโกน “ข้าพูดเรื่องไร้สาระที่ไหนเล่า ลั่วอู๋และ หลี่หยินสามารถเป็นพยานได้ สิ่งที่เจ้าพูดในส่วนลึกของป่า หวงชา เจ้าลืมไปแล้วรึยังไง?”
ฉูจงฉวนต้องการบีบคอหยู่เฮา
เจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกของการมีคนรักมาอยู่ข้าง ๆ รึไง ไอ้เจ้าคนเถื่อนใกล้ตาย คนแบบเจ้ามันไม่สมควรมีคู่ครองจริง ๆ
แต่แล้วฉูจงฉวนก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีคู่หมั้นอยู่หลายคน
ในใจของฉูจงฉวนมีเพียงความชื่นชมอย่างล้นหลามโดยไม่มีการดูถูกเหยียดหยาม มันเป็นการแต่งงานระหว่างชนเผ่า ความรู้สึกที่ปราศจากการแลกเปลี่ยนทางจิตวิญญาณนั้นช่างไร้ความหมาย
“ ข้าจะสู้กับเจ้าตรงนี้แหละ!” ฉูจงฉวนตะโกน
หยู่เฮา ตาเบิกกว้างในทันที “มาสิ ข้ารุ้สึกได้แล้วว่า เจ้าได้รับการยกระดับมิติวิญญาณเป็นระดับทองขั้นสูงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้ากำลังกังวลอยู่พอดีว่าจะไม่มีคู่ต่อสู้ดี ๆ และเจ้าก็ผ่านได้อย่างฉิวเฉียดเลย”
พลังวิญญาณของหยู่เฮาที่อยู่ในระดับมิติวิญญาณระดับทองขั้นสูงถูกแผ่ออกมาอย่างช้าๆ
ตั้งแต่ได้รับการช่วยเหลือออกจากอาการบ้าคลั่ง เขาก็ได้รับผลประโยชน์มากมหาศาลเกินจะบรรยายได้ ทำให้ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มสูงขึ้นและเขาได้รับการเลื่อนขั้นมิติวิญญาณเป็นระดับทองขั้นสูง
ไม่รู้ทำไมเวลาฉูจงฉวนเจอกับหยู่เฮา พวกเขาถึงต้องทะเลาะกันตลอด
แต่ลั่วอู๋ก็ชินกับมันแล้ว
“อย่าทะเลาะน่า อย่าทะเลาะกัน พวกเรามีบางอย่างที่สำคัญต้องทำนะ” ลั่วอู๋ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้ามาหยุดการต่อสู้
ฉูจงฉวนกล่าวด้วยคำพูดที่ชอบธรรม “ไม่ ถ้าไม่มีใครสอนบทเรียนให้เขา ข้าทนได้อย่างไรกัน ข้ากำลังถูกตีตราอย่างผิด ๆ?”
“ บ๊ะ” หลินยูหลันเข้ามาดุเบา ๆ “ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ามีปัญหาอะไรกันมาก่อน แต่อย่ามาสร้างปัญหากันตอนนี้ พวกเรามีธุระต้องไปทำนะ”
“ เข้าใจแล้ว” ฉูจงฉวนเปลี่ยนเป็นหน้ายิ้มภายในไม่กี่วินาที
หยู่เฮา เองก็หยุดเช่นกัน
สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ต้องไว้หน้าลั่วอู๋
หยู่เสี่ยวฉางได้บอกหยู่เฮาเอาไว้ก่อนแล้วว่าการมาที่นี่ เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับลั่วอู๋