ไหปีศาจ - บทที่ 614 บทนำสู่แก่นแท้ทักษะแห่งมนตรา
บทที่ 614 บทนำสู่แก่นแท้ทักษะแห่งมนตรา
บทที่ 614
บทนำสู่แก่นแท้ทักษะแห่งมนตรา
ลั่วอู๋นั้นให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ของยุคมืดอันวุ่นวายเมื่อ 8000 ปีก่อนมาโดยตลอด
เขาจึงไม่เคยคิดริเริ่มที่จะศึกษาหาข้อมูลของสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ บนแผ่นดินใหญ่หรือไม่
จนกระทั่งตอนนี้เขาถึงได้รู้ มีเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อน
มันเป็นเรื่องราวที่ ลั่วอู๋ ไม่เคยได้เห็นในหนังสือโบราณ ใด ๆ มาก่อน แต่คิด ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่ที่เขาจะไม่เคยเห็นมัน
นั่นก็เพราะเขาไม่สามารถเข้าไปยังชั้นห้าของคฤหาสน์ สุตราในสำนักเฉียนหลงได้ มันจึงยังมีหนังสือโบราณอยู่อีกหลายเล่มที่เขายังไม่ได้อ่าน
แม้ว่าลั่วอู๋จะย้ายหอสมุดหยุนเฉียนของพระราชวัง เป่ยหมิงเข้ามาในมิติไหแล้ว แต่คนในพระราชวังเป่ยหมิง ก็ไม่ได้รู้ประวัติศาสตร์ในทวีปหลักเท่าไหร่ จึงไม่มีการบันทึกประวัติศาสตร์เหล่านั้นเป็นลายลักษณ์อักษรให้เห็นเลย
“ ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมท่านเจ้าสำนักถึงต้องทิ้งร่างแยกไว้ที่นรกมนตรา” ลั่วอู๋พึมพำกับตัวเอง
หากไม่มีปัญหาเกิดขึ้นที่ผนึกของนรกมนตรามาก่อนแล้วละก็ ประธานสำนักคงไม่แบ่งร่างเป็นพิเศษของตนเองเปลี่ยนเป็นเสาวิญญาณ เพื่อป้องกันนรกมนตราเอาไว้แบบนี้แน่ ๆ
ท่านหม่าเฉินกล่าว“ นรกมนตราไม่เคยสงบสุขเลยสักครั้ง แม้ว่าบรรพบุรุษของพวกเราจะผนึกประตูแห่งนรกอันชั่วร้ายนั้นไว้ด้วยพลังแห่งสวรรค์ แต่เหล่าตัวตนสัตว์วิญญาณในนรกมนตราก็ไม่เคยปล่อยให้โอกาสที่จะหลบหนีพ้นเงื้อมมือของพวกมันไป สมดุลนี้คานกันมานานนับพันปี ที่ผ่านมาผนึกของนรกมนตราจึงสั่นสะเทือนอยู่เสมอ ”
ตราผนึกสั่นสะเทือนและปีศาจบางตัวก็ฉวยโอกาสหลบหนีออกมา สร้างความตกตะลึงให้กับแผ่นดินใหญ่
ลั่วอู๋เข้าใจถึงเรื่องนี้ได้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้ตอนเข้ารับการทดสอบเข้าสู่สำนัก เขาได้เห็นกองกำลังของแต่ล่ะตระกูลในเมืองหลวงของจักรวรรดิ ต่างส่งลูกหลานของพวกเขาไปยังสำนักเฉียนหลง
ในตอนนั้นทูตเฉียนหลงได้กล่าวไว้ว่าตระกูลเหล่านั้นล้วนมีสิทธิพิเศษ เนื่องจากพวกเขาเคยมีส่วนร่วมอย่างมากในสงครามครั้งหนึ่ง
วินาทีนั้นทุกคนงงงวย
แม้แต่คนที่ถูกพาเข้าไปก็ยังไม่รู้เลยว่าทำไมตระกูลของพวกเขาถึงมีสิทธิพิเศษเช่นนี้
แต่ตอนนี้ลั่วอู๋รู้แล้วว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายเมื่อพันปีก่อน
การสั่นไหวของผนึกนรกมนตรา
ความคิดหนึ่งเข้ามาในใจของลั่วอู๋
นี่มันเกี่ยวข้องกับภูตไหอีกแล้วเหรอ?
การก่อกบฏต่อราชสำนักก่อนหน้านี้เอง ก็เริ่มจากปัญหาเกี่ยวกับการสั่นสะเทือนของผนึก ซึ่งนำไปสู่การที่เหล่าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงจำนวนมากในเมืองหลวงของจักรวรรดิต้องรีบเดินทางออกไป เห็นได้ชัดว่ามีความสัมพันธ์บางอย่างเกิดขึ้นระหว่างคฤหาสน์องค์ชายและภูตไห
หากมีปัญหาเกิดขึ้นกับผนึก ลั่วอู๋มักจะสงสัยว่ามันเกิดจากภูตไห เนื่องจากเขาเป็นคนเดียวที่มีความสามารถและมีแรงจูงใจที่จะทำเช่นนั้นได้
ความแข็งแกร่งของ ภูตไห ไม่ได้อยู่ในอันดับต้น ๆ ก็จริง แต่เขานั้นอยู่มานานแล้ว นานมากจนไม่มีใครรู้ว่าเขามีวิธีการ วิชา และทักษะกี่รูปแบบ
แม้แต่ท่านเจ้าสำนักเองก็ยังไม่รู้ว่า ภูตไห กำลังทำอะไรอยู่ ไม่อย่างนั้นเจ้าสำนักคงไม่มีทางผูกมิตรกับเขาแน่
ลั่วอู๋ก้มศีรษะด้วยความเคารพแล้วถาม “ท่านหม่าเฉิน ข้าอยากจะขอดูบันทึกต่าง ๆ ของเผ่าเทียนหวู่ได้หรือไม่ ข้าหวังอยากจะยืมหนังสือสักเล่ม”
“เจ้าอยากรู้เรื่องราวในอดีตงั้นเหรอ?” ท่านหม่าเฉินถาม
ลั่วอู๋พยักหน้า “ใช่ ข้าสนใจประวัติศาสตร์ที่ข้ายังไม่รู้”
“ข้าเกรงว่าคงจะไม่ได้” ท่านหม่าเฉินส่ายหัว
ลั่วอู๋รู้สึกผิดหวัง
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนของอาณาจักรภูเขาแห้งแล้ง แต่การปฏิเสธของอีกฝ่ายก็ง่ายเกินไป
“อย่าคิดมากไปเลย ไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการให้เจ้ายืมมัน แต่มันเป็นเพราะเผ่าเทียนหวู่มีบันทึกประวัติศาสตร์เพียงแค่ สอง สามร้อยปีก่อน อะไรที่เก่าแก่กว่านั้นพวกเขาไม่มีมัน”
“ทำไมกัน?” ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจ
“ เพราะเมื่อพันปีก่อน เผ่าเทียนหวู่นั้นยังเป็นเพียงแค่เผ่าเล็ก ๆ ไม่ใช่เผ่าผู้นำอย่างปัจจุบัน พวกเขามีชีวิตอย่างยากลำบาก จึงไม่มีเวลามาบันทึกสิ่งเหล่านั้น” ท่านหม่าเฉินกล่าว
ลั่วอู๋ตกตะลึงและกล่าวด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว “ถ้าเป็นแบบนั้น ชนเผ่าผู้นำในอดีต ก็น่าจะมีบันทึกอะไรหลงเหลืออยู่บ้างรึเปล่า ?”
“ข้าไม่แน่ใจเท่าไหร่” ท่านหม่าเฉินส่ายหัว “เผ่าชิฉิหลิงพ่ายแพ้มานานแล้ว และตัวข้าเองก็ไม่ได้สังเกตวิถีชีวิตของพวกเขาเท่าไหร่”
เผ่าเทียนหวู่มีท่านหม่าเฉิน พวกเขาจึงกลายเป็นเผ่าผู้นำได้สำเร็จ
ภูเขาแห้งแล้งนั้นไม่เหมือนกับอาณาจักรราชวงศ์มังกรเร้นกาย
แม้ว่าบัลลังก์ของราชวงศ์มังกรเร้นกายจะเปลี่ยนไป แต่ทั้งประเทศก็ยังคงดำเนินการตามปกติและบันทึกทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ก็จะยังคงถูกเก็บรักษาไว้ดังเดิม
แต่อาณาจักรภูเขาแห้งแล้งนั้นแตกต่างกัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเปลี่ยนแปลงของเผ่าผู้นำมีผลเป็นอย่างมาก
มันเทียบเท่ากับเป็นการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์โดยสิ้นเชิงและ “ราชวงศ์ในอดีต” ย่อมไม่อาจรักษาทรัพย์สินไว้ได้
ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถในการรวบรวมบันทึกข้อมูล ของชนเผ่าผู้นำที่เปลี่ยนกันไปตามช่วงยุคนั้นย่อมต้องด้อยกว่าของจักรวรรดิราชวงศ์มังกรเร้นกายที่เป็นปึกแผ่นอย่างแน่นอน สิ่งที่พวกเขาบันทึกอาจไม่สมบูรณ์ อาจจะสับสน หรือขัดแย้งกันด้วยซ้ำ
ลั่วอู๋ทำอะไรไม่ถูกโดยสิ้นเชิง
นี่มันเป็นเรื่องยากเกินไป
เขาทำได้เพียงล้มเลิกความคิดที่จะดูบันทึกของเหล่าผู้คนในภูเขาแห้งแล้ง
แม้แต่ที่สำนักหม่าเฉินเองก็ยังมีหนังสือน้อยกว่าที่สำนักเฉียนหลง มาก
ท่านหม่าเฉินเป็นเพียงหัวหลักหัวตอเพียงคนเดียว และตัวเขาเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะถามข้อมูลอันเป็นประโยชน์จากคนของที่นี่
หลังจากรออยู่นาน ลั่วอู๋ก็มองไปยังผนังหินของถ้ำอย่างเบื่อหน่าย ลวดลายบนถ้ำนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ ซึ่งทำให้ยากต่อการมองออกว่ามันคืออะไร
เนื่องจากเขาไม่หนทางที่จะสรุปเรื่องราวประวัติศาสตร์ผ่านทางบันทึก เขาจึงคิดว่าเขาควรจะเริ่มหาข้อมูลจากสภาพแวดล้อมโดยเริ่มต้นที่กำแพงหินนี้
มันน่าจะเป็นเรื่องของเหล่าผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณเมื่อหลายพันปีก่อน
ความน่าจะเป็นคือภูตไหได้สร้างมิติเหนือเมฆเอาไว้ เพื่อไม่ให้ไหปีศาจที่ลั่วอู๋มีอยู่เข้าถึงเขาได้
ลั่วอู๋จ้องมองไปที่กำแพงหินพยายามที่จะมองหาอะไรบางอย่างจากมัน แต่รูปแบบลวดลายบนนั้นลึกลับเกินไป จนลั่วอู๋ไม่ได้อะไรกลับมา
เขาไม่สามารถเข้าใจมันได้เลย
มันเหมือนกับลวดลายด้านในหอคอยสีขาว
ไม่ว่าจะมองเท่าไหร่ก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย
ลั่วอู๋คิด “ถ้าข้าเอามันลงไปในไหปีศาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหมนะ”
เขาเหลือบมองไปทางท่านหม่าเฉินอย่างระมัดระวัง และเมื่อพบว่าเขาหลับตาพักผ่อน จนไม่ได้สนใจลั่วอู๋ เขาก็ลงมือ
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถยกมันด้วยคลื่นพลังวิญญาณใด ๆ ได้ แต่โดยธรรมชาติแล้วเขาไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้
ลั่วอู๋พยายามใช้งานไหปีศาจ แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น กำแพงหินนั้นยังคงเงียบและราบเรียบดังเดิม
พอก็ได้
ในขณะที่ลั่วอู๋กำลังตัดสินใจที่จะยอมแพ้ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกแปลกประหลาดในใจ และเขารู้สึกว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับกำแพงหินนี้ไม่มากก็น้อย
พลังวิญญาณค่อย ๆ หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของลั่วอู๋จากความว่างเปล่า
ลั่วอู๋หันศีรษะและมองไปข้างหลัง
แต่ดูเหมือนว่าท่านหม่าเฉินจะยังคงไม่ได้ผิดสังเกตอะไรเลย เขายังคงหลับตาอยู่เช่นเดิม
ลั่วอู๋คลายน้ำเสียง เขาจะให้ท่านหม่าเฉินรู้ว่าเขามีความเชื่อมโยงบางอย่างกับหินกลั่นหัวใจไม่ได้ จากนั้นเขาก็นั่งสมาธิและเริ่มรู้สึกถึงพลังวิญญาณของหิน
ไม่ใช่พลังที่ไหลผ่านเส้นเลือดวงจรพลังวิญญาณ
มันเป็นพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์ของแก่นแท้ทักษะ?
พลังของแก่นแท้ทักษะอย่างนั้นเหรอ? ลั่วอู๋ตกใจมาก
ลั่วอู๋พยายามเปลี่ยนพลังนี้ให้กลายเป็นการรับรู้ของตัวเขาเอง เกี่ยวกับแก่นแท้แห่งการกลืนกิน น่าเสียดายที่เขาล้มเหลว
นี่ทำให้เขาสับสนเล็กน้อย
แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหา
ลั่วอู๋พยายามเปลี่ยนพลังวิญญาณเหล่านั้นอีกครั้ง คราวนี้เพื่อรับรู้แก่นแท้แห่งการทำลายล้าง และการอัญเชิญ แต่เขาก็ยังคงล้มเหลว
“หืม หรือว่า” ลั่วอู๋คิดอยู่นาน จนในที่สุดเขาก็คิดถึงจุดสำคัญได้
พลังของหินกลั่นหัวใจนั้นเอง
เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับแก่นแท้แห่งการกลืนกิน การทำลายล้าง หรือการอัญเชิญ
มันคือมนตรามายางั้นเหรอ?
เมื่อคิดได้ลั่วอู๋จึงเริ่มพยายามทำความเข้าใจกับมนตรา
มันเป็นแก่นแท้ทักษะวิญญาณ ที่เขาไม่เคยพยายามที่จะเข้าใจเพราะพลังวิญญาณที่จำกัด ของเขา
แต่เนื่องจากการมีอยู่ของทักษะ [มิติเวทมนตร์] หากเขาสามารถเข้าใจแก่นแท้ทักษะแห่งมนตราได้ละก็ มันก็จะช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาได้อีก
เวลาถัดมา ความเข้าใจของลั่วอู๋เกี่ยวกับแก่นแท้ทักษะเวทมนตร์ นั้นมากกว่าระดับที่จะกล่าวว่าไม่เข้าใจเลยเพียงเล็กน้อย
แม้ว่าเขาจะเข้าใจเพียงเล็กน้อยมาก ๆ แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนที่รู้สึกปลาบปลื้มใจได้
เพราะเขาได้เขาสู่ขั้นตอนของ การเริ่มต้น แล้ว
หลายคนอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือนหรือหลายปีเพื่อเข้าถึงระดับนี้ นอกจากนี้เขายังไม่เคยเห็นตัวอย่างเกี่ยวกับคนที่ปรับปรุงความเข้าใจของแก่นแท้นี้ได้ปรากฏตัวออกมาเลย มันจึงเป็นไปได้ว่าแก่นแท้แห่งมนตราเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากมาก
แต่ด้วยความช่วยเหลือจากพลังวิญญาณของหิน ลั่วอู๋ก็ได้ไปถึงระดับขั้น การเริ่มต้น ได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าความเข้าใจเกี่ยวกับแก่นทักษะนี้จะต้องศึกษาไปอีกนาน แต่นี่ก็ช่วยให้เขาสามารถยกระดับพลังทำให้ใช้ออกมาได้เร็วขึ้นอย่างน้อย ๆ ก็สิบเท่า
ลั่วอู๋ระงับความปีติยินดีลงแล้วนั่งคุกเข่า ในช่วงเวลาเช่นนี้ เขาควรพยายามปรับปรุงความเข้าใจเกี่ยวกับแก่นแท้ทักษะแห่งมนตรา