ไหปีศาจ - บทที่ 684 การไล่ล่าโดยผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชร
บทที่ 684 การไล่ล่าโดยผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชร
บทที่ 684
การไล่ล่าโดยผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชร
ทั่วทั้งเมืองหลวงของจักรวรรดิต่างตกตะลึง
ตั้งแต่ หลี่ซวนซง ขึ้นครองบัลลังก์หลายคนก็เริ่มไม่พอใจในตัวเขา
อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ต้องยอมรับว่า หลี่ซวนซง นั้นมีความสามารถจริง ๆ ในฐานะจักรพรรดิ หลังจากเหตุการณ์ความไม่สงบ สงบลงเขาได้แสดงเจตจำนงมากมาย ซึ่งเป็นนโยบายที่ดี และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในจักรวรรดิ
ประการที่สองเขาได้รวบรวมผู้มีอำนาจจำนวนมาก เพื่อมาใช้งานทำงานต่าง ๆ ของเขาเอง นอกเหนือจากรายละเอียดในการดำเนินงานของคฤหาสน์องค์ชายแล้ว เขายังเชี่ยวชาญเรื่องการบริหารประเทศอีกด้วย
ผู้ที่ไม่พอใจส่วนใหญ่จึงทำได้เพียงแค่ถูกฆ่าหรือไม่ก็ อยู่เฉยๆเพื่อแสวงหาโอกาสอีกครั้งในการโค่นล้มการปกครองของจักรพรรดิองค์ใหม่
อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าเหยียดหยามองค์จักรพรรดิในที่สาธารณะก็เป็นเช่นนี้
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังพูดคุกคามองค์จักรพรรดิด้วยน้ำเสียงอันเย่อหยิ่ง นี่เป็นอาชญากรรมที่เลวร้ายมาก โดยพื้นฐานะแล้วลั่วอู๋ได้ก่ออาชญากรรมที่มีบทลงโทษถึงเก้าชั่วโคตร
แน่นอนว่าในแง่ของความเป็นจริง ลั่วอู๋นั้นได้แยกตัวออกมาจากตระกูลลั่วมานานแล้ว ตอนนี้เขาอยู่เพียงลำพัง ทำให้การลงโทษเก้าชั่วโคตร ดูจะมีความสำคัญเพียงเล็กน้อยสำหรับเขา
กองกำลังสำคัญต่าง ๆ อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความกล้าหาญของลั่วอู๋
เขากำลังประกาศสงครามกับองค์จักรพรรดิของประเทศ
การเปลี่ยนแปลงในจักรวรรดิราชวงศ์มังกรเร้นกายนั้นเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป แม้แต่กองกำลังที่มีแรงจูงใจแอบแฝงก็ยังไม่มีเวลาดำเนินการ ความไม่สงบในจักรวรรดิบรรเทาลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่ตระกูลกองกำลังหลักต่าง ๆ ก็ยังค่อนข้างกลัวความสามารถของจักรพรรดิองค์ใหม่
แม้ว่ากองกำลังหลักส่วนมากจะชื่นชมคำพูดและการกระทำของ ลั่วอู๋ แต่นี่ก็ทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจในตัวเองเช่นกัน
ตราบใดที่หลี่ซวนซงตายภัยคุกคามก็จะหายไป
พวกเขาหลายคนต่างรับรู้ถึงความสามารถของ ลั่วอู๋ ก่อนหน้านี้ที่ลานจัตุรัสซวนหวู่ เขาได้ใช้ทักษะหลายอย่าง ซึ่งเกือบจะทำให้กระแสน้ำวนกลับมา จนทำให้ผู้คนทั้งเมืองหลวงของจักรวรรดิต้องตกใจ
คำขู่ของ ลั่วอู๋ มีน้ำหนักอยู่บ้าง
หากต้องการจะทลายสวรรค์ ก่อนอื่นต้องทำให้มันบ้าคลั่ง
ถ้าลั่วอู๋เริ่มจริงจัง และใช้วิชาต่าง ๆ ของเขา เกรงว่าเขาคงจะสร้างความปั่นป่วนให้กับราชวงศ์มังกรเร้นกายได้จริง ๆ
เมื่อเหล่าผู้แข็งแกร่งจากกองทหารหน่วยพิทักษ์ในเมืองหลวงมาถึงลั่วอู๋ก็หนีไปแล้ว
ผู้นำของกองทหารที่ทำหน้าที่พิทักษ์เมืองหลวงนั้นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูง เขาสวมชุดเกราะสีเงินและมีใบหน้าที่เย็นชา เขาเป็นคนที่มาจากกองทัพหมาป่าและเป็นคนสนิทของ เจียหมิงหยู ชื่อ เว่ยเต๋อหยุน
แม้ว่าตำแหน่งทางการของเขาจะไม่สูงนัก แต่ตัวตนระดับนี้ก็เพียงพอที่จะให้ผู้คนตื่นกลัวได้
เจียหมิงหยู เป็นคนที่ไว้ใจได้มากที่สุดขององค์จักรพรรดิ สถานะของเขาเรียกได้ว่าอยู่ที่ความสูงดั่งดวงอาทิตย์ นี่ยิ่งทำให้สถานะในฐานะคนสนิทของเว่ยเต๋อหยุนเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ
ยามนี้ทั้งเมืองหลวงจึงอยู่ภายใต้คำสั่งของ เว่ยเต๋อหยุน
“มันหายไปไหนแล้ว”
“เขาหนีไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ขอรับ”
“ทุกคนตามข้ามา”
“ แล้วคนในสำนักโล่พิทักษ์ล่ะ?”
ใบหน้าของเว่ยเต๋อหยุนยังคงเย็นชา “ต่อให้เป็นคนจากสำนักโล่พิทักษ์จะหนีจากองค์จักรพรรดิพ้นได้รึไง? ข้าจะบอก องค์จักรพรรดิเองว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ ลั่วอู๋หนีไปได้ และตอนนี้พวกเราต้องการขอความช่วยเหลือจากผู้แข็งแกร่ง”
เขารู้ดีว่าก่อนหน้านี้มีผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงถึง 43 คนถูกสั่งให้ไปล้อมจับกุมลั่วอู๋ ดังนั้นเขาจึงงงงวยมากว่าลั่วอู๋หนีไปได้อย่างไร
แต่มันไม่สมเหตุสมผลหากจะมามัวคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น
ตอนนี้เมืองหลวงของจักรวรรดิกำลังปั่นป่วน ซึ่งแม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังไม่ว่างมาจัดการได้
ดังนั้นเรื่องของสำนักโล่พิทักษ์จึงต้องปล่อยไปก่อน ตอนนี้การตามล่าลั่วอู๋เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
กองทหาร เหยี่ยวและสุนัขของราชสำนักทำหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่โดยรอบเองก็ถูกถอนออกไปไล่ตามเขาเช่นกัน
ทำให้ทันทีที่กองทหารที่รักษาเมืองวิ่งตรงไปยังทิศทางการหลบหนีของลั่วอู๋ การเฝ้าระวังภายนอกสำนักโล่พิทักษ์ถูกตัดออกไปจนหมด ทำให้ในผู้คนในสำนักโล่พิทักษ์ ซึ่งอยู่ภายใต้การเฝ้ามองมาตลอดเวลาสามเดือน ในที่สุดก็ได้สูดอากาศแห่งอิสรภาพ
ถึงจะแค่เพียงไม่กี่อึดใจก็ตาม
“นายน้อย” เสี่ยวชามีดวงตาที่เศร้าสร้อย และรู้สึกเจ็บปวด
พนักงานแต่ละคนต่างมีความรู้สึกที่ซับซ้อน
เพราะนี่คืออิสรภาพระยะสั้น ที่นายน้อยของพวกเขาได้ใช้ชีวิตตัวเองแลกมา
และตอนนี้พวกเขาไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยนายน้อยได้เลย
……
……
ในเวลาอันสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จดหมายลับได้ไปถึงหอสมุดราชสำนัก
หลี่ซวนซง มองไปที่จดหมายลับตรงหน้าเขา ก่อนจะฉีกมันด้วยแรงนิ้วเป็นชิ้น ๆ
“เสียเปล่าจริง ๆ ที่พวกเจ้าไม่สามารถจับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูง มิติสองได้” ใบหน้าของ หลี่ซวนซง จมลง
เขาคิดว่าลั่วอู๋คงจะมีทักษะพิเศษบางอย่างที่ช่วยให้เขาสามารถหลบหนีจากการถูกล้อมจับกุม แต่เขานึกไม่ถึงเลยว่าลั่วอู๋จะสามารถเอาชนะผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงทั้ง 43 คน พร้อม ๆ กับผู้นำของพวกเขาได้
นี่มันเป็นยิ่งกว่าความฝัน มันคือเวทมนตร์
ไม่เคยมีใครได้ยินเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ
หลี่ซวนซงเองก็เป็นอัจฉริยะเช่นกัน เขามาถึงมิติวิญญาณระดับเพชรก่อนอายุ 40 ปี ซึ่งแม้แต่เอ๋าเฉียนจุนก็ยังเทียบไม่ได้
แต่เขาไม่คิดว่า แม้แต่ตัวเขาเองจะสามารถเอาชนะกองทัพผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูง 44 คนได้ด้วยมิติวิญญาณระดับเพียง ทองขั้นสูง มิติสอง
อย่างไรก็ตามวิธีการดังกล่าวคงต้องจ่ายพลังวิญญาณไปมาก และคงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ได้บ่อย ๆ
“เอาเถอะพวกเขายังปลอดภัยก็ดีแล้ว เจ้าจงไปจับตัวลั่วอู๋กลับมาให้ข้าซะ” หลี่ซวนซง กล่าวช้าๆ
ด้านหลังบัลลังก์มังกรของเขา ชายคนหนึ่งที่ไม่มีสีหน้าเดินออกมาแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “ขอรับ องค์จักรพรรดิ”
หลี่ซวนซงก้มหน้า ครุ่นคิดสักพักก่อนจะส่งคำสั่งออกไปอย่างไม่แยแส
“ การตัดสินใจของเว่ยเต๋อหยุนนั้นถูกต้องแล้ว หากสำนักโล่พิทักษ์ไม่เคลื่อนไหวอะไร ก็ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม ข้าเองก็ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุใด ๆ ขึ้นระหว่างนี้ ”
ต้องบอกว่า ลั่วอู๋ รู้จัก หลี่ซวนซง เป็นอย่างดีจริงๆ
เพราะเขามีทั้งความทะเยอทะยานและความสามารถ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกกัน แต่ลั่วอู๋ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในฐานะจักรพรรดิเขานั้นเป็นคนที่มีความสามารถมากจริง ๆ
สิ่งที่หลี่ซวนซงต้องการคือประเทศที่แข็งแกร่ง
และลั่วอู๋มีความสามารถที่จะเขย่าทั้งประเทศได้
ดังนั้นหากลั่วอู๋ยังไม่ตาย หลี่ซวนซงก็จะยังไม่ไปยุ่งกับสำนักโล่พิทักษ์
……
……
ลั่วอู๋วิ่งหนีสุดชีวิต
เขาวิ่งอ้อมป้อมปราการประตูเมือง ฝ่าด่านกองทัพหลายแห่งแล้ววิ่งไปทางตะวันตกเฉียงใต้
อย่างไรก็ตามจำนวนผู้ไล่ตามที่อยู่เบื้องหลังของเขาก็ไม่ได้ลดลงเลย หากแต่กลับมีมากขึ้นเรื่อย ๆ
“อืม ทำแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแน่ ๆ” ลั่วอู๋อาเจียนออกมาเป็นเลือดหยิบ เขารีบยารักษาออกมาจากมิติไหอย่างรวดเร็วและกลืนมันลงไป
ในมิติไห ฉูจงฉวน ซึ่งรู้ดีเกี่ยวกับวิกฤตในปัจจุบันของ ลั่วอู๋ กำลังเรียกร้องให้มู่เถากลั่นยารักษาที่ดีที่สุดออกมา
วิธีนี้ช่วยให้ ลั่วอู๋ ได้รับยารักษาชั้นดีได้ในช่วงวิกฤต
น่าเสียดายที่เขาไม่มีแม้แต่ช่วงเวลาที่จะหยุดพัก เขาจึงไม่ได้สื่อสารกับฉูจงฉวนเลย
ไม่มีที่ไหนให้เขาหนีไปอีกแล้ว
เขาไม่สามารถย้อนกลับไปที่สำนักเฉียนหลงได้ ประตูห้วงมิติของสำนักเฉียนหลงนั้นอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ มันคงไม่ต่างอะไรกับการหาที่ตาย หากย้อนกลับไปที่นั่นอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าที่สำนักโล่พิทักษ์เองก็เช่นกัน หากกลับไปที่นั่นต้องเกิดหายนะแน่
หลังจากลองคิดดูดี ๆ แล้ว สถานที่เดียวที่เขาจะไปได้มีเพียงค่ายของหน่วยสยบมังกร
เขาหวังว่าผู้บัญชาการหลิงหลงจะสามารถออกมาช่วยปกป้องเขาได้
แต่ที่ลั่วอู๋ไม่เข้าใจก็คือ จักรพรรดิองค์ก่อนหายไปไหน? หากมีการกบฏอีกครั้งหน่วยสยบมังกรน่าจะออกตัวมาขัดขวางเป็นกลุ่มแรกไม่ใช่หรือ ? แล้วหลี่ซวนซงได้รับอนุญาตให้ขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างไรกัน?
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือผู้บัญชาการหลิงหลงทำอะไรไม่ถูกในสถานการณ์เช่นนี้
องค์จักรพรรดินั้นจู่ ๆ ก็หายตัวไป
ทำให้ทั้งเมืองหลวงของจักรวรรดิตกอยู่ในความปั่นป่วนครั้งใหญ่
แม้ว่าความแข็งแกร่งของผู้บัญชาการหลิงหลงจะสูงมาก แต่นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์นี้
ตามหาตัวองค์จักรพรรดิ ? จะให้นางไปตามหาเขาที่ไหน?
ใจเย็น ๆ? ราคาของร้านค้าต่าง ๆ พากันเพิ่มขึ้น เจ้าหน้าที่จากทั่วจักรวรรดิขอลาออก และขุนนางในราชสำนักลาป่วย ไม่มีวิธีใดที่นางจะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยตัวเองแน่
หน้าที่ของหน่วยสยบมังกรคือการปกป้ององค์จักรพรรดิ แต่หลี่ซวนซงนั้นได้เข้ามาควบคุมทั้งจักรวรรดิโดยตรงและกลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ แบบนี้แล้วนางจะทำอะไรได้?
หน่วยสยบมังกรมีความภักดีต่อองค์จักรพรรดิมาโดยตลอด ไม่ใช่เพียงแค่จักรพรรดิบางองค์
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ผู้บัญชาการหลิงหลงทำได้แค่แสร้งทำเป็นหูหนวกและเป็นใบ้เท่านั้น นางไม่เชื่อฟังแต่ก็ไม่คัดค้าน
ในขณะที่ลั่วอู๋กำลังดิ้นรน เพื่อกำจัดการไล่ตามด้านหลังของเขา เขาก็เห็นกลุ่มหมอกสีดำอันน่าสะพรึงกลัวเข้าปกคลุมท้องฟ้า พร้อมกับร่างอันเลือนรางที่ค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้น
หมอกสีดำนั้นไม่ได้ดูคุกคาม แต่กลิ่นจาง ๆ ของหมอกนั้น ทำให้ผมของลั่วอู๋ตั้งด้วยความตื่นกลัว
ลั่วอู๋กัดฟัน
แม้แต่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรก็ถูกส่งออกมา?
หลี่ซวนซง เจ้ามันโหดร้ายเกินไปแล้ว