ไหปีศาจ - บทที่ 697 อย่าพูดมากถ้าทำไม่ได้
บทที่ 697 อย่าพูดมากถ้าทำไม่ได้
บทที่ 697
อย่าพูดมากถ้าทำไม่ได้
มีบางอย่างแปลก ๆ เกี่ยวกับบรรยากาศสำนักโล่พิทักษ์ในตอนนี้
เหล่าทหารองครักษ์ที่กำลังจะเดินทางกลับไปหยุดลงอยู่ดูสถานการณ์ต่อ เพื่อที่จะดูว่าสิ่งต่างๆจะพัฒนาไปอย่างไร
“องค์จักรพรรดิ ช่างเฉลียวฉลาดจริง ๆ ท่านคงคาดว่าวันนี้จะมีปัญหาเกิดขึ้น ท่านจึงขอให้ข้าติดต่อกับตระกูลลั่วเอาไว้ก่อน” ขุนนางฮวงชื่นชมองค์จักรพรรดิในใจ
ด้วยความช่วยเหลือของหน่วยราชการลับแผนกลับ ลั่วฮันเชียงนั้นจึงได้ขึ้นมาควบคุมตระกูลลั่ว อย่างสมบูรณ์อีกครั้ง
ส่วนในเรื่องของการสังหารคนที่ต่อต้านนั้น องค์จักรพรรดิได้กำกับไว้เพียงแค่ว่าสังหารเพียงแค่คนที่อ่อนแอก็พอ
ตอนนี้ตระกูลลั่วนั้น ไม่ใช่ตระกูลลั่วแบบเดิมอีกต่อไป
แม้แต่ธุรกิจของศาลาไป่หยู่ก็ได้ถูกกองกำลังภายนอกเข้ายึดครอง ร้านค้าใหญ่ทุกรายต่างทราบกันดีว่าศาลาไป่หยู่ถูกยึดครองไปแล้วโดยองค์จักรพรรดิ
ลั่วไป่เหาได้เสียชีวิตลง โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนทำ
หลายคนคาดเดาว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิ เนื่องจากทันทีที่องค์จักรพรรดิจับกุมลั่วอู๋ได้ ไม่นานต่อจากนั้นข่าวเรื่องบรรพบุรุษของตระกูลลั่วเสียชีวิตหลุดออกมา
มันไม่สำคัญว่าใครจะเชื่อหรือไม่
ไม่มีใครมีหลักฐานเพียงพอที่จะบ่งชี้ตัวว่าใครเป็นคนฆ่าลั่วไป่เหา แม้แต่คนที่แข็งแกร่งและเป็นสหายกับลั่วไป่เหาก็ยังไม่รู้เรื่องนี้
มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะมากล่าวหาองค์จักรพรรดิในเวลานี้ ใครจะไปกล้า?
กลุ่มคนที่มีอำนาจอันดับต้น ๆ ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ มักจะมีครอบครัวหรือกองกำลังของตนเองและมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องร้าย ๆ ไม่มีใครที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือน หลินเจิ้ง
ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ปล่อยเรื่องนี้ไป
แม้แต่เฉินซังเทียน สหายที่มีความสัมพันธ์อันดีกับ ลั่วไป่เหา ก็ยังต้องอดทน
“ท่านลั่ว ขอฝากท่านด้วย” ขุนนางฮวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ลั่วฮันเชียง พยักหน้า “ช่างเป็นพรของข้าที่ได้แบ่งปันความกังวลและแก้ไขปัญหาเพื่อองค์จักรพรรดิ”
เนื่องจากองค์จักรพรรดิขอให้เขาเป็นคนดูแลตระกูลลั่วอีกครั้ง เขาย่อมเต็มใจที่จะเป็นสุนัขรับใช้ข้างองค์จักรพรรดิ
“เป็นเกียรติที่ได้พบท่านเทพเจ้าแห่งดาบ” ลั่วฮันเชียงไม่มีทีท่าก้าวร้าวใด ๆ เขาสุภาพและให้เกียรติมาก
หลินเจิ้งขมวดคิ้วและปฏิเสธ
แม้เขาจะสูญเสียพลังของทะเลแก่นวิญญาณไป แต่สัญชาตญาณของเขาก็ได้บอกว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คนดี
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เสี่ยวชาตะโกน
โดยปกติแล้วเมื่อคนของตระกูลลั่วมาที่สำนักโล่พิทักษ์ พวกเขาจะไม่พูดเท็จใด ทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา แต่ในเวลานั้นยังมีบรรพบุรุษของตระกูลลั่วอยู่ แต่ตอนนี้สถานการณ์นั้นแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
ใบหน้าของ ลั่วฮันเชียง ยังคงเป็นมิตร “ข้าเป็นตัวแทนของตระกูลลั่ว และข้ามาเพื่อรับสำนักโล่พิทักษ์ไป”
ผู้คนทั้งสำนักโล่พิทักษ์อารมณ์เดือดขึ้นในทันที
“ฝันไปเถอะ!”
“ เพ้อเจ้อ!”
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?” ผู้คนในสำนักโล่พิทักษ์ต่างก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
มือของหลินเจิ้งพลิกดาบหลิงเทียนขึ้นมาโดยอัตโนมัติ พลังวิญญาณแห่งดาบอันน่ากลัวเบ่งบานออกมา พื้นที่ทั้งหมดดูเหมือนจะจมลงสู่สระน้ำแห่งดาบขนาดใหญ่
ผู้คนของตระกูลลั่วต่างรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อต้องเผชิญกับพลังนี้
แม้ว่าหลินเจิ้งจะสูญเสียพลังของทะเลแก่นวิญญาณไป แต่เขาก็ยังมีพลังการต่อสู้อยู่ในระดับสูงสุดของมิติวิญญาณระดับทองขั้นสูง ด้วยพลังวิญญาณของดาบศักดิ์สิทธิ์
ลั่วฮันเชียง พูดอย่างใจเย็น “พวกเจ้าต่างก็เป็นแค่คนงานและองครักษ์คนที่ได้รับการว่าจ้างจากเงิน คิดว่าพวกเจ้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นเจ้าของสำนักโล่พิทักษ์รึยังไง?”
คนงานร้านต่างตะลึงไปตาม ๆ กัน
แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะมองว่าตัวเองเป็นคนของสำนักโล่พิทักษ์ แต่ร้านนี้ก็ไม่ได้เป็นสมบัติของพวกเขา
เสี่ยวชาพูดขึ้น “นั่นไง เอาอีกแล้ว อย่าลืมนะว่ายังไงซะ สำนักโล่พิทักษ์ของพวกเราก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลลั่วของพวกเจ้าอยู่ดี”
ลั่วฮันเชียงไม่สนใจคำพูดของเสี่ยวชา อีกฝ่ายนั้นเป็นแค่คนรับใช้สำหรับเขา เขาจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องสนใจ ตอนนี้ปัญหาของเขาที่ต้องแก้ไขก็คือหลินเจิ้ง
หลินเจิ้งนั้นค่อนข้างเป็นขวางหนามที่ยุ่งยากในแผนการของเขา
แม้ว่าหลินเจิ้งจะอ่อนแอลงมาก แต่เขาก็ยังคงเป็นเพื่อนของเฉินซังเทียนผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณอันดับหนึ่งของโลก พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
มันจะเป็นเรื่องที่โง่มาก หากเขาเผลอไปยั่วยุเฉินซังเทียน ในระหว่างการจัดการกับสำนักโล่พิทักษ์ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ องค์จักรพรรดิต้องการเห็นแน่
“อย่างที่เราทราบกันดีว่าต้นทางธุรกิจของสำนักโล่พิทักษ์นั้นแท้จริงแล้วคือ ศาลาไป่หยู่ของตระกูลลั่วของพวกเรา เจ้าของร้านทั้งสองของสำนักโล่พิทักษ์ เดิมทีนั้นเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยทั้งสองคนของศาลาไป่หยู่ ” ลั่วฮันเชียงกล่าว
เสี่ยวชา และ อาฟู ดูไม่พอใจมาก
บางคนเข้าใจถึงสิ่งนี้
“การพัฒนาสำนักโล่พิทักษ์จะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากการสนับสนุนของศาลาไป่หยู่”
“ก่อนหน้านี้ตอนที่สำนักโล่พิทักษ์ เปิดขึ้นในมณฑล หมิงหนาน ศาลาไป่หยู่ในมณฑลหมิงหนานก็เลือกที่จะปิดตัวลงทันที และยกระดับธุรกิจทั้งหมดให้กับพวกเขา”
“ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเมื่อสำนักโล่พิทักษ์ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ ศาลาไป่หยู่ก็ได้ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนอย่างเต็มที่”
“ทำไมงั้นเหรอ ? นั่นก็เพราะแน่นอนเพราะพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน” ลั่วฮันเชียงกล่าวอย่างมั่นใจ
คนงานเก่าแก่ของสำนักโล่พิทักษ์ มองไปที่เขาอย่างรังเกียจ
ตอนแรกตระกูลลั่วไม่ได้ช่วยอะไรสำนักโล่พิทักษ์เลยไม่ใช่เหรอ?
“แม้ว่าลั่วอู๋และตระกูลลั่วจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่ แต่เลือดก็ย่อมข้นกว่าน้ำ” ลั่วฮันเชียงมองไปที่หลินเจิ้งด้วยความจริงใจ “ท่านเองก็น่าจะรู้ว่า สัตว์วิญญาณตัวที่สี่ของลั่วอู๋นั้นคือ ลิงเผือก ถ้าความสัมพันธ์ของลั่วอู๋กับตระกูลลั่วไม่ดีนัก เขาจะนำเอาลิงเผือกตัวน้อยออกมาจากตระกูลลั่วได้อย่างไร?”
หลินเจิ้งนึกถึงเสี่ยวกงและจำใจพยักหน้าโดยไม่สมัครใจ
ความจริงก็คือความจริง
ผู้คนทั้งสำนักโล่พิทักษ์ต่างประหลาดใจ
ท่านหลินเจิ้งอย่าผงกหัวสิ
ลั่วฮันเชียงรู้สึกภาคภูมิในใจของเขามาก แต่เขาก็ยังดูจริงจัง เขากล่าวด้วยเสียงอันดังลั่น “เราทุกคนต่างก็รู้ว่าลั่วอู๋นั้นเป็นศิษย์เอก ผู้เป็นที่โปรดปรานของสำนักเฉียนหลง แต่ในช่วงแรกนั้นในการสมัครนั้นลั่วอู๋ได้ใช้โควต้าของตระกูลลั่ว เพื่อสมัครเข้าไปในสำนักเฉียนหลง อีกทั้งเขายังถูกเรียกว่าทายาทตระกูลลั่วอยู่เป็นเวลานาน”
ผู้คนมุงดูฝูงชนอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า อันที่จริงในช่วงเริ่มต้นของเทศกาลอายุยืน ลั่วอู๋ ก็ปรากฏตัวในฐานะลูกหลานของตระกูลลั่ว
“สำนักโล่พิทักษ์เป็นเพียงชื่อที่เปลี่ยนขึ้นโดยลั่วอยู่ แต่พวกเขาก็ยังถือว่าทำงานอยู่ที่ศาลาไป่หยู่ เพราะเหตุนี้สำนักโล่พิทักษ์ จึงไม่ได้เป็นของตระกูลลั่วโดยสมบูรณ์ เห็นได้ชัดว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง”
“ ข้ายอมรับว่าลั่วอู๋จ่ายเงินไปมากเพื่อสำนักโล่พิทักษ์ ถ้าเขากลับมาเมื่อไหร่ ข้าก็พร้อมจะมอบสำนักโล่พิทักษ์คืนให้แก่เขาในนามของตระกูลลั่ว”
“ทว่าตอนนี้เหล่าทาสผู้ชั่วร้ายพวกนี้หวังที่จะครอบครองทรัพย์สินของตระกูลลั่ว หลังจากการหายตัวไปของลั่วอู๋ พวกเขาก็เข้ามายึดครองสำนักโล่พิทักษ์ ด้วยเจตนาร้าย มันช่างน่ารังเกียจจริง ๆ”
“พวกเจ้าได้รับการฝึกฝนโดยลั่วอู๋แท้ ๆ แต่กลับตอบแทนความเมตตาของตระกูลลั่วด้วยวิธีนี้อย่างนั้นหรือ?”
ลั่วฮันเชียงมองไปที่คนในสำนักโล่พิทักษ์ด้วยความปวดร้าว และส่งสายตาออกมาอย่างทรมาน
ทันใดนั้นคนอื่น ๆ ต่างก็มองเข้าไปในสำนักโล่พิทักษ์ ด้วยสายตาที่เคลือบแคลงใจ
ผู้คนในสำนักโล่พิทักษ์ กลายเป็นจุดสนใจในทันที
“พูดอะไรไร้สาระ” หลิวหูโกรธจนตัวสั่น
ลั่วฮันเชียงส่ายหัว “มันแย่มาก มันสมควรไหมที่ทรัพย์สินของทายาทตระกูลลั่ว ไม่ได้ตกเป็นของตระกูลลั่ว แต่กลับกลายเป็นของกลุ่มคนงานและองครักษ์?”
ใช่แล้ว มันไม่สมเหตุสมผล
ในขณะนี้แม้พวกคนงานอยากจะพูดหักล้าง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรที่ไร้ยางอายออกมาได้
แม้ว่าคำพูดของพวกเขาจะเป็นความจริง แต่ก็คงไม่มีใครเชื่อเพราะมันดูไร้เหตุผล
ลั่วฮันเชียง แอบหัวเราะในใจ พวกขยะพวกนี้จะมาโต้แย้งอะไรข้าได้ ? เมื่อข้าเข้ายึดสำนักโล่พิทักษ์และนำเสนอของแปลก ๆ ในร้านให้กับองค์จักรพรรดิ ข้าก็จะได้รับความเคารพไว้ใจจากความองค์จักรพรรดิมากขึ้นมาอย่างแน่นอน
“ ท่านเทพเจ้าแห่งดาบ” ลั่วฮันเชียงกล่าวด้วยความเคารพ “ข้าชื่นชมตัวท่าน และเคารพในการตัดสินใจของท่าน แต่ข้าไม่อยากให้สำนักโล่พิทักษ์ต้องเสียผลประโยชน์ ข้าจะเป็นคนสนับสนุนการพัฒนาของ สำนักโล่พิทักษ์ เหมือนกับที่เคยทำในอดีต แน่นอนว่าเรื่องในอดีตต่าง ๆ ข้าก็พร้อมที่จะปล่อยให้อดีตเป็นเพียงแค่อดีตที่แล้วไปแล้ว พวกคนงานและองครักษ์เหล่านี้ ยังสามารถทำงานอยู่ที่นี่ได้ หากพวกเขาต้องการจะอยู่ ”
“ด้วยวิธีนี้สำนักโล่พิทักษ์ ก็จะเป็นอิสระจากการมีส่วนร่วม ในคดีความของลั่วอู๋ อันที่จริงแล้วจุดประสงค์ของพวกเราทั้งคู่นั้นตรงกัน”
“ข้าหวังว่าท่านเทพเจ้าดาบจะไม่มาขวางข้าอีกนะ” ลั่นฮันเชียงโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง
หลินเจิ้งทั้งสับสนและลังเล
เขาไม่ได้รู้จักลั่วอู๋เป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของลั่วอู๋ที่มีต่อตระกูลลั่ว
เขาเพียงแต่ติดหนี้บุญคุณลั่วอู๋ ดังนั้นเขาจึงต้องการปกป้องสำนักโล่พิทักษ์ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ได้ต้องการทำลายสำนักโล่พิทักษ์ เขาจึงสับสนว่าควรจะเลือกอะไรดี
ผู้คนในสำนักโล่พิทักษ์ต่างรู้สึกประหม่าไปตาม ๆ กัน
หากหลินเจิ้งพยักหน้า พวกเขาก็จะไม่สามารถรักษาสำนักโล่พิทักษ์เอาไว้ได้
ขณะที่หลินเจิ้งกำลังสับสนและไม่แน่ใจ เสียงอันเยือกเย็นและเสียดแทงก็ดังมาจากในระยะไกล “ไม่มีทาง”
มันเป็นเสียงของหญิงสาว
แต่มันกลับเย็นเฉียบเสมือนน้ำแข็งอันเป็นนิรันดร์ของทางเหนือ ซึ่งทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกหนาวเหน็บ นอกจากนี้ยังเป็นเหมือนเสียงกระซิบของปีศาจในนรกทั้งเก้า ที่พร้อมจะเขย่าจิตวิญญาณของผู้คน
“ใคร พูดอะไรที่นี่” ขุนนางฮวงโกรธมากและตะโกนกลับไป พวกเขากำลังจะประสบความสำเร็จในการยึดสำนักโล่พิทักษ์แล้วแท้ ๆ ใครมันบังอาจมาขัดขวางกัน?
แสงสีดำอันคมชัดสว่างวาบแล่นผ่านไป
ฉวบ
หัวของ ขุนนางฮวงหลุดออกจากบ่าก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง
อาจจะเป็นเพราะแสงสีดำนั้นคมกริบและเร็วเกินไป ก่อนที่เขาจะล้มลงขุนนางฮวงนั้นจึงยังคงอยู่ในท่าทางที่โกรธเกรี้ยว เขาไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายไปแล้วด้วยซ้ำ
เลือดไหลซิบออกมาเป็นเวลานานก่อนจะค่อย ๆ ปะทุออกมาเหมือนน้ำพุขนาดเล็กย้อมพื้นถนนให้กลายเป็นสีแดง
ทุกคนในที่เกิดเหตุต่างตกอยู่ในความเงียบงัน
ขุนนางฮวงผู้ถือพระราชโองการขององค์จักรพรรดิตายแล้วงั้นเหรอ?
นี่มันเป็นการท้าทายอำนาจองค์จักรพรรดิชัด ๆ!
ทุกคนควรจะให้ความเคารพเขา ไม่ใช่ทำแบบนี้
ทว่าหญิงสาวในชุดสีเข้มนั้นกลับไม่แยแสอะไร บรรยากาศรอบตัวนางดูแปลก ๆ นางเดินมาอย่างช้า ๆ ด้วยดวงตาอันไร้แวว เต็มไปด้วยความนิ่งเฉย ร่างของนางถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำจาง ๆ จนมองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัด กรงเล็บที่มือของนางคมพอ ๆ ใบดาบ เปล่งไอเย็นแห่งจิตสังหารออกมา
ข้าง ๆ นางมีอัศวินผู้แข็งแกร่งพร้อมดาบแห่งความมืดยืนคุ้มกันอยู่
ช่างเป็นหญิงสาวที่ให้ความรู้สึกถึงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือปฏิกิริยาแรกของทุก ๆ คน ในที่นี้
“ นายหญิง หลี่หยิน?”
ผู้คนในสำนักโล่พิทักษ์ต่างตะโกนด้วยความสับสน
เหตุผลก็คือนอกจากรูปร่างแล้วนางนั้นไม่มีส่วนอื่นที่คล้ายกับหลี่หยินเลย ทั้งลมปราณ การหายใจ การแต่งกายนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง