ไหปีศาจ - บทที่ 698 การฆาตกรรมบนถนน
บทที่ 698 การฆาตกรรมบนถนน
บทที่ 698
การฆาตกรรมบนถนน
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบงันเป็นเวลานาน
เลือดนั้นไหลรินออกมานองไปตามท้องถนน
ลั่วฮันเชียง อุทานด้วยความโกรธ “เจ้า…เจ้าฆ่าขุนนางฮวงงั้นเหรอ?”
หลี่หยินเดินช้า ๆ ผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจด้วยอารมณ์อันเย็นชาทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นาง
นางไม่ตอบแม้กระทั่งคนของสำนักโล่พิทักษ์ที่กล่าวทักทายนาง สิ่งนี้ทำให้คนในสำนักโล่พิทักษ์รู้สึกสับสน ว่าพวกเขาจำคนผิดรึเปล่า
หลินเจิ้งมองไปที่หลี่หยินอย่างอยากรู้อยากเห็น
สายตาของเขาที่มองไม่ค่อยเห็นร่างของหลี่หยินเท่าไหร่นัก ตอนนี้สถานการณ์นั้นดูแปลก ๆ เหมือนว่ามีสิ่งที่ร้ายกาจสิงอยู่กับนาง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องกังวลให้มากจนเกินไป
ความหวาดผวาที่อธิบายไม่ได้เข้าห่อหุ้มทุกคนเอาไว้
หลายคนรู้สึกกลัวจนตัวสั่น
ขุนนางฮวงมาที่นี่พร้อมกับพระราชโองการจาก องค์จักรพรรดิ ทว่าเขาถูกสังหารลง นี่ถือเป็นอาชญากรรมที่เลวร้าย ทว่ากลับมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมาสนใจเกี่ยวกับเรื่องนั้นในตอนนี้
ขุนนางถูกสังหารต่อหน้ากลุ่มผู้ใช้พลังวิญญาณระดับ สูง ? แม้แต่ราชโองการก็ไม่สามารถปกป้องเขาได้งั้นเหรอ?
ไม่ว่าจะการลงโทษ หรือการที่ขุนนางฮวงถูกสังหารนั้นล้วนเป็นเรื่องที่เอาไว้ว่ากันทีหลังก็ได้ ผู้คนจึงไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ
ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุดก็คือหญิงสาวคนนี้
ผู้คนของตระกูลลั่วต่างมองไปที่หลี่หยินด้วยความหวาดกลัว
แม้มันจะน่าหมั่นไส้จริง ๆ ที่อีกฝ่ายส่งจิตสังหารออกมาตลอดเวลา แต่จิตสังหารนั้นก็ไม่ได้รุนแรงมาก อีกทั้งยังมีผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงอยู่ถึงห้าคนกลุ่มของตระกูลลั่ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“รู้สึกคุ้นเคยกับเจ้าแปลก ๆ” ลั่วฮันเชียงรู้สึกหนาวเมื่อมองไปที่หลี่หยิน
หลี่หยิน ไม่ได้ตอบสนองอะไรกลับไปแม้แต่จะพยักหน้า บางทีอาจมีแค่การกล่าวถึง ลั่วอู๋ เท่านั้นที่จะสามารถทำให้นางมีปฏิกิริยาได้
“เจ้ามันก็เป็นแค่สาวใช้” ลั่วฮันเชียงเย้ยหยัน “อีแค่ สาวใช้กลับมาอีกครั้งมันจะทำไมกัน กรรมสิทธิ์ของเจ้านาย จะไปขึ้นอยู่กับกลุ่มคนรับใช้ได้ยังไง”
คนในสำนักโล่พิทักษ์ต่างแสดงท่าทางอันโกรธเกรี้ยวออกมา
แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด แต่มันก็เป็นความจริง
ทว่าหลี่หยินก็ยังคงเงียบอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้หลายคนรู้สึกงงงวยกับท่าทีของนาง
นางมาทำอะไรที่นี่กัน?
ลั่วฮันเชียงมองไปที่ หลินเจิ้งอีกครั้งแล้วจึงกล่าวด้วยความเคารพ “ท่านหลินเจิ้ง โปรดเชื่อเถอะว่าข้าไม่ได้มีความคิดมุ่งร้ายอะไร ทุกอย่างเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสำนักโล่พิทักษ์ หากท่านต้องการ ท่านก็สามารถอยู่ที่นี่ เพื่อฝึกฝนสมาธิในการฝึกฝนได้ ข้ารับประกันได้เลยว่าทุกอย่างในร้านค้าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ”
หากสามารถควบคุมหลินเจิ้งไว้ใช้เองได้ด้วย องค์จักรพรรดิจะต้องพอพระทัยมากขึ้นแน่
หลินเจิ้งรู้สึกปวดหัว
เขาไม่เคยให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มาก่อน
มันน่าหนักใจสำหรับเขาจริง ๆ ที่ต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อที่นี่หรือไม่
แต่ในแง่หนึ่งเขาก็รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่า เรื่องนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาควรปฏิเสธ แต่ในทางกลับกันคำพูดของอีกฝ่ายนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไร
ทันใดนั้นหลี่หยินก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันสงบนิ่งหนาวเย็นสั่นไปจนถึงขั้วกระดูก “ต้องการยึดสำนักโล่พิทักษ์ไปสินะ?”
“ใช่” ลั่วฮันเชียงมองนางอย่างเย็นชา
“ไม่มีทาง…”
ลั่วฮันเชียง เย้ยหยัน “ไร้สาระ เจ้ามันเป็นเพียงสาวใช้ จะมีคุณสมบัติอะไรมากำหนดสิ่งต่าง ๆ ในสมบัติของผู้เป็นนาย”
หลี่หยินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูด “เพราะว่าสำนักโล่พิทักษ์ นั้นเป็นสมบัติของข้า”
ทันทีที่นางพูดประโยคนี้ออกไป หัวใจของทุกคนก็เต็มไปด้วยพายุโหมกระหน่ำ
นางพูดอะไรของนาง?
พวกเขาได้ยินสิ่งที่นางพูดถูกต้องใช่ไหม
อย่างที่ทุกคนทราบกันดี สำนักโล่พิทักษ์นั้นถูกก่อตั้งโดยลั่วอู๋ ทุกคนในสำนักโล่พิทักษ์จึงให้ความเคารพนับถือลั่วอู๋เป็นอย่างมาก
ทว่าในตอนนี้สำนักโล่พิทักษ์นั้นไม่ใช่เพียงร้านค้าเล็ก ๆ อีกต่อไปแล้ว
หลังจากการดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลานาน ด้วยความเร็วในการเติบโตที่แทบจะไม่สมเหตุสมผล สำนักโล่พิทักษ์ ก็ได้เติบโตขึ้นเป็นร้านค้าชั้นหนึ่งแล้ว มูลค่าของร้านค้าชั้นนำระดับนี้ เทียบได้กับ คฤหาสน์ชวนเทียน และ ศาลาไป่หยู่ นั้นไม่น้อยไปกว่าร้านค้าเจ้าใหญ่ ๆ เหล่านั้น
ทว่าสาวใช้ตัวน้อยคนนี้กลับปรากฏตัวขึ้น แล้วบอกว่าเจ้าของสำนักโล่พิทักษ์ก็คือนาง นี่มันน่าเชื่อถือมากแค่ไหนกัน ?
มีเพียงเสี่ยวชา, อาฟู และ หลิวหู เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จำเรื่องนี้ได้
สมัยที่สำนักโล่พิทักษ์ ยังไม่ประสบความสำเร็จและมีเพียงสาขาในเขตหวงชาเท่านั้น พวกเขาได้จัดการประชุมผู้บริหารหลักเล็ก ๆ ขึ้นภายในสำนักโล่พิทักษ์
ในการประชุมนั้นลั่วอู๋ได้ย้ายอุตสาหกรรมทั้งหมดของพวกเขาไปเป็นชื่อของหลี่หยิน สาวใช้ตัวน้อยที่เขาไว้วางใจ
หลังจากนั้นไม่นานและทุกคนก็จำได้เพียงแค่ความเป็นผู้นำของลั่วอู๋ ดังนั้นพวกเขาจึงค่อยๆลืมเรื่องนี้ไป
ดวงตาของลั่วฮันเชียงเบิกกว้างราวกับมันกำลังจะแตก เขาคำรามออกมา “เจ้าล้อเล่นข้างั้นเหรอ?”
จากนั้นหลี่หยินก็หยิบสัญญาสินทรัพย์ออกมาจากแหวนสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ “มันเป็นชื่อของข้า เจ้าสามารถไปที่กระทรวง เพื่อตรวจสอบข้อมูลได้เลย”
ผู้คนจากตระกูลลั่วทุกคนต่างตกตะลึง
คำพูดของหลี่หยินนั้นไม่เหมือนคำโกหก
ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า สำนักโล่พิทักษ์ นั้นไม่ได้เป็นของ ลั่วอู๋ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยสืบสวนอย่างละเอียดจริง ๆ
ลั่วอู๋ย้ายสิทธิ์การครอบครองสำนักโล่พิทักษ์ให้กับสาวใช้คนนี้จริง ๆ งั้นหรือ?
เขาให้ความไว้วางใจนางมากเกินไปแล้ว
คนของสำนักโล่พิทักษ์ต่างตกตะลึงในทีแรก จากนั้นพวกเขาก็รู้สึกมีความสุข
เนื่องจากสำนักโล่พิทักษ์เป็นของหลี่หยิน พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร แค่นี้ตระกูลลั่วก็อ้างสิทธิ์ไม่ได้แล้ว
เนื่องจากสถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ ตระกูลลั่วจึงไม่มีสิทธิ์อะไรในธุรกิจเลย ผลลัพธ์นี้ทำให้ตระกูลลั่วไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสำนักโล่พิทักษ์
ลั่วฮันเชียงฟุ้งซ่านไปชั่วคราว จากนั้นเขานึกได้ถึงคำสั่งขององค์จักรพรรดิ เขากัดฟันแล้วจึงพูดต่อ “มันต้องเป็นของปลอมแน่ นางเป็นแค่สาวใช้ ข้าไม่เชื่อ มันต้องเป็นของปลอม”
หลินเจิ้งส่ายหัวแล้วจึงกลับไปยืนขวางที่ประตูสำนักโล่พิทักษ์พร้อมดาบในมือของเขา ความหมายนั้นชัดเจนในการกระทำ
เนื่องจากสำนักโล่พิทักษ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลลั่ว เขาจึงต้องการหยุดพฤติกรรมของตระกูลลั่ว
มีคนเข้ามามุ่งดูมากขึ้นเรื่อย ๆ
สำนักโล่พิทักษ์นั้นมีชื่อเสียง แต่ไม่มีใครคิดว่าเจ้าของสำนักโล่พิทักษ์ที่แท้จริงนั้นคือสาวใช้ตัวน้อยคนนี้ แม้ว่าสาวใช้คนนี้นั้นจะดูมีอำนาจมาก แต่ชื่อเสียงของนางก็ไม่ได้ดีไปกว่า ศิษย์เอกแห่งสำนักเฉียนหลง ลั่วอู๋ผู้ที่เอาชนะเอ๋าเฉียนจุนลงได้
ผู้คนจำนวนมากต้องการเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปเป็นเช่นไร
ลั่วฮันเชียงเห็นสิ่งนี้และรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่เขาจะสามารถชิงเอาสำนักโล่พิทักษ์มาได้ในวันนี้ ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเหตุแบบนี้ขึ้น
“ไปกัน” ลั่วฮันเชียง คำรามเล็กน้อยอย่างไม่เต็มใจและจากนั้นก็มองไปที่หลี่หยินอย่างเย็นชา “เจ้าฆ่าขุนนางฮวง แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงนัก แต่เขาก็เป็นผู้รับใช้ที่นำพระราชโองการขององค์จักรพรรดิมา เจ้าได้ก่อคดีความครั้งใหญ่ขึ้นแล้ว ข้าอยากจะเห็นจริง ๆ ว่าเจ้าจะรักษาสำนักโล่พิทักษ์ไว้ได้อย่างไร ”
ท่าทีของเขาที่เคยนุ่มนวล เปลี่ยนมาเป็นสีหน้าอันรุนแรง
ช่างน่าเสียดายที่ตระกูลลั่วนั้นต้องกลับไปมือเปล่า ซึ่งนี่จะต้องทำให้ใครบางคนขุ่นเคืองแน่ เพียงแค่ว่ากำไรนั้นมีมากกว่าการสูญเสีย
ผู้คนในสำนักโล่พิทักษ์ต่างก็ลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย
ใช่แล้ว
สำนักโล่พิทักษ์นั้นพ้นภัยแล้วด้วยแผนการของนายน้อยลั่วอู๋ที่เตรียมการไว้ในอดีต ทว่าหลี่หยินนั้นกลับเพิ่งฆ่าตัวแทนพระราชโองการขององค์จักรพรรดิอย่างขุนนางฮวงไป ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมใหญ่หลวง ดังนั้นมันจึงไม่เป็นไปไม่ได้เลยที่สำนักโล่พิทักษ์จะไม่ถูกเล่นงาน
“ข้าเองก็จำได้” หลี่หยินอ้าปากพูดออกมา
เหล่าผู้คนจากตระกูลลั่วทั้งหมดต่างหยุดลง จากนั้นลั่วฮันเชียงก็หันมาพร้อมขมวดคิ้ว “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“เจ้าเป็นคนที่ไล่นายน้อย” เสียงของหลี่หยินนั้นเยือกเย็นหนาวเหน็บ ทันใดนั้นหมอกสีดำก็เข้าปกคลุมร่างของนาง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร ร่างของอัศวินดำกลายเป็นเงาเปล่งเสียงลมหายใจอันน่ากลัวออกมา
เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้มีพลังในการทำลายล้างเท่าไหร่ แต่ก็น่าจะเป็นศัตรูที่รับมือได้ยาก
“เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ?” ลั่วฮันเชียงไม่สามารถทนต่อความรู้สึกสั่นสะท้านในใจของเขาได้
นั่นก็เพราะเขาเป็นเพียงชายพิการที่ไม่มีความสามารถในการป้องกันตัวเอง
หลี่หยินไม่ได้ตอบ นางเพียงแต่กลายร่างเป็นเงาดำ
ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง
นางหยิ่งยโสเกินไปแล้ว
นางคิดจะฆ่าคนกลางถนนในช่วงกลางวันแสก ๆ แม้ว่านางจะเพิ่งทำเช่นนั้นไปไม่นาน แต่เป้าหมายของนางในคราวนี้นั้นไม่ใช่ขุนนาง แต่เป็นถึงผู้นำของตระกูลลั่ว!